:: สวัสดีค่ะ ฉันเป็นลูกสาว ของเยาะ (พ่อ) ฮัจยีมูฮำหมัด ผู้ที่ถูกตัดสินโดยศาลชั้นสุดท้าย (ฎีกา) ให้จำคุก 10 ปี ::
ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า "โดยที่ตนเองและพี่เขย
ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย"
- ฉันจะเอาข้อความที่เยาะ เขียนไปถึงท่านอาจารย์คนหนึ่งในสำนักจุฬาฯ ที่รู้จักกันเพื่อเล่าสู่กันฟัง โดยเนื้อหา
เล่าถึงการเป็นอยู่ของมุสลิม รวมถึงตัวเยาะ ที่อยู่อย่างเจ็บปวด ในเรือนจำแห่งหนึ่ง -
ฉัน ไม่ขอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดนะคะ เพราะมันยาวมากค่ะ แต่ขอบอกไว้สั้นๆ ไม่ยาวมากว่า เยาะของดิฉันถูกใส่ร้ายว่า เป็นคนแทงผู้ที่บุรุกเข้ามา(โจทย์) ทั้งๆที่ คนแทงตัวจริงเป็นผู้หญิง(พี่สาวเยาะ) เธอยอมรับตั้งแต่ไปแจ้งความที่โรงพักแล้วว่าแทง เพราะถูกผู้ชายต่อย และเธอก็ไม่ได้หนีไปไหน เยาะและพี่เขย นอนอยู่บนบ้านของตน ไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีคนบุกรุกเข้ามา แล้วมีเรื่องกับหลานข้างบ้าน จู่ๆ จะไปพยายามฆ่าเขาได้อย่างไร ในเวลาอันสั้นนิดเดียว ตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่งกลายเป็นจำเลย รู้ไหมคะ? ว่าพยาน 3 คนฝ่ายนั้น ให้การกับตำรวจว่าอย่างไร? สามคนให้การว่า ผู้หญิงคือผู้แทงค่ะ แต่มาให้การกับศาลว่า เยาะแทง งง ไหมคะ เราแพ้เขา แพ้เงินเขาค่ะ
ตอนนี้ฉันกำลังขอถวายฎีกาให้กับเยาะอยู่ค่ะ
// เยาะของฉันเป็นคนธรรมดา ที่รักศาสนา รักการทำอิบาดัต ตักเตือน และเป็นผู้นำในทุกๆเรื่อง ทั้งกับพนักงาน และลูกๆหลานๆ //
มาเข้าเรื่องจดหมายของเยาะที่มีเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดในนั้นกัน
ช่วงที่ผมเข้ามาอยู่คืนแรก ผมร้องไห้นอนไม่หลับ ผมเป็นคนขี้อายมากต้องแก้ผ้าจนหมด เวลาแก้ผ้าทุกสายตาจะมองมาที่ผม 200 กว่าดวงตา ที่สำคัญ ผ้าใส่ละหมาดก็ไม่มี ต้องเอาผ้าห่มมาพันนุ่งละหมาด ที่ละหมาดก็ไม่มีต้องยืนตรงที่นอน กิบลัตอยู่ตรงไหนก็เดาไม่ได้ โดยสิ่งเหล่านี้ผมทำใจไม่ได้ เนื่องจากผมไม่ได้ทำอะไรผิด หลังจากคืนนั้นมา ตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาละหมาดซุบฮี่ก็ต้องใช้ผ้าห่มนุ่งละหมาดเหมือนเดิม แต่ก้มสุหยูดก็ไม่ได้ เพราะคนนอนอัดกันเต็มไปหมด มีพื้นที่ประมาณ 70-80 ซม. เท่ากับโลงศพเลย หลังจากนั้นเช้ามาอยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกกันลั่นเลยว่า จู ๆ จู อยู่ตรงไหน (คนที่รู้จักเรียกเยาะว่า จูหมัดค่ะ) ผมก็ตกใจว่าใครเรียก พอหันไปเห็นก็ตกใจ เห็นลูกน้องที่เคยทำงานกับผมเกือบ 20 คน ผมก็ร้องโอ้โห มาอยู่กันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย เต็มไปหมดเลย นี่เลยทำให้ผมมีจิตใจที่ดีขึ้น และที่ผมอดทนอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะพระเจ้าของผม และกำลังรอความหวังจากท่านอยู่ทุกวันนี้ให้เข้ามาพัฒนาเรื่องของศาสนา
