สวัสดีค่ะ ตามหัวข้วเรื่องเลยนะคะ เรามีปัญหาเรื่องถูกกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า J (นามสมมติ) เพื่อนผู้หญิงของเราไปทำงานที่ร้านญาติฝ่ายพ่อของเขา J ก็ตั้งใจทำงานอย่างดีมาตลอด แต่เขากลับถูกกล่าวหาว่าขโมยเงินไปสองหมื่นบาทโดยป้าใหญ่ของบ้าน เราจะบอกเรื่องราวเป็นวันตามที่เราจำได้นะคะ
วันที่ 27 เมษายน 2559 เราเลิกกับแฟน J เลยมานอนค้างที่บ้านเราเพื่อมานอนเป็นเพื่อนดูแลเรา
วันที่ 28 เมษายน 2559 J บอกว่าจะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของป้าใหญ่ ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าของร้านที่ J ไปทำงานอยู่ เราเลยไปส่ง J ที่บ้านของป้าใหญ่ ตอนนั้นทุกอย่างเหมือนจะเป็นปกติ เราเข้าไปทักทายป้าใหญ่และลูกชายของแก ป้าใหญ่แกก็ถามว่า J ไปนอนบ้านเราจริงไหม J ทำอะไรบ้างตอนอยู่ที่บ้านเรา เราก็ตอบตามความจริง แต่เรารู้สึกว่าป้าแกมองหน้าเราแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ั แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจ เราเดินดูภายในบ้านเพราะในบ้านอากาศดี เราเดินไปที่หลังบ้านแล้วลูกชายของป้าแกก็มาถามเราว่า เราทำอะไรอยู่ เราก็ตอบไปว่า เราสำรวจบ้านอยู่ ก็เราสำรวจบ้านจริงๆ นั่นแหละ เพราะเป็นสถานที่แปลกใหม่ และเราก็สนใจการออกแบบบ้านด้วย เราก็เลยสำรวจดู ลูกชายของป้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พอ J เก็บผ้าเสร็จเราก็พา J กลับมานอนบ้านเราต่อ
แต่วันที่ 29 เมษยาน 2559 ป้าใหญ่ของ J เรียก J ไปที่บ้านของแก ตอนนั้น J อยู่ที่บ้านของเรา เราก็เลยไปส่ง J ที่บ้านของป้าใหญ่อีกครั้ง J บอกให้เรารออยู่ที่หน้าบ้านในส่วนที่นั่งรับแขก เราก็นั่งรออยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเราได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากด้านใน แต่เราคิดว่าเราคงหูฝาด เพราะพวกเขาคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน แถมเสียงรถด้านนอกก็ดัง เราก็เลยไม่ใส่ใจอะไร แต่พอ J เดินออกมาเราก็พบว่า J ร้องไห้ เรากำลังจะอ้าปากถามว่าทำไม แต่ J บอกว่าให้ไปคุยกันที่บ้านของเรา
เราพา J กลับมาที่บ้าน J เล่าให้เราฟังว่า ป้าใหญ่หาว่า J ขโมยเงินไปสองหมื่น แล้วด่าว่า J พร้อมกับบังคับให้ J เอาเงินมาคืน ที่ J ร้องไห้ฏ้เพราะเสียใจที่ป้าใหญ่กล่าวหา J ได้ทั้งที่ J เป็นหลาน แถมป้าใหญ่ไม่มีหลักฐานใดๆ เลย ป้าใหญ่ไม่สงสัยสาวใช้ที่มาทำงานด้วยแม้สักนิด พอแม่ของ J รู้เรื่องนี้เข้าก็บอกให้ J รีบกลับบ้าน วันนั้นเราก็เลยไปส่ง J กลับบ้าน
