ไปตอนที่ 2 >>
http://ppantip.com/topic/35160848
(บทนำ)
ณ ออฟฟิศแห่งหนึ่ง ...
“สงกรานต์ไปเที่ยวไหนเพ่?” เสียงที่คุ้นหูของน้องตัวแสบแว่วเข้ามา ผมละสายตาจากจอคอม แล้วเงยหน้าขึ้นมา “พี่ว่าจะไปกินมะละกอที่มะละกาหน่ะ” ผมกล่าวอย่างอารมณ์ดี ซึ่งจริงๆ ไม่เกี่ยวกันหรอก แต่เห็นชื่อมันพ้องๆ กัน ถ้าขึ้นสเตตัสในเฟสคงตลกดี
พักทานข้าวเที่ยง ก็มีเพื่อนมาถามอีก “แล้วสงกรานต์ไปเที่ยวไหน?” ผมเงยหน้าจากจานอาหาร “อื้มม... ก็ว่าจะไปเที่ยว จอร์จ ทาวน์” .... เวลาพูดต้องกระแดะ ออกเสียงแอคเซ่นส์ฝรั่งเล็กน้อย ให้ดูน่าหมั่นไส้หน่อยๆ ซึ่งจริงๆ มันคือเมืองหนึ่งบนเกาะปีนัง ครั้นจะบอกว่า ปีนัง ฟังดูแล้วไม่เท่เท่าไหร่
มาถึงตอนนี้ พอเดาได้แล้วใช่ไหมครับว่าผมจะไปเที่ยวประเทศไหน? เพื่อนบ้านเราเอง ไม่ใกล้ไม่ไกล “มาเลเซีย”
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมอยากไป? คำตอบคือ ...
“ไปถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ต เก๋ๆ แนวๆ ตามซอกมุมเหลือบ ในบรรยากาศเมืองเก่ามรดกโลกที่ปีนัง ตามไปดูปราสาทเก่าของฝรั่งชื่อเคลลี่ที่เมืองอิโปห์ ย่ำเดินแหล่งช้อปปิ้ง ตามหาร้านชิคๆ แหงนหน้าดูตึกแฝดเปโตรนาส ผู้เคยทุบสถิติความสูงที่สุดในโลกที่เมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์”
จริงๆ ที่เที่ยวของมาเลเซียยังมีอีกเยอะ อย่างไปเดินชมเมืองตึกเก่าสไตล์ดัตช์ อีกหนึ่งมรดกโลกที่มะละกา หวีดหรรษากับเครื่องเล่นมันส์ๆ ที่สวนสนุกเก็นติ้ง และใครเป็นติ่งเลโก้ ต้องไม่พลาด Legoland ที่ยะโฮร์ อยากดำน้ำดูนีโม่ สัตว์ทะเล และปะการังสวยติดอันดับโลกก็ต้องที่นี่เลย เกาะสิปาดัน หรือขึ้นเขาชัน ชมไร่ชา อากาศสบายๆ ที่คาเมรอนไฮแลนด์ ก็น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย
หลังจากนั่งศึกษาวางแผนทริป 6 วัน 5 คืน และนี่คือเมืองที่ผมจะไปหาในครั้งนี้ครับ… เกาะปีนัง (มีเมืองเก่าชื่อ จอร์จทาวน์) – อิโปห์ – กัวลาลัมเปอร์ (KL)
โดยแผนคร่าวๆ คือนั่งเครื่องไปลงปีนังแล้วพัก 1 คืน วันรุ่งขึ้นไปเมืองอิโปห์ เป็นวันเดย์ทริป แล้วกลับมาพักที่ปีนัง จะดูถึกๆ เล็กน้อย เพราะเมืองอิโปห์เพิ่งแทรกมาอยู่ในลิสต์ หลังจากจองที่พักไปเรียบร้อยแล้ว วันที่ 3 เที่ยวปีนังแบบเต็มเหนี่ยว แล้วสะลึมสะลือไปนั่งเครื่องบินล่อนไปทางใต้เที่ยวกัวลาลัมเปอร์
ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก่อนออกเดินทาง
1. คนไทยไม่ต้องขอ Visa เที่ยวได้สบายใจ 30 วัน
2. เวลาที่มาเลเซียเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม.