หลังจากนั้นวันต่อมา ผมก็ถูกย้ายมาอยู่อาคารแรกรับ มีคนละหมาดอยู่ 3 คนรวมทั้งผม ยังไม่แน่ใจว่าในที่นี้มีมุสลิมกี่คน เพราะอยู่ปนกันไปหมด และเห็นแต่คนที่มีรอยสักเป็นส่วนมาก แต่พอต้องแจ้งเขาว่ามีคนในศาสนาอิสลามกี่คน ก็ได้รู้ครับ ผมเลยเริ่มเชิญชวนให้ทำละหมาด กินข้าวซุโฮร อัลลอฮฺก็ให้เนี๊ยะมัตจริงๆ มุสลิมตื่นกินข้าวและทำละหมาดมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่จะยืนละหมาด ผมจึงคุยกับหัวหน้าให้จัดหาที่ให้อยู่เฉพาะมุสลิม ให้อยู่รวมกัน เพื่อพื้นที่จะได้กว้างขึ้น และก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ต้องขังที่เป็นหัวหน้าห้อง ชาวพุทธ เรื่องพื้นที่ด้วย หลังจากนั้นมาก็เลยคิดขึ้นมาว่าจะทำยังไง ทำให้พี่น้องเราทำละหมาดมากขึ้นเรื่อยๆให้ได้ และแล้วพระเจ้าก็ให้ ผมได้เชิญชวนคนมาทำละหมาดในอาคารแรกรับ เพิ่มได้ถึง 30 คน หลังจากนั้นผมก็ต้องถูกย้ายจากอาคารแรกรับ ไปอยู่โรงครัวตามระเบียบของเรือนจำ ในนี้จะมีมุสลิมมากหน่อย ไปอยู่วันแรกมีทำละหมาดกัน 5-6 คน ถามคนที่ทำละหมาดด้วยกันว่ามีมุสลิมกี่คน จึงทราบว่ามีประมาณ 30 กว่าคน ผมก็ใช้วิธีเดิมสอนเรื่องศาสนาและเชิญชวนให้พี่น้องหันมาทำละหมาด พระเจ้าก็ทำให้เห็น ว่ามุสลิมเราเริ่มเห็นความสำคัญของศาสนามากขึ้น บางคนกลับบอกว่าจู อย่าไปชวนเลย ผมอยู่มาเกือบปีไม่มีใครคิดจะละหมาดกันเลย ผมเลยบอกว่า นบีมูฮำหมัด (ซล.) ของเรานั้นกว่าจะได้ผู้ปฏิเสธศรัทธามาเข้ารับอิสลามนั้น ถ้าคิดรวมแล้วท่านเดินทางมีระยะทางเป็น 1,000 กิโลฯแค่คนๆเดียว ในที่สุดพระเจ้าก็ให้เห็นว่าผมทำได้และควรทำต่อไปเรื่อยๆ คนที่เขาพูดกันว่ามาอยู่นี่ไม่เคยทำละหมาดเลย ก้มายืนละหมาดกันเต็มไปหมด ห้องนอนใหม่ 4/5 , 4/6 มีคนละหมาดกันเต็มห้อง นี่ละครับสิ่งที่ผมตั้งใจ พระเจ้าก็ช่วยจริงๆ หลังจากนั้นมาผมก็ย้ายมาอยู่หน้าส่วนควบคุม แดน 1 ได้ใส่เสื้อสีขาว มาอยู่นี่มีคนทำละหมดอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มผมมี 2 คนยืนละหมาดบนrพื้นยกสูงขึ้นมา และรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งยืนละหมาดหน้าห้องน้ำ 2 คน อีกกลุ่มยืนละหมาดกลางห้อง 2 คน
เข้ามาคืนแรก คิดว่า เราจะละหมาดอย่างไรเราจะมีที่ยืนละหมาดไหม เพราะที่ ที่คนอื่นละหมาดมันเป็นที่นอนก็จุได้แค่ 2 คน พอดีได้เจอน้องคนหนึ่งที่เคยอยู่ด้วยกันที่โรงครัวที่ย้ายออกมาก่อน จำได้ว่าตอนนั้นชวนเขาละหมาด แต่เขาไม่ละหมาด พอมาเจอเขาที่แดน 1 ก็บอกเขาว่า ซาฟีอี เดี๋ยวละหมาดเป็นเพื่อนหน่อยนะ ผมยังไม่เคยมาอยู่ตรงนี้ กลัวไม่มีที่จะละหมาด อาจารย์รู้ไหมครับว่า เขาตอบว่าอย่างไร เขาบอกว่าได้ครับจู ผมอึ้งและมีน้ำตาไหลออกมาให้เขาเห็นโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ผมจับมือเขาแล้วพูดว่าอัลฮัมดุลิ้ลละห์ พระเจ้าเปิดหัวใจอีกแล้ว แล้วเขากับผมก็ยืนละหมาดคู่กันมาโดยตลอดทั้ง 3 เวลา กลางคืน ส่วนเวลากลางวันผมกับเขาก็ต่างคนต่างละหมาด เพราะทำงานกันคนละที่ เหตุผลที่ต้องยืนละหมาดเป็นคู่ ๆ เพราะต้องยืนละหมาดตรงที่เรานอนครับแบ่งพื้นที่กัน พื้นที่นอนของแต่ละคนนั้นประมาณ 80 เมตร แต่ผู้ต้องขังนั้นเยอะ เวลานอนก็จะเบียดกันถึงขั้นต้องนอนตะแครงเลยทีเดียว บางคนตื่นขึ้นมาเดินไม่ได้ทั้งๆที่ร่างกายแข็งแรง แต่เหตุเพราะนอนทับเส้นตัวเอง นอนตะแครงอยู่ข้างเดียว ก็ต้องรักษากินยาในนั้น เดือนสองเดือนครับกว่าจะหาย บางคนเป็นปีครับ เป็นหนัก ผมเคยนอนคู่กับยีชุม พี่เขยผมเองที่ไม่ได้กระทำความผิดในคดีเดียวกันกับผม ที่อาคาร 4/5 โรงครัว อาจารย์ครับ ยีชุมเข่าผมทุกคืนเลย ผมถามว่า ยีชุมเข่าผมทำไมเนี่ย เขาก็ไม่ตอบ ที่ไหนได้แกหลับอยู่ เช้ามาก็ถาม เขาบอกว่ามันกระตุก โอ้โฮ อันตรายนะครับ เดี๋ยวเข่า เดี๋ยวศอก ถามไปถามมาเป็นเก๊าครับ เขาบอกมันปวด สงสัยไม่ได้กินกระท่อม ฮะฮะ (อันนี้แซวเล่นครับ)