วันที่ 30 เมษายน 2559 เราคิดว่าเรื่องมันคงจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นที่เราต้องลงไปจัดการ เราคิดว่ามันเป็นแค่การเข้าใจผิดของฝ่ายป้าใหญ่ และคิดว่าเรื่องมันน่าจะจบในเร็วๆ วันนี้ แต่เปล่าเลย... ป้าใหญ่กับลูกชายของป้าเรียกแม่ของ J ไปคุย และบังคับให้แม่ของ J พยายามทำให้ J ยอมรับผิด ทั้งใส่ความเราว่าเราเป็นหัวโจกพา J เสียคน และขู่ไม่ให้แม่ของ J แจ้งตำรวจ พร้อมทั้งบอกว่าถ้าแม่ของ J แจ้งตำรวจคนที่จะซวยคือตัว J เอง (เราคิดในใจ ค่ะ ซวยแน่ๆ พวกคุณนั่นแหละ ซวยแน่ๆ!!) เย็นวันนั้นเราเลยต้องไปบ้านของ J เพื่อวางแผนรับมือ
ป้าใหญ่กับลูกชายของแกคิดว่าแม่ของ J ตัว J และเรารู้ไม่ทันแผนของพวกเขา แต่พวกเขาคิดผิด แม่ของ J ทำตารางรายรับ-รายจ่ายชัดเจน แถมแม่ของ J ยังวางแผนอย่างละเอียดเพื่อรับมือกับพวกเขา เราเองก็ได้ช่วยให้ความร่วมมือในการวางแผนครั้งนี้ด้วย
ในความคิดของเราที่เราได้สรุปจากคำพูดของแม่ของ J และตัว J เอง เราคิดได้ดังนี้
เงินสองหมื่นหายไป เงินสองหมื่นนี้เป็นเงินของป้าใหญ่ ที่ป้าใหญ่เก็บไว้ เราคิดไว้สองกรณีคือ
1.เงินหายไปจริง คนที่มีความน่าจะเป็นว่าจะขโมยเงินไปในตอนนั้น คือ นาง A ซึ่งเป็นแม่บ้าน และ J ซึ่งเป็นหลานของป้าใหญ่ (แม้ว่า J จะไม่ได้เอาไปแต่ก็ตัดความน่าจะเป็นไม่ได้)
2. เงินไม่ได้หายไป
สมมติที่ 1 เงินอาจจะไม่หาย แต่ทั้งป้าใหญ่และลูกชายของแกมากล่าวหา J
สมมติที่ 2 ลูกชายของป้าใหญ่ หรือตัวป้าใหญ่เองเอาเงินตามจำนวนที่กล่าวมาไปซ่อน แล้วมากล่าวหา J
ทีนี้เราก็มาหาแรงจูงใจของทั้งสองข้อข้างต้น ในข้อที่ 1 นาง A อาจจะขโมยเงินไปจริง เพราะนาง A หายตัวไปพร้อมกับ J ในวันก่อนวันที่ป้าใหญ่จะบอิกว่าเงินหายไป แต่ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 นาง A ก็กลับมาทำงานต่อ ทำให้นาง A ถูกตัดออกไป (หมายเหตุ : แต่เราก็ยังสรุปไม่ได้ แค่ตัดไว้ก่อน)
ทีนี้ก็เพื่อนของเรา J ถูกเจ้าของร้านซึ่งเป็นลูกสาวของป้าใหญ่กล่าวหาว่ายักยอกเงินในร้าน แต่ไม่ยอมให้แม่ของ J ดูกล้องวงจรปิด ทำให้ไม่มีหลักฐาน แถมกรณีที่เงินสองหมื่นหายไป ป้าใหญ๋ก็ไม่มีหลักฐาน มีแค่คำกล่าวหาปากเปล่าเท่านั้น J จึงถูกตัดออกไปเพราะไม่มีหลักฐาน
แล้วทีนี้เงินมันอยู่ที่ใครล่ะ ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่านาง A และ J เป็นคนร้าย หลักฐานก็ไม่มี เท่านี้เราก็สรุปได้ว่าเงินไม่ได้หายไปไหน ทำให้เรื่องที่เงินหายไปไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป แต่ลูกชายของป้าใหญ่ก็ไม่หยุด ทั้งที่ไม่มีหลักฐานแต่ก็ยังกล่าวหา J และยังกล่าวหาเราอีกด้วย น่าเสียดายที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ลูกชายของป้าใหญ่กล่าวหาเรา ไม่อย่างนั้นเราลากไปสน. แล้ว เพราะเรามีพยานเป็นแม่ของ J
โชคดีที่แม่ของ J มีแผน เราเลยยังนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ เรารู้ว่าเราไม่ใช่ตัวละครหลัก เลยไม่แสดงตัวก่อน แม้เราจะโกรธที่โดนกล่าวหาเสียเละเทะ แต่ J ก็อัดเสียงไว้แล้ว เราเลยนิ่งรอเวลาต่อไป
