จุดเริ่มต้นของเสรีชน ,,,, ยุติการปลูกข้าวผิดนา ,,, จดหมายนี้ส่งถึง คสช
จดหมายปัญหาการศึกษาส่วนนี้ ได้เดินทางถึงมือ คณะปฏิรูป คสช
เรื่องปัญหาการศึกษานี้เป็นแนวความคิด ที่เคยลงไปแล้ว พร้อมสัญาว่าจะเขียนจดหมายเกี่ยวกับ .....ปลูกข้าวผิดนา .... ซึ่ง ตอนนี้เป็นคำบรรยายลักษณะการศึกษาของไทยไปแล้ว เชื่อว่ากระทรวงการศึกษาเอง ตอนนี้กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ทั้งฝึกอบรมครู เพื่อให้ข้าวในนาไทยมีผลผลิตที่มีคุณภาพดีขึ้น
ข้าว / เด็กไทย ถึงแม้จะมีน้ำที่อุดมสมบูรณ์ และข้าวพันธุ์จะดีขนาดไหน แต่หากขาดปุ๋ย เช่น ครูเจ้าของภาษา มาช่วยปรับการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ คุณภาพระดับการใช้ภาษาอังกฤษของเด็กไทย ก็จะแย่พอ ๆ กัน
นี้เป็นจดหมายที่ส่งไปถึงคณะ คสช เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ครูเจ้าของภาษา เป็นผู้ให้บทเรียนสอนวิชาภาษาอังกฤษ
วันที่ 2 เดือน พฤษภาคม 2559 --- เป็นวันที่จดหมายได้เดินทางจากบ้านของดิฉัน ไปหา คสช แล้ว
เรียนท่านนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย, ท่านนายกประยุทธ์ จันโอชา
ดิฉันเป็นราชฎรไทยร้อยเปอร์เซ็น ที่ได้มีโอกาสมองเห็นความแตกต่างและปัญหาการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งตัวดิฉันเองเป็นเหยื่อที่ติดร่างแหในปัญหานี้ด้วย ดิฉันเชื่อว่า นี้คงไม่ใช่จดหมายฉบับแรกที่ราษฎรไทยเขียนขึ้น เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าใจถึงปัญหาการศึกษาที่ประเทศเรากำลังประสพ
การที่ออกมาประจานความน่าอายของตน ในเรื่องที่ เด็กไทยคิดไม่เป็น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเท่าใดค่ะ แต่เป็นเพราะดิฉันทนที่จะเห็นคนไทยด้วยกันเดินตกลงเหวลึกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะยิ่งอยู่นิ่ง เหมือนกับเป็นการประจานความฉลาดน้อยของกันและกัน ขออนุญาตยกตัวอย่างถึงปัญหาของการศึกษาไทย ที่ทำให้ต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น เผื่อท่านจะพิจารณาเห็นถึงทางแก้ปัญหาที่ถูกจุด
หลายครั้งที่ดิฉันมีเพื่อน ๆ มาให้ช่วยแก้ผิดและถูก ในการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งที่ผ่านมาดิฉันเองก็ช่วยเหลือเท่าที่ดิฉันช่วยได้ ในขณะเดียวกัน ก็ได้เปิดกลุ่มภาษาอังกฤษ Online ในวิธีที่ดิฉันเชื่อว่า อาจเป็นวิธีที่ช่วยปรับภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่สนใจ คือ ฟังการสนทนาจากเจ้าของภาษา วันล่ะ 5-10 นาที เพราะเชื่อว่า การฟังเป็นทักษะแรกของการสื่อสาร สามารถเข้าไปตรวจดูได้ในเว็ป Okanation.net ในหัวข้อ Practise English Online ได้ค่ะ
แต่ล่ะครั้ง ยิ่งลงในสิ่งที่ดิฉันคิดว่า เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ยิ่งทำให้หลาย ๆ คนในเมืองไทยเข้าใจผิดคิดว่า ภาษาอังกฤษของดิฉันดี ความเป็นจริง หากเปรียบกับการใช้ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาคนอื่น ๆ ระดับภาษาอังกฤษของดิฉันคงอยู่ปลายแถว