มาเล่าเรื่องแดน 1 ที่ผมอยู่ปัจจุบันกันต่อ ที่ว่าละหมาด 2 คน 3 กลุ่ม รวม 6 คนนั้น ก็ไม่รุ้ว่าคนที่เหลือใครเป็นมุสลิมบ้าง ถามซาฟีอี ๆ บอกว่า มีอีกน่าจะประมาณ 13 คน ที่ยังไม่สนใจการทำละหมาด ซาฟีอีชี้ให้ผมดู ผมก็คิด ว่าจะทำอย่างไรดี เรามาอยู่ทีหลังเขา จะขึงขัง จะว่าแรงอะไรไม่ได้ ก็เลยชวนเชิญชวนกันแบบเดิม จนบางคนยังไม่ทันได้ทำละหมาดก็ออกจากคุกไปซะก่อน แต่คนที่ไม่ได้ทำละหมาดที่ยังอยู่ก็เริ่มทำละหมาดแล้วครับ ผมก็แอบร้องไห้ ดีใจอีกแล้ว นึกไปถึงพระเจ้าทุกครั้งที่ได้เห็นคนที่เขาไม่ทำละหมาด หันมาทำละหมาดกัน คิดว่าพระเจ้าคงดีใจ เพราะขนาดเรายังดีใจเลย ตอนนี้มุสลิมในห้อง หันมาทำละหมาดกันหมดแล้ว เหลือแค่คนเดียวเท่านั้น นี่คือส่วนหนึ่งของการตักเตือน เชิญชวนของผม การมีผู้นำนั้นสำคัญมากจริงๆ นี่ขนาดผมมีความรู้แค่น้อยนิด ที่มาจากการค้นคว้าด้วยตนเอง ก็ยังสามารถตักเตือนและเชิญชวนมุสลิมให้หันมาทำละหมาดได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นอาจารย์ต่างๆ ผลัดกันเข้ามาให้ความรู้ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย มาละหมาดวันศุกร์ มากุตบะฮฺให้ฟัง เอาเนื้อหาที่ลึกซึ่งให้เขาได้เข้าใจ ให้เขาได้เกรงกลัว ต่อการที่จะขาดการทำละหมาด แล้วในส่วนคนที่ไม่อยากละหมาด ผมถามเขาว่าเพราะอะไร ให้บอกตรงๆไม่ต้องอาย เขาบอกว่า ผมอ่านอัลฮัม (ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์) ได้อย่างเดียวครับ ก็เลยรู้ว่าเขาอ่านกันไม่ได้อย่างที่ผมคิดไว้จริง ๆ ผมกับเพื่อนที่พอจะมีความรู้หน่อย ก็จดให้เขาได้อ่าน บางคนก็อ่านไม่ชัด อ่านไม่ได้ ขนาดเขียนเป็นภาษาไทย แต่เขาก็ยังทำละหมาด ด้วยกับการเชิญชวนกันเมื่อถึงเวลา
นี่แหละครับที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีผู้นำที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องศาสนาแล้วล่ะก็ ที่นั่นก็จะต้องตกอยู่ในสภาพที่ขาดทุนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคนที่มีความรู้ แล้วไม่สนใจถ่ายทอด ตักเตือนคนที่ไม่รู้ ให้ได้รู้ อัลลอฮฺ (ซบ.) บอกไว้ว่า แท้จริง บรรดาผู้ที่ปกปิด หรือปิดบังหลักฐานอันชัดเจน และทางนำอันถูกต้องที่เราได้ให้ลงมา หลังจากที่เราได้ให้มันไว้แล้ว คัมภีร์สำหรับมนุษย์นั้น ชนเหล่านี้แหละที่อัลลอฮฺจะทรงสาปแช่งเขา และผู้สาปแช่งทั้งหลาย ก็จะสาปแช่งพวกเขาด้วย - ซูเราะหฺอัลบากอเราะห์ อายะห์ที่ 159 อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้บอกว่าคนที่มีความรู้แล้วไม่นำออกเผยแพร่ให้บ่าวของฉันได้เข้าใจ ฉันก็จะเกลียดเขา เปรียบเสมือนว่าปิดบังความรู้นั่นเอง ดังนั้นช่วยกันหาวิธีพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ของศาสนาเรากันเถิด กับสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ในเรือนจำจะปลูกฝังกันนั้นทำได้ง่าย เพราะเป็นที่รวมของมุสลิมที่ใช้ชีวิตผิดพลาด อยากให้สำนักจุฬาฯ เข้ามามีบทบาททางด้านศาสนา