วันที่ 5 พฤษภาคม 2559 ลูกชายของป้าใหญ่เรียก J ไปคุยตอนบ่ายสามโมง ซึ่งเราเป็นคนไปส่ง J ที่หน้าเซเว่น แล้ว J ค่อยเดินไปยังบ้านของป้าใหญ่ที่อยู่ซอยถัดไป เรารออยู่ในเซเว่นหลังจาก J ไป เผื่อเราต้องออกโรง แต่รอจนครบ 1 ชั่วโมงก็ไม่มีการติดต่อจาก J เราเลยตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากกลับบ้านมาจนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม J ก็โทรให้เราไปหาที่บ้าน
J บอกว่า วันนี้ป้าใหญ่กับลูกชายของแกเปลี่ยท่าทีไป J ยังบอกอีกว่า ลูกชายของป้าใหญ่มีท่าทางแปลกไป เหมือนคนเหม่อลอย ตอนที่ J ถูกลูกชายของป้าใหญ่เรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว ลูกชายของป้าใหญ่มีอาการเหม่อลอย หยิบของมาเล่น คล้ายๆ พยายามนั่งคิดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ยอมสบตากับ J เลย จะสบตาเฉพาะตอนที่ถามว่า J เป็นคนขโมยเงินไปไหม แล้ว J ตอบกลับไปว่าไม่ได้เอาไป แล้วจ้องตากลับไป แล้วหลังจากนั้นก็หลบตากันทั้งคู่ หลังจากคุยกันนานพอสมควร พวกเขาก็แยกย้ายกัน
เราไปหา J ที่บ้านเพื่อฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น J บอกเราเพิ่มเติมว่า ลูกชายของป้าใหญ่ยังกล่าวหาเราไม่หยุด หาว่าเราเป็นคนเจ้าเลห์ เป็นตัวการที่ร้ายสุด ประไรประมาณนั้น (เราคิดในใจ ค่ะ ร้ายค่ะ เจ้าเล่ห์ค่ะ แล้วมันเพราะใครล่ะคะ ฉันเขียนนิยายไม่ได้เป็นอาทิตย์เพราะคำกล่าวหาปลอมๆ ของคุณเนี่ย!!) เราไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นมีแผนอะไรอีก เพราะ J บอกว่า ลูกชายของป้าใหญ่ขอชื่อจริงของเรา ยัย J ก็บอกชื่อจริงไป (-*-) ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าลูกชายของป้าใหญ่จะไปสืบอะไรฉัน (แกจะสืบเรื่องของฉันได้ที่ไหน แกยังบอกว่าฉันเป็นคนกรุงเทพ (เราไม่เคยพูดใต้กับใคร) ยังหาว่าเราเป็นทอมด้วย (ตรูติดพ่อโว้ย!!) ฉันนี่ถอนหายใจเลยค่ะ)
วันที่ 6 พฤษภาคม 2559 วันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ค่ะ แต่เมื่อคืนเราบอกพี่ของเราไว้แล้วว่าให้ระวังเวลาใครเข้าหา แม้เราจะไม่กลัวเรื่องข้อกล่าวหา แต่เรากลัวคนใกล้ตัวโดนทำร้าย วันนี้เราเลยอยู่กับบ้าน และไม่เคลื่อนไหวใดๆ
เราเองก็อยากจะออกมาเตือนนะคะ กรณีนี้เกิดจากการที่คนในสายเลือดเดียวกันใส่ร้ายกันเอง โดยไม่คิดจะหาหลักฐานหรือทำอะไรให้รอบคอบ เคยเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเป็นกรณีของลูกชายของป้าใหญ่กับภรรยาของลูกชาย ตอนนั้นลูกชายของป้าแกบอกว่าเงินหายสามล้าน แล้วโทษว่าภรรยาของตัวเองเป็นคนขโมยไป แต่ก็ไม่ยอมแจ้งตำรวจ ไม่ดำเนินตามขั้นตอนกฏหมาย เราก็ไม่ทรางรายละเอียดมากนัก แต่ดูเหมือนว่าภรรยาจะถูกไล่ออกจากบ้านไปน่ะค่ะ เราก็เลยคิดว่าครั้งนี้ก็คงคล้ายๆ กัน และเราก็คิดว่าตัวลูกชายนี่แหละที่สร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมา แล้วก็กุเรื่องว่า J เป็นคนเอาเงินไปให้ป้าใหญ่ฟัง ยุให้ป้าใหญ่ด่าว่า J และเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