จดหมายฉบับนี้อยากเป็นตัวแทนของผู้ปกครองเด็กไทยทุกคน บอกผ่านรัฐบาลว่า ทำไมการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษถึงต้องพึ่งครูเจ้าของภาษา
ในชีวิตการรับใช้ประเทศชาติของคนไทย สิ่งที่สูงสุด คือ การครองตำแหน่งในฐานะผู้ปกครองประเทศ และในฐานะผู้ปกครองประเทศ ท่านนายกเองคงมองเห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ เพราะว่า การใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่สนทนาได้ เป็นอีกวิธีการเรียนรู้อย่างไม่มีขอบเขต
นี้คือผลงานการวิจัย ภาคภาษาอังกฤษส่วนหนึ่ง ของบุคคลที่เรียนถึงระดับ ด๊อกเตอร์ ในประเทศไทย ที่ต้องมานั่งงมการเขียนภาษาอังกฤษ เพื่ออธิบายทฤษฎีปัญหาในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่เด็ก ๆ เอง ไม่มีความเข้าใจความหมายเบื้องต้นของ คำว่า Nature of Science – จากที่อ่านในบท abstract -
ต้องขออนุญาติสงวนชื่อผู้วิจัย และต้องบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ที่นำตัวอย่างงานเขียนนี้ขึ้นมา เพราะต้องการให้ทางรัฐบาลเห็นถึงปัญหาของระบบการศึกษาในเมืองไทย อย่างจริงจัง เพราะหากนี้คือ ผลงานเขียนภาคภาษาอังกฤษของผู้ที่เรียนถึงระดับด๊อกเตอร์ ดิฉันเชื่อว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องตระหนักถึงผลผลิตทรัพยากรมนุษย์ของชาติที่ไม่มีคุณภาพ
ต้องขอย้ำอีกรอบว่า หากนี้คือผลงานเขียนของผู้ที่เรียนถึงระดับด๊อกเตอร์ในไทย ดิฉันเชื่อว่า ระบบการเรียนการสอนในไทย บกพร่องอย่างเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษ หรือวิชาใด ๆ เพราะหัวข้อวิจัยที่ชื่อว่า High school students’ understanding of Nature in Science ในคำอธิบายภายใต้หัวข้อ Abstract แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษกันจริง ๆ การใช้ภาษาอังกฤษอธิบายถึงวิธีการทำงานวิจัย กลายเป็นงานที่คนเก่งอังกฤษพอได้ทำมาหากิน เขียนงานวิจัยเลี้ยงชีพ
ต้องยอมรับว่า คนไทยมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษน้อยมาก น่าอายมากค่ะ ที่ผู้ที่เรียนถึงระดับด๊อกเตอร์ ไม่สามารถอธิบายทฤษฎีของตน โดยใช้ภาษาที่เรียกได้ว่าเป็นภาษาสากลของโลก สื่อสารทฤษฎีที่ตนกำลังวิจัย เพื่อให้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้ประโยชน์แก่มวลชน ส่วนงานวิจัยเล่มนี้พิสูจน์ได้ว่า เด็กไทยมากกว่าครึ่งให้ความสนใจในเรื่องการเรียนรู้น้อยมาก เพราะเด็กไม่ต่อความคิดเห็นของตนเมื่อให้คำตอบ
ไทยเราสั่งและสอนให้เด็กจำคำตอบ แต่ไม่ได้สอนให้เด็กไทยรู้จักการหาคำตอบ เพราะการลงมือหาคำตอบ ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนคุ้นเคย พร้อมทั้งระบบการศึกษาไทยไม่ได้เสี้ยมสอนให้เด็กไทยเข้าใจถึงความสำคัญของการลงมือหาคำตอบ เพื่อก่อให้เกิดคำถาม เพื่อสร้างคำตอบอีกฉบับ จึงไม่มีวิธีการสอนใดในไทยเป็นวิธีการเรียนรู้เพื่อหาคำตอบในชีวิต