ส่วนในเดือนรอมาฎอนนั้น ผมอยากจะขออาหารทีดีกว่า ให้กับพี่น้องมุสลิม ทั้งเวลาซุโฮร และเวลาละศีลอด เพราะที่ผ่านมา บางคืนต้องทานแกงบูด ข้าวบูด ซึ่งเป็นความขมขื่นอย่างมาก ไม่มีใครเห็นความสำคัญ เรื่องเหล่านี้ได้แจ้งทางฝ่ายโรงครัวเป็นประจำ แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นเลย เพราะส่วนใหญ่คนพวกนั้นไม่ใช่คนอิสลามด้วย เลยไม่ใส่ใจ
อาจารย์ครับ ก่อนนี้ มีผู้คุมเป็นมุสลิม เขามีตำแหน่งที่สูงสามารถต่อคุยกับผู้คุมที่ไม่ให้ความร่วมมือกับศาสนาอิสลามในที่นี้ได้ เขาเรียกคนๆนี้ว่า บังสุเรน ถ้าถึงเวลาอาซาน ใครจะประกาศอะไรแทรกไม่ได้ต้องหยุดหมด มีมัสยิดไว้ละหมาดวันศุกร์ข้างใน แต่เมื่อบังสุเรนได้ย้ายไปที่อื่น ก็ไม่มีใครเป็นหลักให้ศาสนาเราในเรือนจำนี้ ผู้คุมที่ไม่ใช่มุสลิมก็สั่งรื้อมัสยิดในนี้ พร้อมพูดว่า พวกอยากทำเสียกันเอง เพราะก่อนๆนี้ ทั้งคนศาสนาอื่น และคนอิสลาม เอาของที่เรือนจำห้าม มีดบ้าง เหล็กแหลมบ้าง มือถือบ้างไปแอบไว้ในมัสยิด ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ควรถึงกับรื้อมัสยิด คนดีๆ ที่ต้องการมัสยิดมีมากมาย เป็นมัสยิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยพี่น้องมุสลิมในนี้ และเงินสบทบบริจาคจากญาติๆของผู้ต้องขัง ด้วย
ในเรื่องของการละหมาดว่าต้องการให้สนับสนุนอย่างไร เช่น ผ้าปูละหมาด หมวก เสื้อ เสื่อซอฟต์ สถานที่อาบน้ำละหมาด ทั้งนอกและในห้อง อยากให้มีก๊อกให้ ทุกวันนี้ไม่มี มีเพียงก็เดียวที่ใช้เปิดลงอ่างล้างก้น เวลาที่ใครจะเปิดไปอาบน้ำละหมาด ก็จะเห็นคนนั่งอุจระ ปัสวะ ไปด้วย มันไม่ดีเลย กิ๊บลัตก็ไม่ชัดเจน ผู้คุมในนี้บอกอิสลามเรื่องมาก ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด เหยียดหยามศาสนาเราต่างๆ นาๆ จนมุสลิมอ้าปากไม่ได้ เอาสะโหร่งขว้างทิ้งบ้าง เตะหมวก เตะผ้าทิ้งบ้าง เป็นของใช้ที่เราใช้เข้าเฝ้าพระเจ้าของเรา เป็นสิ่งที่ปวดร้าวเหลือเกิน เราไปทำอะไรให้เขานักหนา
สุดท้ายนี้ ผมขอจากพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ได้โปรดคุ้มครองท่านจุฬาราชมนตรี และอาจารย์พร้อมคณะกรรมการทุกคน ให้จงมีแต่ความดีงาม ความสุข และริสกีที่มากมาย มีร่างกายที่แข็งแรง อย่าได้เจ็บ อย่าได้ไข้ และมีอายุที่ยืนยาวตลอดไป ถ้าจะต้องกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ (ซบ.) แล้วก็ขอให้เป็นชาวสวรรค์ โดยที่ไม่ต้องถูกสอบสวนแม้แต่น้อย ขอพระองค์ได้รับการขอพรจากข้าพระองค์นี้ด้วยเถิด อามีน
จบแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงจุดนี้ อยากเล่าสู่กันฟังถึงความเจ็บปวดของเยาะ ความลำบากลำบนในนั้นที่ยังไม่ได้เล่า และไม่สมควรเล่ายังมีอีกมายเหลือเกิน
บางครั้งหนูก็แอบคิดนนะ ว่าเยาะทนอยู่ได้อย่างไร เยาะไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ
ถ้าเยาะไม่บอกว่าเยาะอยู่ได้ด้วยพระองค์ หนูก็ไม่รู้จะคิดแบบไหนแล้ว
เราครอบครัวนี้ เชื่อว่า อัลลอฮฺรักเยาะมากๆ ทดสอบอย่างหนักหน่วง พระองค์กำลังลบล้างบาปที่มีของเยาะอยู่ นี่แหละเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรา อยู่ได้ อดทนรอวันที่เยาะได้กลับบ้าน