แต่เราจะไม่กล่าวหาเขาไม่ได้ เพราะเราเองก็ไม่มีหลักฐาน แม้เราจะอยากแจ้งตำรวจมากแค่ไหน เราก็ทำได้แค่ใจเย็น และรอให้ J ได้หลักฐานคำพูดของฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่ก่อน แล้วเราค่อยไปแจ้งความพร้อมกันทีเดียวกัน
ตอนนี้เราอยากรู้ว่า ในกรณีนี้เราสามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วมีกฏหมายใดสามารถคุ้มครอง J และเราได้บ้าง แล้วฝ่ายป้าใหญ่กับลูกชาย และลูกสาวของแกจะได้รับโทษอะไรบ้าง ขอความกรุณาด้วยนะคะ ไว้มีความเคลื่อนไหวใดๆ จะมาเขียนเพิ่มเติมนะคะ ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นไว้ล่วงหน้านะคะ
ขอบคุณค่ะ
อัพเดทล่าสุดค่ะ
ฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่โทรมาหา J แล้วด่า J สารพัด บอกว่า J กินบนเรือนขี้บนหลังคา แล้วพรุ่งนี้ลูกชายของป้าใหญ่จะไปตรวจดีเอ็นเอแล้วไปแจ้งตำรวจ พรุ่งนี้ J แม่ของ J แล้วก็เราก็จะไปสน. ด้วยค่ะ
อัพเดทเวลา 21:31 ของวันที่ 6 พฤษภาคม 2559
ฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่บุกไปหา J ที่บ้าน บอกว่าสิ่งที่แม่ของ J บอกนั้นมันไม่หมด หาว่าใส่ความลูกชายของป้าใหญ่ ตะคอกตะโกนอย่างหัวเสีย โทษว่าแม่ของ J พูดให้พี่น้องแตกกัน โทษว่า J นั้นคบกับเรานั่นแหละที่ทำให้ J เสียคน พูดถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง ลูกชายของป้าใหญ่พยายามสืบหาคนผิด ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน เขาพยายามจะสืบเรื่องของเราด้วย (ตอนที่เขียนเจ้าของกระทู้ก็กำลังฟังอยู่ผ่านโทรศัพท์) ฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่พูดออกมาคำหนึ่งว่า
"อย่าเห็นเพื่อนดีกว่าญาติพี่น้อง ถ้าเห็นเพื่อนดีกว่าญาติพี่น้อง แล้วมันจะเหลืออะไรล่ะ?"
เราได้ยินนี่... เอิ่มมมม ตามสบายค่ะ เอาที่สบายใจนะคะ
แล้วหลังจากนี้ก็ต้องรอดูปฏิกิริยาต่อไปค่ะ... (ส่วน จขกท.ขอตัวไปทำให้หัวหายร้อนก่อนนะคะ)
ขอโทษนะคะที่อาจสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่หมด
อัพเดทประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2559
วันนี้ลูกชายของป้าใหญ่ไปที่บ้าน J ตอนช่วงเช้าของวัน เขาพยายามพูดให้ J ยอมรับผิด เขาอ้างถึงบุญคุณที่เขาเคยทำให้ครั้งแต่ก่อน และพยายามอย่างมากที่จะให้ J ยอมรับว่าเป็นคนผิด ทั้งที่นี่ก็ล่วงเลยมาเป็นอาทิตย์กว่าๆ แล้ว เขายังหาหลักฐานไม่ได้เลยสักชิ้นเดียว เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะยอมจบเรื่องนี้สักที
ถูกกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานต้องทำอย่างไรบ้างคะ?