ดิฉันเชื่อว่า หากรัฐบาลส่งเสริมให้โรงเรียนประถมในแต่ละเขตการศึกษามีอาจารย์ผู้ที่เป็นเจ้าของภาษามาให้บทเรียนวิชาภาษาอังกฤษในห้อง การเข้าใจผิดระหว่าง ในการใช้ภาษาอังกฤษ คงไม่เกิด และจะไม่เข้าใจผิดระหว่างการใช้ aim and purpose หรือ การไม่ใช้ used ตามหลัง must หรือ ไม่ใช้ Adjective เป็น Noun หรือ ไม่ใช้ Naïve แทน innocent reaction ซึ่งความเข้าใจผิดพื้นฐานเหล่านี้เกิดจาก การที่ใช้ครูไทยสอนอังกฤษแต่ครูพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนการเขียน abstract ผู้วิจัยจะเข้าใจทันที่ว่า ควรเป็นการแสดงความคิดเห็นจากผลของงานวิจัย ไม่ใช่ให้บทสรุปของงานวิจัย
การมีความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ต้องมีการคุ้นเคยการใช้ภาษาก่อน นั้นคือ ต้องมีการอ่านและฟัง context ที่เป็นภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษาเป็นประจำ แต่เด็กไทย เท่าที่รู้ ครูเองไม่มีเวลาสอน แถมมีงานโรงเรียนต้องรับผิดชอบ ดังนั้นครูที่มีหน้าที่สอนแต่ต้องทำงานธุรการในโรงเรียนด้านอื่น ๆ อีก จึงไม่มีเวลาปรับความรู้ของตน แต่จัดสั่งงานให้เด็กทำ ในระหว่างที่ตนทำงานให้กับโรงเรียน ส่วนเด็กที่เรียนรู้ด้วยตนเอง คือ ลอก ๆ กันทำแล้วส่งครู จึงรู้จักแต่วิธีการลอกเลียนแบบอย่างคิดเองไม่เป็น ติดนิสัยไม่รู้จะหาคำตอบเอง เพราะนิสัยของการลอกเลียนมันง่ายกว่าที่จะต้องมานั่งคิด
ส่วนเมื่อถึงเวลาตรวจงาน ครูเองต้องให้คะแนนส่งเดชเพราะ หากเด็กนักเรียนตก ผลงานของครูก็จะตกตามไปด้วย ครูจึงไม่กล้าพอที่จะโปรโมทผลงานตนเองให้ตก แถมงานโรงเรียนมีมากจนไม่มีเวลามานั่งแน่ะว่า เด็กควรอ่านเรื่องที่ครูคัดมา หรือฟังเรื่องที่ครูได้ฟังมา ปัญหาการไม่มีเวลาสอนจึงสะสม ไปจนถึงการเรียนการสอนในระดับปริญญาเอก ที่บัณฑิตต้องมีความรู้พื้นฐานในการสื่อสารภาษาอังกฤษทั้งการพูดและการเขียน แต่ความรู้พื้นฐานนี้ไม่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ประถม
ส่วนนี้คือปัญหาการศึกษาของเราจริง ๆ คงถึงเวลาที่พวกเราต้องแก้ปัญหาที่ถูกจุดกันสักทีค่ะ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ด้วยความเคารพอย่างสูง
จากนี้คงเป็นหน้าที่ของ ผู้ปกครอง ที่จะปล่อยให้ลูกตัวเอง เดินผิดทางเพราะกรวงทรวงการศึกษา
ยังแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด --- ปล่อยให้ลูกเป็นหนี้การศึกษา ในระบบที่มีคุณภาพไม่ดีพอ
*** ไม่ว่าจะเป็นเด็กบ้านนอกหรือเด็กในเมือง ต่างก็เกิดบนแผ่นดินไทย เช่นเดียวกัน ***
*** ไม่ว่าจะเกิดมาจนหรือรวย ต่างก็เกิดบนแผ่นดินไทย ***
สิทธิ์ของการได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียมกัน เป็นหน้าของรัฐบาลที่ต้องดูแล