ขอให้เรื่องถวายฎีกาสำเร็จ เร็วๆ ด้วยเถอะ
ขอบคุณทุกคนค่ะ
จดหมายจากมุสลีมีน คนหนึ่ง ที่ถูกจำคุก 10 ปี โดยไม่ได้ทำความผิด
ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า "โดยที่ตนเองและพี่เขยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย"
- ฉันจะเอาข้อความที่เยาะ เขียนไปถึงท่านอาจารย์คนหนึ่งในสำนักจุฬาฯ ที่รู้จักกันเพื่อเล่าสู่กันฟัง โดยเนื้อหา เล่าถึงการเป็นอยู่ของมุสลิม รวมถึงตัวเยาะ ที่อยู่อย่างเจ็บปวด ในเรือนจำแห่งหนึ่ง -
ฉัน ไม่ขอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดนะคะ เพราะมันยาวมากค่ะ แต่ขอบอกไว้สั้นๆ ไม่ยาวมากว่า เยาะของดิฉันถูกใส่ร้ายว่า เป็นคนแทงผู้ที่บุรุกเข้ามา(โจทย์) ทั้งๆที่ คนแทงตัวจริงเป็นผู้หญิง(พี่สาวเยาะ) เธอยอมรับตั้งแต่ไปแจ้งความที่โรงพักแล้วว่าแทง เพราะถูกผู้ชายต่อย และเธอก็ไม่ได้หนีไปไหน เยาะและพี่เขย นอนอยู่บนบ้านของตน ไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีคนบุกรุกเข้ามา แล้วมีเรื่องกับหลานข้างบ้าน จู่ๆ จะไปพยายามฆ่าเขาได้อย่างไร ในเวลาอันสั้นนิดเดียว ตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่งกลายเป็นจำเลย รู้ไหมคะ? ว่าพยาน 3 คนฝ่ายนั้น ให้การกับตำรวจว่าอย่างไร? สามคนให้การว่า ผู้หญิงคือผู้แทงค่ะ แต่มาให้การกับศาลว่า เยาะแทง งง ไหมคะ เราแพ้เขา แพ้เงินเขาค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังขอถวายฎีกาให้กับเยาะอยู่ค่ะ
// เยาะของฉันเป็นคนธรรมดา ที่รักศาสนา รักการทำอิบาดัต ตักเตือน และเป็นผู้นำในทุกๆเรื่อง ทั้งกับพนักงาน และลูกๆหลานๆ //
มาเข้าเรื่องจดหมายของเยาะที่มีเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดในนั้นกัน
ช่วงที่ผมเข้ามาอยู่คืนแรก ผมร้องไห้นอนไม่หลับ ผมเป็นคนขี้อายมากต้องแก้ผ้าจนหมด เวลาแก้ผ้าทุกสายตาจะมองมาที่ผม 200 กว่าดวงตา ที่สำคัญ ผ้าใส่ละหมาดก็ไม่มี ต้องเอาผ้าห่มมาพันนุ่งละหมาด ที่ละหมาดก็ไม่มีต้องยืนตรงที่นอน กิบลัตอยู่ตรงไหนก็เดาไม่ได้ โดยสิ่งเหล่านี้ผมทำใจไม่ได้ เนื่องจากผมไม่ได้ทำอะไรผิด หลังจากคืนนั้นมา ตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาละหมาดซุบฮี่ก็ต้องใช้ผ้าห่มนุ่งละหมาดเหมือนเดิม แต่ก้มสุหยูดก็ไม่ได้ เพราะคนนอนอัดกันเต็มไปหมด มีพื้นที่ประมาณ 70-80 ซม. เท่ากับโลงศพเลย หลังจากนั้นเช้ามาอยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกกันลั่นเลยว่า จู ๆ จู อยู่ตรงไหน (คนที่รู้จักเรียกเยาะว่า จูหมัดค่ะ) ผมก็ตกใจว่าใครเรียก พอหันไปเห็นก็ตกใจ เห็นลูกน้องที่เคยทำงานกับผมเกือบ 20 คน ผมก็ร้องโอ้โห มาอยู่กันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย เต็มไปหมดเลย นี่เลยทำให้ผมมีจิตใจที่ดีขึ้น และที่ผมอดทนอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะพระเจ้าของผม และกำลังรอความหวังจากท่านอยู่ทุกวันนี้ให้เข้ามาพัฒนาเรื่องของศาสนา