วันที่ 27 เมษายน 2559 เราเลิกกับแฟน J เลยมานอนค้างที่บ้านเราเพื่อมานอนเป็นเพื่อนดูแลเรา
วันที่ 28 เมษายน 2559 J บอกว่าจะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของป้าใหญ่ ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าของร้านที่ J ไปทำงานอยู่ เราเลยไปส่ง J ที่บ้านของป้าใหญ่ ตอนนั้นทุกอย่างเหมือนจะเป็นปกติ เราเข้าไปทักทายป้าใหญ่และลูกชายของแก ป้าใหญ่แกก็ถามว่า J ไปนอนบ้านเราจริงไหม J ทำอะไรบ้างตอนอยู่ที่บ้านเรา เราก็ตอบตามความจริง แต่เรารู้สึกว่าป้าแกมองหน้าเราแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ั แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจ เราเดินดูภายในบ้านเพราะในบ้านอากาศดี เราเดินไปที่หลังบ้านแล้วลูกชายของป้าแกก็มาถามเราว่า เราทำอะไรอยู่ เราก็ตอบไปว่า เราสำรวจบ้านอยู่ ก็เราสำรวจบ้านจริงๆ นั่นแหละ เพราะเป็นสถานที่แปลกใหม่ และเราก็สนใจการออกแบบบ้านด้วย เราก็เลยสำรวจดู ลูกชายของป้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พอ J เก็บผ้าเสร็จเราก็พา J กลับมานอนบ้านเราต่อ
แต่วันที่ 29 เมษยาน 2559 ป้าใหญ่ของ J เรียก J ไปที่บ้านของแก ตอนนั้น J อยู่ที่บ้านของเรา เราก็เลยไปส่ง J ที่บ้านของป้าใหญ่อีกครั้ง J บอกให้เรารออยู่ที่หน้าบ้านในส่วนที่นั่งรับแขก เราก็นั่งรออยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเราได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากด้านใน แต่เราคิดว่าเราคงหูฝาด เพราะพวกเขาคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน แถมเสียงรถด้านนอกก็ดัง เราก็เลยไม่ใส่ใจอะไร แต่พอ J เดินออกมาเราก็พบว่า J ร้องไห้ เรากำลังจะอ้าปากถามว่าทำไม แต่ J บอกว่าให้ไปคุยกันที่บ้านของเรา
เราพา J กลับมาที่บ้าน J เล่าให้เราฟังว่า ป้าใหญ่หาว่า J ขโมยเงินไปสองหมื่น แล้วด่าว่า J พร้อมกับบังคับให้ J เอาเงินมาคืน ที่ J ร้องไห้ฏ้เพราะเสียใจที่ป้าใหญ่กล่าวหา J ได้ทั้งที่ J เป็นหลาน แถมป้าใหญ่ไม่มีหลักฐานใดๆ เลย ป้าใหญ่ไม่สงสัยสาวใช้ที่มาทำงานด้วยแม้สักนิด พอแม่ของ J รู้เรื่องนี้เข้าก็บอกให้ J รีบกลับบ้าน วันนั้นเราก็เลยไปส่ง J กลับบ้าน
วันที่ 30 เมษายน 2559 เราคิดว่าเรื่องมันคงจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นที่เราต้องลงไปจัดการ เราคิดว่ามันเป็นแค่การเข้าใจผิดของฝ่ายป้าใหญ่ และคิดว่าเรื่องมันน่าจะจบในเร็วๆ วันนี้ แต่เปล่าเลย... ป้าใหญ่กับลูกชายของป้าเรียกแม่ของ J ไปคุย และบังคับให้แม่ของ J พยายามทำให้ J ยอมรับผิด ทั้งใส่ความเราว่าเราเป็นหัวโจกพา J เสียคน และขู่ไม่ให้แม่ของ J แจ้งตำรวจ พร้อมทั้งบอกว่าถ้าแม่ของ J แจ้งตำรวจคนที่จะซวยคือตัว J เอง (เราคิดในใจ ค่ะ ซวยแน่ๆ พวกคุณนั่นแหละ ซวยแน่ๆ!!) เย็นวันนั้นเราเลยต้องไปบ้านของ J เพื่อวางแผนรับมือ