พัฒนาคนพัฒนาชาติ
ยุติเรื่องปลูกข้าวผิดนา ,,,, ปัญหาเรื้อรัง
จดหมายปัญหาการศึกษาส่วนนี้ ได้เดินทางถึงมือ คณะปฏิรูป คสช
เรื่องปัญหาการศึกษานี้เป็นแนวความคิด ที่เคยลงไปแล้ว พร้อมสัญาว่าจะเขียนจดหมายเกี่ยวกับ .....ปลูกข้าวผิดนา .... ซึ่ง ตอนนี้เป็นคำบรรยายลักษณะการศึกษาของไทยไปแล้ว เชื่อว่ากระทรวงการศึกษาเอง ตอนนี้กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ทั้งฝึกอบรมครู เพื่อให้ข้าวในนาไทยมีผลผลิตที่มีคุณภาพดีขึ้น
ข้าว / เด็กไทย ถึงแม้จะมีน้ำที่อุดมสมบูรณ์ และข้าวพันธุ์จะดีขนาดไหน แต่หากขาดปุ๋ย เช่น ครูเจ้าของภาษา มาช่วยปรับการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ คุณภาพระดับการใช้ภาษาอังกฤษของเด็กไทย ก็จะแย่พอ ๆ กัน
นี้เป็นจดหมายที่ส่งไปถึงคณะ คสช เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของการให้ครูเจ้าของภาษา เป็นผู้ให้บทเรียนสอนวิชาภาษาอังกฤษ
วันที่ 2 เดือน พฤษภาคม 2559 --- เป็นวันที่จดหมายได้เดินทางจากบ้านของดิฉัน ไปหา คสช แล้ว
เรียนท่านนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย, ท่านนายกประยุทธ์ จันโอชา
ดิฉันเป็นราชฎรไทยร้อยเปอร์เซ็น ที่ได้มีโอกาสมองเห็นความแตกต่างและปัญหาการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งตัวดิฉันเองเป็นเหยื่อที่ติดร่างแหในปัญหานี้ด้วย ดิฉันเชื่อว่า นี้คงไม่ใช่จดหมายฉบับแรกที่ราษฎรไทยเขียนขึ้น เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าใจถึงปัญหาการศึกษาที่ประเทศเรากำลังประสพ
การที่ออกมาประจานความน่าอายของตน ในเรื่องที่ เด็กไทยคิดไม่เป็น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเท่าใดค่ะ แต่เป็นเพราะดิฉันทนที่จะเห็นคนไทยด้วยกันเดินตกลงเหวลึกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะยิ่งอยู่นิ่ง เหมือนกับเป็นการประจานความฉลาดน้อยของกันและกัน ขออนุญาตยกตัวอย่างถึงปัญหาของการศึกษาไทย ที่ทำให้ต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น เผื่อท่านจะพิจารณาเห็นถึงทางแก้ปัญหาที่ถูกจุด
หลายครั้งที่ดิฉันมีเพื่อน ๆ มาให้ช่วยแก้ผิดและถูก ในการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งที่ผ่านมาดิฉันเองก็ช่วยเหลือเท่าที่ดิฉันช่วยได้ ในขณะเดียวกัน ก็ได้เปิดกลุ่มภาษาอังกฤษ Online ในวิธีที่ดิฉันเชื่อว่า อาจเป็นวิธีที่ช่วยปรับภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่สนใจ คือ ฟังการสนทนาจากเจ้าของภาษา วันล่ะ 5-10 นาที เพราะเชื่อว่า การฟังเป็นทักษะแรกของการสื่อสาร สามารถเข้าไปตรวจดูได้ในเว็ป Okanation.net ในหัวข้อ Practise English Online ได้ค่ะ
แต่ล่ะครั้ง ยิ่งลงในสิ่งที่ดิฉันคิดว่า เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ยิ่งทำให้หลาย ๆ คนในเมืองไทยเข้าใจผิดคิดว่า ภาษาอังกฤษของดิฉันดี ความเป็นจริง หากเปรียบกับการใช้ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาคนอื่น ๆ ระดับภาษาอังกฤษของดิฉันคงอยู่ปลายแถว