หลังจากนั้นวันต่อมา ผมก็ถูกย้ายมาอยู่อาคารแรกรับ มีคนละหมาดอยู่ 3 คนรวมทั้งผม ยังไม่แน่ใจว่าในที่นี้มีมุสลิมกี่คน เพราะอยู่ปนกันไปหมด และเห็นแต่คนที่มีรอยสักเป็นส่วนมาก แต่พอต้องแจ้งเขาว่ามีคนในศาสนาอิสลามกี่คน ก็ได้รู้ครับ ผมเลยเริ่มเชิญชวนให้ทำละหมาด กินข้าวซุโฮร อัลลอฮฺก็ให้เนี๊ยะมัตจริงๆ มุสลิมตื่นกินข้าวและทำละหมาดมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่จะยืนละหมาด ผมจึงคุยกับหัวหน้าให้จัดหาที่ให้อยู่เฉพาะมุสลิม ให้อยู่รวมกัน เพื่อพื้นที่จะได้กว้างขึ้น และก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ต้องขังที่เป็นหัวหน้าห้อง ชาวพุทธ เรื่องพื้นที่ด้วย หลังจากนั้นมาก็เลยคิดขึ้นมาว่าจะทำยังไง ทำให้พี่น้องเราทำละหมาดมากขึ้นเรื่อยๆให้ได้ และแล้วพระเจ้าก็ให้ ผมได้เชิญชวนคนมาทำละหมาดในอาคารแรกรับ เพิ่มได้ถึง 30 คน หลังจากนั้นผมก็ต้องถูกย้ายจากอาคารแรกรับ ไปอยู่โรงครัวตามระเบียบของเรือนจำ ในนี้จะมีมุสลิมมากหน่อย ไปอยู่วันแรกมีทำละหมาดกัน 5-6 คน ถามคนที่ทำละหมาดด้วยกันว่ามีมุสลิมกี่คน จึงทราบว่ามีประมาณ 30 กว่าคน ผมก็ใช้วิธีเดิมสอนเรื่องศาสนาและเชิญชวนให้พี่น้องหันมาทำละหมาด พระเจ้าก็ทำให้เห็น ว่ามุสลิมเราเริ่มเห็นความสำคัญของศาสนามากขึ้น บางคนกลับบอกว่าจู อย่าไปชวนเลย ผมอยู่มาเกือบปีไม่มีใครคิดจะละหมาดกันเลย ผมเลยบอกว่า นบีมูฮำหมัด (ซล.) ของเรานั้นกว่าจะได้ผู้ปฏิเสธศรัทธามาเข้ารับอิสลามนั้น ถ้าคิดรวมแล้วท่านเดินทางมีระยะทางเป็น 1,000 กิโลฯแค่คนๆเดียว ในที่สุดพระเจ้าก็ให้เห็นว่าผมทำได้และควรทำต่อไปเรื่อยๆ คนที่เขาพูดกันว่ามาอยู่นี่ไม่เคยทำละหมาดเลย ก้มายืนละหมาดกันเต็มไปหมด ห้องนอนใหม่ 4/5 , 4/6 มีคนละหมาดกันเต็มห้อง นี่ละครับสิ่งที่ผมตั้งใจ พระเจ้าก็ช่วยจริงๆ หลังจากนั้นมาผมก็ย้ายมาอยู่หน้าส่วนควบคุม แดน 1 ได้ใส่เสื้อสีขาว มาอยู่นี่มีคนทำละหมดอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มผมมี 2 คนยืนละหมาดบนrพื้นยกสูงขึ้นมา และรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งยืนละหมาดหน้าห้องน้ำ 2 คน อีกกลุ่มยืนละหมาดกลางห้อง 2 คน
เข้ามาคืนแรก คิดว่า เราจะละหมาดอย่างไรเราจะมีที่ยืนละหมาดไหม เพราะที่ ที่คนอื่นละหมาดมันเป็นที่นอนก็จุได้แค่ 2 คน พอดีได้เจอน้องคนหนึ่งที่เคยอยู่ด้วยกันที่โรงครัวที่ย้ายออกมาก่อน จำได้ว่าตอนนั้นชวนเขาละหมาด แต่เขาไม่ละหมาด พอมาเจอเขาที่แดน 1 ก็บอกเขาว่า ซาฟีอี เดี๋ยวละหมาดเป็นเพื่อนหน่อยนะ ผมยังไม่เคยมาอยู่ตรงนี้ กลัวไม่มีที่จะละหมาด อาจารย์รู้ไหมครับว่า เขาตอบว่าอย่างไร เขาบอกว่าได้ครับจู ผมอึ้งและมีน้ำตาไหลออกมาให้เขาเห็นโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ผมจับมือเขาแล้วพูดว่าอัลฮัมดุลิ้ลละห์ พระเจ้าเปิดหัวใจอีกแล้ว แล้วเขากับผมก็ยืนละหมาดคู่กันมาโดยตลอดทั้ง 3 เวลา กลางคืน ส่วนเวลากลางวันผมกับเขาก็ต่างคนต่างละหมาด เพราะทำงานกันคนละที่ เหตุผลที่ต้องยืนละหมาดเป็นคู่ ๆ เพราะต้องยืนละหมาดตรงที่เรานอนครับแบ่งพื้นที่กัน พื้นที่นอนของแต่ละคนนั้นประมาณ 80 เมตร แต่ผู้ต้องขังนั้นเยอะ เวลานอนก็จะเบียดกันถึงขั้นต้องนอนตะแครงเลยทีเดียว บางคนตื่นขึ้นมาเดินไม่ได้ทั้งๆที่ร่างกายแข็งแรง แต่เหตุเพราะนอนทับเส้นตัวเอง นอนตะแครงอยู่ข้างเดียว ก็ต้องรักษากินยาในนั้น เดือนสองเดือนครับกว่าจะหาย บางคนเป็นปีครับ เป็นหนัก ผมเคยนอนคู่กับยีชุม พี่เขยผมเองที่ไม่ได้กระทำความผิดในคดีเดียวกันกับผม ที่อาคาร 4/5 โรงครัว อาจารย์ครับ ยีชุมเข่าผมทุกคืนเลย ผมถามว่า ยีชุมเข่าผมทำไมเนี่ย เขาก็ไม่ตอบ ที่ไหนได้แกหลับอยู่ เช้ามาก็ถาม เขาบอกว่ามันกระตุก โอ้โฮ อันตรายนะครับ เดี๋ยวเข่า เดี๋ยวศอก ถามไปถามมาเป็นเก๊าครับ เขาบอกมันปวด สงสัยไม่ได้กินกระท่อม ฮะฮะ (อันนี้แซวเล่นครับ)