3. หน่วยเงินเรียกว่าริงกิต ตัวย่อมีทั้ง RM และ MYR อัตราแลกเปลี่ยน 1 ริงกิต = 10 บาท (โดยประมาณ)
4. ปลั๊กไฟเป็นแบบ 3 ขาแบนๆ เตรียมติด Adapter ข้ามประเทศไปด้วย
5. ขึ้นรถเมล์ไม่มีการทอนเงิน เตรียมเศษเงินในกระเป๋าไว้ให้พร้อมเสมอ
6. รถแท็กซี่ราคาโหดใช้ได้ ปีนังไม่มีมิเตอร์ แต่เมืองใหญ่กัวลาลัมเปอร์ เค้าว่ามีนะ
7. ขับรถชิดซ้ายเหมือนบ้านเรา ถนนในตัวเมืองปีนังส่วนใหญ่จะเป็น One Way
8. คนมาเลย์ พูดภาษาอังกฤษเก่งนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดกันไม่รู้เรื่อง
9. Malaysia Truly Asia จริงๆ เพราะมีผู้คนเอเชีย หลากหลายเชื้อชาติ ทั้งมาลายู จีน แขก อินเดีย
เตรียมออกเดินทางกันเลย...
วันที่ 1 : ดอนเมือง กรุงเทพ – สนามบินนานาชาติปีนัง มาเลเซีย - ร้าน Caffeine Chemistry
เดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง โดยสายการบินแอร์เอเชีย เวลา 15:40 น. นั่งเครื่อง 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็ถึงสนามบินนานาชาติปีนัง เวลาประมาณ 18:30 น. (เวลาจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม.)
ก่อนไปรับกระเป๋า จะเจอบูธขายซิมมือถือ 3 เจ้า ตั้งอยู่ติดกัน คือ Digi, Hotlink และ Tunetalk แพคเกจเค้าจะคิดตาม Data + Unlimited ที่เป็น Social Messenger สรุปผมเลือกของ Hotlink แพคเกจราคา 26 RM เล่น 800 MB แถมเน็ตให้เล่นฟรีอีก หลังเที่ยงคืนถึง 7 โมงเช้าอีก 500 MB และที่สำคัญคือมี Unlimited LINE ให้ด้วย ในขณะที่ของ Digi มีเพียง What’s App และแอพอื่นๆ ที่คนไทยไม่นิยมใช้กัน จบจากซิมไปรับกระป๋ากันต่อ
ลากกระเป๋างงๆ จะไปหาป้ายรถเมล์เข้าเมือง สอบถามเจ้าหน้าที่ ได้ใจความว่า “ออกไปด้านหน้าอาคาร แล้วเลี้ยวซ้าย” หลังโผล่ออกจากอาคาร ก็เห็นป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลแล้ว
ณ ป้ายรถเมล์เห็นคนไทยประมาณ 4-5 คน กำลังรอรถเมล์อยู่ จากข้อมูลที่มีคือต้องนั่งสาย 401E ไปลงที่ตึกคอมต้าร์ (Komtar) สถานีรถบัสหลักในตัวเมือง ถ้านั่งสาย 401 (ไม่มี E) เส้นทางจะอ้อมกว่า รถค่อยๆ วิ่งเข้ามาจอดที่ท่า ผมก้าวขึ้นบอกว่าจะไปลงที่คอมต้าร์ คนขับแจ้งราคา พร้อมฉีกตั๋วกระดาษเล็กๆ ระบุ 2.7 ริงกิต หน้าที่ของเราคือเอาเงินหย่อนเข้าไปในตู้ด้านข้างคนขับ ผมหยิบแบ็งค์ 10 ริงกิต (คิดเป็นเงินไทยคร่าวๆ ให้ x10) คนขับบอกว่า “ไม่มีทอนนะ!!” อ้าว ก็เพิ่งมาหนิ ยังไม่ทันแตกแบงค์ย่อยเลย ต้องใช้เวลาทำใจ 1 วินาที ก่อนหย่อนเงินลงไป อ้อ! จริงสิ ผมลืมนึกถึงคนไทยที่ต่อตูดอยู่ด้านหลัง ไม่งั้นคงจ่ายรวมให้เค้าไปด้วย แลดูเป็นคนมีน้ำใจเน้อะ แต่ไม่ทันแล้ว