จดหมายฉบับนี้อยากเป็นตัวแทนของผู้ปกครองเด็กไทยทุกคน บอกผ่านรัฐบาลว่า ทำไมการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษถึงต้องพึ่งครูเจ้าของภาษา
ในชีวิตการรับใช้ประเทศชาติของคนไทย สิ่งที่สูงสุด คือ การครองตำแหน่งในฐานะผู้ปกครองประเทศ และในฐานะผู้ปกครองประเทศ ท่านนายกเองคงมองเห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ เพราะว่า การใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่สนทนาได้ เป็นอีกวิธีการเรียนรู้อย่างไม่มีขอบเขต
นี้คือผลงานการวิจัย ภาคภาษาอังกฤษส่วนหนึ่ง ของบุคคลที่เรียนถึงระดับ ด๊อกเตอร์ ในประเทศไทย ที่ต้องมานั่งงมการเขียนภาษาอังกฤษ เพื่ออธิบายทฤษฎีปัญหาในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่เด็ก ๆ เอง ไม่มีความเข้าใจความหมายเบื้องต้นของ คำว่า Nature of Science – จากที่อ่านในบท abstract -
ต้องขออนุญาติสงวนชื่อผู้วิจัย และต้องบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ที่นำตัวอย่างงานเขียนนี้ขึ้นมา เพราะต้องการให้ทางรัฐบาลเห็นถึงปัญหาของระบบการศึกษาในเมืองไทย อย่างจริงจัง เพราะหากนี้คือ ผลงานเขียนภาคภาษาอังกฤษของผู้ที่เรียนถึงระดับด๊อกเตอร์ ดิฉันเชื่อว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องตระหนักถึงผลผลิตทรัพยากรมนุษย์ของชาติที่ไม่มีคุณภาพ
ต้องขอย้ำอีกรอบว่า หากนี้คือผลงานเขียนของผู้ที่เรียนถึงระดับด๊อกเตอร์ในไทย ดิฉันเชื่อว่า ระบบการเรียนการสอนในไทย บกพร่องอย่างเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษ หรือวิชาใด ๆ เพราะหัวข้อวิจัยที่ชื่อว่า High school students’ understanding of Nature in Science ในคำอธิบายภายใต้หัวข้อ Abstract แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษกันจริง ๆ การใช้ภาษาอังกฤษอธิบายถึงวิธีการทำงานวิจัย กลายเป็นงานที่คนเก่งอังกฤษพอได้ทำมาหากิน เขียนงานวิจัยเลี้ยงชีพ
ต้องยอมรับว่า คนไทยมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษน้อยมาก น่าอายมากค่ะ ที่ผู้ที่เรียนถึงระดับด๊อกเตอร์ ไม่สามารถอธิบายทฤษฎีของตน โดยใช้ภาษาที่เรียกได้ว่าเป็นภาษาสากลของโลก สื่อสารทฤษฎีที่ตนกำลังวิจัย เพื่อให้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้ประโยชน์แก่มวลชน ส่วนงานวิจัยเล่มนี้พิสูจน์ได้ว่า เด็กไทยมากกว่าครึ่งให้ความสนใจในเรื่องการเรียนรู้น้อยมาก เพราะเด็กไม่ต่อความคิดเห็นของตนเมื่อให้คำตอบ
ไทยเราสั่งและสอนให้เด็กจำคำตอบ แต่ไม่ได้สอนให้เด็กไทยรู้จักการหาคำตอบ เพราะการลงมือหาคำตอบ ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนคุ้นเคย พร้อมทั้งระบบการศึกษาไทยไม่ได้เสี้ยมสอนให้เด็กไทยเข้าใจถึงความสำคัญของการลงมือหาคำตอบ เพื่อก่อให้เกิดคำถาม เพื่อสร้างคำตอบอีกฉบับ จึงไม่มีวิธีการสอนใดในไทยเป็นวิธีการเรียนรู้เพื่อหาคำตอบในชีวิต