มาเล่าเรื่องแดน 1 ที่ผมอยู่ปัจจุบันกันต่อ ที่ว่าละหมาด 2 คน 3 กลุ่ม รวม 6 คนนั้น ก็ไม่รุ้ว่าคนที่เหลือใครเป็นมุสลิมบ้าง ถามซาฟีอี ๆ บอกว่า มีอีกน่าจะประมาณ 13 คน ที่ยังไม่สนใจการทำละหมาด ซาฟีอีชี้ให้ผมดู ผมก็คิด ว่าจะทำอย่างไรดี เรามาอยู่ทีหลังเขา จะขึงขัง จะว่าแรงอะไรไม่ได้ ก็เลยชวนเชิญชวนกันแบบเดิม จนบางคนยังไม่ทันได้ทำละหมาดก็ออกจากคุกไปซะก่อน แต่คนที่ไม่ได้ทำละหมาดที่ยังอยู่ก็เริ่มทำละหมาดแล้วครับ ผมก็แอบร้องไห้ ดีใจอีกแล้ว นึกไปถึงพระเจ้าทุกครั้งที่ได้เห็นคนที่เขาไม่ทำละหมาด หันมาทำละหมาดกัน คิดว่าพระเจ้าคงดีใจ เพราะขนาดเรายังดีใจเลย ตอนนี้มุสลิมในห้อง หันมาทำละหมาดกันหมดแล้ว เหลือแค่คนเดียวเท่านั้น นี่คือส่วนหนึ่งของการตักเตือน เชิญชวนของผม การมีผู้นำนั้นสำคัญมากจริงๆ นี่ขนาดผมมีความรู้แค่น้อยนิด ที่มาจากการค้นคว้าด้วยตนเอง ก็ยังสามารถตักเตือนและเชิญชวนมุสลิมให้หันมาทำละหมาดได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นอาจารย์ต่างๆ ผลัดกันเข้ามาให้ความรู้ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย มาละหมาดวันศุกร์ มากุตบะฮฺให้ฟัง เอาเนื้อหาที่ลึกซึ่งให้เขาได้เข้าใจ ให้เขาได้เกรงกลัว ต่อการที่จะขาดการทำละหมาด แล้วในส่วนคนที่ไม่อยากละหมาด ผมถามเขาว่าเพราะอะไร ให้บอกตรงๆไม่ต้องอาย เขาบอกว่า ผมอ่านอัลฮัม (ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์) ได้อย่างเดียวครับ ก็เลยรู้ว่าเขาอ่านกันไม่ได้อย่างที่ผมคิดไว้จริง ๆ ผมกับเพื่อนที่พอจะมีความรู้หน่อย ก็จดให้เขาได้อ่าน บางคนก็อ่านไม่ชัด อ่านไม่ได้ ขนาดเขียนเป็นภาษาไทย แต่เขาก็ยังทำละหมาด ด้วยกับการเชิญชวนกันเมื่อถึงเวลา
นี่แหละครับที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีผู้นำที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องศาสนาแล้วล่ะก็ ที่นั่นก็จะต้องตกอยู่ในสภาพที่ขาดทุนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคนที่มีความรู้ แล้วไม่สนใจถ่ายทอด ตักเตือนคนที่ไม่รู้ ให้ได้รู้ อัลลอฮฺ (ซบ.) บอกไว้ว่า แท้จริง บรรดาผู้ที่ปกปิด หรือปิดบังหลักฐานอันชัดเจน และทางนำอันถูกต้องที่เราได้ให้ลงมา หลังจากที่เราได้ให้มันไว้แล้ว คัมภีร์สำหรับมนุษย์นั้น ชนเหล่านี้แหละที่อัลลอฮฺจะทรงสาปแช่งเขา และผู้สาปแช่งทั้งหลาย ก็จะสาปแช่งพวกเขาด้วย - ซูเราะหฺอัลบากอเราะห์ อายะห์ที่ 159 อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้บอกว่าคนที่มีความรู้แล้วไม่นำออกเผยแพร่ให้บ่าวของฉันได้เข้าใจ ฉันก็จะเกลียดเขา เปรียบเสมือนว่าปิดบังความรู้นั่นเอง ดังนั้นช่วยกันหาวิธีพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ของศาสนาเรากันเถิด กับสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ในเรือนจำจะปลูกฝังกันนั้นทำได้ง่าย เพราะเป็นที่รวมของมุสลิมที่ใช้ชีวิตผิดพลาด อยากให้สำนักจุฬาฯ เข้ามามีบทบาททางด้านศาสนา