ป้าใหญ่กับลูกชายของแกคิดว่าแม่ของ J ตัว J และเรารู้ไม่ทันแผนของพวกเขา แต่พวกเขาคิดผิด แม่ของ J ทำตารางรายรับ-รายจ่ายชัดเจน แถมแม่ของ J ยังวางแผนอย่างละเอียดเพื่อรับมือกับพวกเขา เราเองก็ได้ช่วยให้ความร่วมมือในการวางแผนครั้งนี้ด้วย
ในความคิดของเราที่เราได้สรุปจากคำพูดของแม่ของ J และตัว J เอง เราคิดได้ดังนี้
เงินสองหมื่นหายไป เงินสองหมื่นนี้เป็นเงินของป้าใหญ่ ที่ป้าใหญ่เก็บไว้ เราคิดไว้สองกรณีคือ
1.เงินหายไปจริง คนที่มีความน่าจะเป็นว่าจะขโมยเงินไปในตอนนั้น คือ นาง A ซึ่งเป็นแม่บ้าน และ J ซึ่งเป็นหลานของป้าใหญ่ (แม้ว่า J จะไม่ได้เอาไปแต่ก็ตัดความน่าจะเป็นไม่ได้)
2. เงินไม่ได้หายไป
สมมติที่ 1 เงินอาจจะไม่หาย แต่ทั้งป้าใหญ่และลูกชายของแกมากล่าวหา J
สมมติที่ 2 ลูกชายของป้าใหญ่ หรือตัวป้าใหญ่เองเอาเงินตามจำนวนที่กล่าวมาไปซ่อน แล้วมากล่าวหา J
ทีนี้เราก็มาหาแรงจูงใจของทั้งสองข้อข้างต้น ในข้อที่ 1 นาง A อาจจะขโมยเงินไปจริง เพราะนาง A หายตัวไปพร้อมกับ J ในวันก่อนวันที่ป้าใหญ่จะบอิกว่าเงินหายไป แต่ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 นาง A ก็กลับมาทำงานต่อ ทำให้นาง A ถูกตัดออกไป (หมายเหตุ : แต่เราก็ยังสรุปไม่ได้ แค่ตัดไว้ก่อน)
ทีนี้ก็เพื่อนของเรา J ถูกเจ้าของร้านซึ่งเป็นลูกสาวของป้าใหญ่กล่าวหาว่ายักยอกเงินในร้าน แต่ไม่ยอมให้แม่ของ J ดูกล้องวงจรปิด ทำให้ไม่มีหลักฐาน แถมกรณีที่เงินสองหมื่นหายไป ป้าใหญ๋ก็ไม่มีหลักฐาน มีแค่คำกล่าวหาปากเปล่าเท่านั้น J จึงถูกตัดออกไปเพราะไม่มีหลักฐาน
แล้วทีนี้เงินมันอยู่ที่ใครล่ะ ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่านาง A และ J เป็นคนร้าย หลักฐานก็ไม่มี เท่านี้เราก็สรุปได้ว่าเงินไม่ได้หายไปไหน ทำให้เรื่องที่เงินหายไปไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป แต่ลูกชายของป้าใหญ่ก็ไม่หยุด ทั้งที่ไม่มีหลักฐานแต่ก็ยังกล่าวหา J และยังกล่าวหาเราอีกด้วย น่าเสียดายที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ลูกชายของป้าใหญ่กล่าวหาเรา ไม่อย่างนั้นเราลากไปสน. แล้ว เพราะเรามีพยานเป็นแม่ของ J
โชคดีที่แม่ของ J มีแผน เราเลยยังนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ เรารู้ว่าเราไม่ใช่ตัวละครหลัก เลยไม่แสดงตัวก่อน แม้เราจะโกรธที่โดนกล่าวหาเสียเละเทะ แต่ J ก็อัดเสียงไว้แล้ว เราเลยนิ่งรอเวลาต่อไป