ดิฉันเชื่อว่า หากรัฐบาลส่งเสริมให้โรงเรียนประถมในแต่ละเขตการศึกษามีอาจารย์ผู้ที่เป็นเจ้าของภาษามาให้บทเรียนวิชาภาษาอังกฤษในห้อง การเข้าใจผิดระหว่าง ในการใช้ภาษาอังกฤษ คงไม่เกิด และจะไม่เข้าใจผิดระหว่างการใช้ aim and purpose หรือ การไม่ใช้ used ตามหลัง must หรือ ไม่ใช้ Adjective เป็น Noun หรือ ไม่ใช้ Naïve แทน innocent reaction ซึ่งความเข้าใจผิดพื้นฐานเหล่านี้เกิดจาก การที่ใช้ครูไทยสอนอังกฤษแต่ครูพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนการเขียน abstract ผู้วิจัยจะเข้าใจทันที่ว่า ควรเป็นการแสดงความคิดเห็นจากผลของงานวิจัย ไม่ใช่ให้บทสรุปของงานวิจัย
การมีความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ต้องมีการคุ้นเคยการใช้ภาษาก่อน นั้นคือ ต้องมีการอ่านและฟัง context ที่เป็นภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษาเป็นประจำ แต่เด็กไทย เท่าที่รู้ ครูเองไม่มีเวลาสอน แถมมีงานโรงเรียนต้องรับผิดชอบ ดังนั้นครูที่มีหน้าที่สอนแต่ต้องทำงานธุรการในโรงเรียนด้านอื่น ๆ อีก จึงไม่มีเวลาปรับความรู้ของตน แต่จัดสั่งงานให้เด็กทำ ในระหว่างที่ตนทำงานให้กับโรงเรียน ส่วนเด็กที่เรียนรู้ด้วยตนเอง คือ ลอก ๆ กันทำแล้วส่งครู จึงรู้จักแต่วิธีการลอกเลียนแบบอย่างคิดเองไม่เป็น ติดนิสัยไม่รู้จะหาคำตอบเอง เพราะนิสัยของการลอกเลียนมันง่ายกว่าที่จะต้องมานั่งคิด
ส่วนเมื่อถึงเวลาตรวจงาน ครูเองต้องให้คะแนนส่งเดชเพราะ หากเด็กนักเรียนตก ผลงานของครูก็จะตกตามไปด้วย ครูจึงไม่กล้าพอที่จะโปรโมทผลงานตนเองให้ตก แถมงานโรงเรียนมีมากจนไม่มีเวลามานั่งแน่ะว่า เด็กควรอ่านเรื่องที่ครูคัดมา หรือฟังเรื่องที่ครูได้ฟังมา ปัญหาการไม่มีเวลาสอนจึงสะสม ไปจนถึงการเรียนการสอนในระดับปริญญาเอก ที่บัณฑิตต้องมีความรู้พื้นฐานในการสื่อสารภาษาอังกฤษทั้งการพูดและการเขียน แต่ความรู้พื้นฐานนี้ไม่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ประถม
ส่วนนี้คือปัญหาการศึกษาของเราจริง ๆ คงถึงเวลาที่พวกเราต้องแก้ปัญหาที่ถูกจุดกันสักทีค่ะ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ด้วยความเคารพอย่างสูง
จากนี้คงเป็นหน้าที่ของ ผู้ปกครอง ที่จะปล่อยให้ลูกตัวเอง เดินผิดทางเพราะกรวงทรวงการศึกษา
ยังแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด --- ปล่อยให้ลูกเป็นหนี้การศึกษา ในระบบที่มีคุณภาพไม่ดีพอ
*** ไม่ว่าจะเป็นเด็กบ้านนอกหรือเด็กในเมือง ต่างก็เกิดบนแผ่นดินไทย เช่นเดียวกัน ***
*** ไม่ว่าจะเกิดมาจนหรือรวย ต่างก็เกิดบนแผ่นดินไทย ***
สิทธิ์ของการได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียมกัน เป็นหน้าของรัฐบาลที่ต้องดูแล
พัฒนาคนพัฒนาชาติ