ส่วนในเดือนรอมาฎอนนั้น ผมอยากจะขออาหารทีดีกว่า ให้กับพี่น้องมุสลิม ทั้งเวลาซุโฮร และเวลาละศีลอด เพราะที่ผ่านมา บางคืนต้องทานแกงบูด ข้าวบูด ซึ่งเป็นความขมขื่นอย่างมาก ไม่มีใครเห็นความสำคัญ เรื่องเหล่านี้ได้แจ้งทางฝ่ายโรงครัวเป็นประจำ แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นเลย เพราะส่วนใหญ่คนพวกนั้นไม่ใช่คนอิสลามด้วย เลยไม่ใส่ใจ
อาจารย์ครับ ก่อนนี้ มีผู้คุมเป็นมุสลิม เขามีตำแหน่งที่สูงสามารถต่อคุยกับผู้คุมที่ไม่ให้ความร่วมมือกับศาสนาอิสลามในที่นี้ได้ เขาเรียกคนๆนี้ว่า บังสุเรน ถ้าถึงเวลาอาซาน ใครจะประกาศอะไรแทรกไม่ได้ต้องหยุดหมด มีมัสยิดไว้ละหมาดวันศุกร์ข้างใน แต่เมื่อบังสุเรนได้ย้ายไปที่อื่น ก็ไม่มีใครเป็นหลักให้ศาสนาเราในเรือนจำนี้ ผู้คุมที่ไม่ใช่มุสลิมก็สั่งรื้อมัสยิดในนี้ พร้อมพูดว่า พวกอยากทำเสียกันเอง เพราะก่อนๆนี้ ทั้งคนศาสนาอื่น และคนอิสลาม เอาของที่เรือนจำห้าม มีดบ้าง เหล็กแหลมบ้าง มือถือบ้างไปแอบไว้ในมัสยิด ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ควรถึงกับรื้อมัสยิด คนดีๆ ที่ต้องการมัสยิดมีมากมาย เป็นมัสยิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยพี่น้องมุสลิมในนี้ และเงินสบทบบริจาคจากญาติๆของผู้ต้องขัง ด้วย
ในเรื่องของการละหมาดว่าต้องการให้สนับสนุนอย่างไร เช่น ผ้าปูละหมาด หมวก เสื้อ เสื่อซอฟต์ สถานที่อาบน้ำละหมาด ทั้งนอกและในห้อง อยากให้มีก๊อกให้ ทุกวันนี้ไม่มี มีเพียงก็เดียวที่ใช้เปิดลงอ่างล้างก้น เวลาที่ใครจะเปิดไปอาบน้ำละหมาด ก็จะเห็นคนนั่งอุจระ ปัสวะ ไปด้วย มันไม่ดีเลย กิ๊บลัตก็ไม่ชัดเจน ผู้คุมในนี้บอกอิสลามเรื่องมาก ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด เหยียดหยามศาสนาเราต่างๆ นาๆ จนมุสลิมอ้าปากไม่ได้ เอาสะโหร่งขว้างทิ้งบ้าง เตะหมวก เตะผ้าทิ้งบ้าง เป็นของใช้ที่เราใช้เข้าเฝ้าพระเจ้าของเรา เป็นสิ่งที่ปวดร้าวเหลือเกิน เราไปทำอะไรให้เขานักหนา
สุดท้ายนี้ ผมขอจากพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ได้โปรดคุ้มครองท่านจุฬาราชมนตรี และอาจารย์พร้อมคณะกรรมการทุกคน ให้จงมีแต่ความดีงาม ความสุข และริสกีที่มากมาย มีร่างกายที่แข็งแรง อย่าได้เจ็บ อย่าได้ไข้ และมีอายุที่ยืนยาวตลอดไป ถ้าจะต้องกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ (ซบ.) แล้วก็ขอให้เป็นชาวสวรรค์ โดยที่ไม่ต้องถูกสอบสวนแม้แต่น้อย ขอพระองค์ได้รับการขอพรจากข้าพระองค์นี้ด้วยเถิด อามีน
บางครั้งหนูก็แอบคิดนนะ ว่าเยาะทนอยู่ได้อย่างไร เยาะไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ
ถ้าเยาะไม่บอกว่าเยาะอยู่ได้ด้วยพระองค์ หนูก็ไม่รู้จะคิดแบบไหนแล้ว
เราครอบครัวนี้ เชื่อว่า อัลลอฮฺรักเยาะมากๆ ทดสอบอย่างหนักหน่วง พระองค์กำลังลบล้างบาปที่มีของเยาะอยู่ นี่แหละเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรา อยู่ได้ อดทนรอวันที่เยาะได้กลับบ้าน
ขอให้เรื่องถวายฎีกาสำเร็จ เร็วๆ ด้วยเถอะ
ขอบคุณทุกคนค่ะ