วันที่ 5 พฤษภาคม 2559 ลูกชายของป้าใหญ่เรียก J ไปคุยตอนบ่ายสามโมง ซึ่งเราเป็นคนไปส่ง J ที่หน้าเซเว่น แล้ว J ค่อยเดินไปยังบ้านของป้าใหญ่ที่อยู่ซอยถัดไป เรารออยู่ในเซเว่นหลังจาก J ไป เผื่อเราต้องออกโรง แต่รอจนครบ 1 ชั่วโมงก็ไม่มีการติดต่อจาก J เราเลยตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากกลับบ้านมาจนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม J ก็โทรให้เราไปหาที่บ้าน
J บอกว่า วันนี้ป้าใหญ่กับลูกชายของแกเปลี่ยท่าทีไป J ยังบอกอีกว่า ลูกชายของป้าใหญ่มีท่าทางแปลกไป เหมือนคนเหม่อลอย ตอนที่ J ถูกลูกชายของป้าใหญ่เรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว ลูกชายของป้าใหญ่มีอาการเหม่อลอย หยิบของมาเล่น คล้ายๆ พยายามนั่งคิดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ยอมสบตากับ J เลย จะสบตาเฉพาะตอนที่ถามว่า J เป็นคนขโมยเงินไปไหม แล้ว J ตอบกลับไปว่าไม่ได้เอาไป แล้วจ้องตากลับไป แล้วหลังจากนั้นก็หลบตากันทั้งคู่ หลังจากคุยกันนานพอสมควร พวกเขาก็แยกย้ายกัน
เราไปหา J ที่บ้านเพื่อฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น J บอกเราเพิ่มเติมว่า ลูกชายของป้าใหญ่ยังกล่าวหาเราไม่หยุด หาว่าเราเป็นคนเจ้าเลห์ เป็นตัวการที่ร้ายสุด ประไรประมาณนั้น (เราคิดในใจ ค่ะ ร้ายค่ะ เจ้าเล่ห์ค่ะ แล้วมันเพราะใครล่ะคะ ฉันเขียนนิยายไม่ได้เป็นอาทิตย์เพราะคำกล่าวหาปลอมๆ ของคุณเนี่ย!!) เราไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นมีแผนอะไรอีก เพราะ J บอกว่า ลูกชายของป้าใหญ่ขอชื่อจริงของเรา ยัย J ก็บอกชื่อจริงไป (-*-) ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าลูกชายของป้าใหญ่จะไปสืบอะไรฉัน (แกจะสืบเรื่องของฉันได้ที่ไหน แกยังบอกว่าฉันเป็นคนกรุงเทพ (เราไม่เคยพูดใต้กับใคร) ยังหาว่าเราเป็นทอมด้วย (ตรูติดพ่อโว้ย!!) ฉันนี่ถอนหายใจเลยค่ะ)
วันที่ 6 พฤษภาคม 2559 วันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ค่ะ แต่เมื่อคืนเราบอกพี่ของเราไว้แล้วว่าให้ระวังเวลาใครเข้าหา แม้เราจะไม่กลัวเรื่องข้อกล่าวหา แต่เรากลัวคนใกล้ตัวโดนทำร้าย วันนี้เราเลยอยู่กับบ้าน และไม่เคลื่อนไหวใดๆ
เราเองก็อยากจะออกมาเตือนนะคะ กรณีนี้เกิดจากการที่คนในสายเลือดเดียวกันใส่ร้ายกันเอง โดยไม่คิดจะหาหลักฐานหรือทำอะไรให้รอบคอบ เคยเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเป็นกรณีของลูกชายของป้าใหญ่กับภรรยาของลูกชาย ตอนนั้นลูกชายของป้าแกบอกว่าเงินหายสามล้าน แล้วโทษว่าภรรยาของตัวเองเป็นคนขโมยไป แต่ก็ไม่ยอมแจ้งตำรวจ ไม่ดำเนินตามขั้นตอนกฏหมาย เราก็ไม่ทรางรายละเอียดมากนัก แต่ดูเหมือนว่าภรรยาจะถูกไล่ออกจากบ้านไปน่ะค่ะ เราก็เลยคิดว่าครั้งนี้ก็คงคล้ายๆ กัน และเราก็คิดว่าตัวลูกชายนี่แหละที่สร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมา แล้วก็กุเรื่องว่า J เป็นคนเอาเงินไปให้ป้าใหญ่ฟัง ยุให้ป้าใหญ่ด่าว่า J และเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
แต่เราจะไม่กล่าวหาเขาไม่ได้ เพราะเราเองก็ไม่มีหลักฐาน แม้เราจะอยากแจ้งตำรวจมากแค่ไหน เราก็ทำได้แค่ใจเย็น และรอให้ J ได้หลักฐานคำพูดของฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่ก่อน แล้วเราค่อยไปแจ้งความพร้อมกันทีเดียวกัน
ตอนนี้เราอยากรู้ว่า ในกรณีนี้เราสามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วมีกฏหมายใดสามารถคุ้มครอง J และเราได้บ้าง แล้วฝ่ายป้าใหญ่กับลูกชาย และลูกสาวของแกจะได้รับโทษอะไรบ้าง ขอความกรุณาด้วยนะคะ ไว้มีความเคลื่อนไหวใดๆ จะมาเขียนเพิ่มเติมนะคะ ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นไว้ล่วงหน้านะคะ
ขอบคุณค่ะ
อัพเดทล่าสุดค่ะ
ฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่โทรมาหา J แล้วด่า J สารพัด บอกว่า J กินบนเรือนขี้บนหลังคา แล้วพรุ่งนี้ลูกชายของป้าใหญ่จะไปตรวจดีเอ็นเอแล้วไปแจ้งตำรวจ พรุ่งนี้ J แม่ของ J แล้วก็เราก็จะไปสน. ด้วยค่ะ
อัพเดทเวลา 21:31 ของวันที่ 6 พฤษภาคม 2559
ฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่บุกไปหา J ที่บ้าน บอกว่าสิ่งที่แม่ของ J บอกนั้นมันไม่หมด หาว่าใส่ความลูกชายของป้าใหญ่ ตะคอกตะโกนอย่างหัวเสีย โทษว่าแม่ของ J พูดให้พี่น้องแตกกัน โทษว่า J นั้นคบกับเรานั่นแหละที่ทำให้ J เสียคน พูดถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง ลูกชายของป้าใหญ่พยายามสืบหาคนผิด ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน เขาพยายามจะสืบเรื่องของเราด้วย (ตอนที่เขียนเจ้าของกระทู้ก็กำลังฟังอยู่ผ่านโทรศัพท์) ฝ่ายลูกชายของป้าใหญ่พูดออกมาคำหนึ่งว่า
"อย่าเห็นเพื่อนดีกว่าญาติพี่น้อง ถ้าเห็นเพื่อนดีกว่าญาติพี่น้อง แล้วมันจะเหลืออะไรล่ะ?"
เราได้ยินนี่... เอิ่มมมม ตามสบายค่ะ เอาที่สบายใจนะคะ
แล้วหลังจากนี้ก็ต้องรอดูปฏิกิริยาต่อไปค่ะ... (ส่วน จขกท.ขอตัวไปทำให้หัวหายร้อนก่อนนะคะ)
ขอโทษนะคะที่อาจสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่หมด
อัพเดทประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2559
วันนี้ลูกชายของป้าใหญ่ไปที่บ้าน J ตอนช่วงเช้าของวัน เขาพยายามพูดให้ J ยอมรับผิด เขาอ้างถึงบุญคุณที่เขาเคยทำให้ครั้งแต่ก่อน และพยายามอย่างมากที่จะให้ J ยอมรับว่าเป็นคนผิด ทั้งที่นี่ก็ล่วงเลยมาเป็นอาทิตย์กว่าๆ แล้ว เขายังหาหลักฐานไม่ได้เลยสักชิ้นเดียว เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะยอมจบเรื่องนี้สักที