รัฐปีนัง ครอบคลุมพื้นที่ที่เป็นเกาะปีนัง (Penang) มีเมืองหลวงชื่อ จอร์จทาวน์ (George Town) อยู่ทางด้านเหนือของเกาะ และพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ที่เรียกว่า เซอเบอรังเปอราย (Seberang Perai) มีเมืองบัตเตอร์เวิรธ์ (Butterworth) ที่อยู่คนละฝั่งทะเลกับจอร์จทาวน์ เดินทางหาสู่กันได้ด้วยเรือเฟอร์รี่ หรือขับรถข้ามเกาะ ข้ามทะเลกันยาวๆ 8.4 กิโลเมตร ก็ยังได้ ซึ่งคนไทยก็นิยมขับรถผ่านด่าน อ. สะเดา จ. สงขลา เข้ามาเที่ยวเหมือนกัน ส่วนผมมาจากสนามบิน ทางตอนใต้ของเกาะก็ต้องนั่งรถขึ้นไปหามิสเตอร์จอร์จ (ทาวน์) ราวๆ 18 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมเปิด Google Map ไปด้วย จะได้รู้ว่าใกล้ลงรถหรือยัง
“คอมต้าร์ คอมตาร์!!” คนขับตะโกนเตือนสติผู้โดยสาร ผมลากกระเป๋าลงมา และให้ Google นำทางผมไปยังที่พัก “Noordin Street House” ถนน Lebuh Noordin และแล้วก็ได้มายืนที่หน้าตึกแถวเก่า 2 ชั้น หรือที่เรียกว่าช็อปเฮาส์ (Shophouse) เช็คอินเสร็จ พนักงานก็พาไปยังห้องพัก
“โอ้ววว.... นี่มันอย่างกับคอนโดแบบดูเพล็กซ์ มี 2 ชั้นย่อมๆ” ข่าวดีคือพนักงานอัพเกรดห้องให้ เป็น 4 เตียงนอน 2 ห้องน้ำ เอิ่มมม ณ จุดนี้อยากจะพาครอบครัวมาเที่ยวด้วยจริงๆ สระว่ายน้ำก็อยู่ติดกับห้องเลย น่าลงไปแหวกว่ายเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเก็บสัมภาระก็ต้องตามใจท้องที่ร้องโครกคราก พนักงานแนะให้ไปทาน Street Food ที่อยู่ไม่ไกล เดินได้เพียงไม่กี่บล็อค อยู่บนถนน Lebuh Presgrave หากใครพักอยู่ใกล้ตึกคอมต้าร์ ลองแวะมาทานกันได้ รูปแบบของศูนย์อาหารริมถนนขนาดย่อมนี้ ก็จะมีรถเข็นหลายๆ เจ้า และมีที่นั่งรวม อยากหม่ำอะไรก็เดินไปสั่ง ถ้ามีหมายเลขโต๊ะให้บอกแม่ค้าด้วยครับ สักพักจะมีคนมาเสิร์ฟ และเก็บเงิน
มื้อแรกที่ปีนังประเดิมด้วย Hokkien Mee หมี่ ซึ่งจะมีหมี่ให้เลือกว่าจะหมี่ขาว หรือหมี่เหลือง ส่วนใครอยากได้ออปชั่นเพิ่ม อย่างซี่โครงหมู หมูกรอบ และไข่ ก็สั่งไปเลยครับ มีราคาเขียนไว้ชัดเจนดีที่หน้าร้าน ตัววัดใจอยู่ที่น้ำซุปที่รสชาติอาจจะแปลกลิ้นคนไทย แต่ส่วนตัวผมทานได้นะ แอบนึกไปถึงน้ำเงี้ยว แกงส้มอะไรประมาณนั้น
อีกหนึ่งเมนูที่เห็นหลายโต๊ะสั่งกันคือ หอยนางรมทอดกับไข่ หรือที่เรียกว่า “Oh Cien” กลิ่นหอมยั่วใจเสียจริง ต้องจัดไปสักจาน ตบท้ายด้วยของหวานอย่างลอดช่อง หรือ "Cendol"
ทานเสร็จก็ว่าจะไปเดินเล่น หาของกินย่านที่ปิดดึกหน่อย เปิดไกด์บุ๊คระบุชื่อถนน Jalan Nagor ใช้ Google นำทางไป เดินไกลพอสมควรจากตรงนี้ ก็คิดเสียว่าเดินย่อย สำรวจเส้นทางในปีนังแล้วกัน
ในที่สุดก็มาถึงจนได้ แต่ทำไมเงียบจัง!! นี่เรามาดึกเกินไป หรือเป็นวันธรรมดา หรือร้านค้าแอบปิดตัวกันไปหมดแล้ว เดินสำรวจระแวกนี้ยังพอมีร้านกาแฟเปิดอยู่บ้าง
และแล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร้านๆ หนึ่ง ชื่อ “Caffeine Chemistry” ที่หน้าประตูมีสติ๊กเกอร์ของ Trip Advisor แปะอยู่ แสดงว่าต้องมีดีแน่ๆ
เข้ามาด้านในก็พอเข้าใจคอนเซปต์ร้านที่เสมือนการทดลองทางเคมี อย่างเครื่องดื่มจะเสิร์ฟในแก้วบีกเกอร์ และเจ้าแก้วนี้ก็ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตกแต่งด้วย เล็งที่นั่ง จากนั้นก็เดินไปสั่งที่เคาน์เตอร์
“วัน วอเตอร์เมลอน แอนด์ วัน กรีนที วาฟเฟิ่ล บานานา วานิลลา ไอศกรีม วิท กัวเตมาลาไซรัป” ผมสั่งวาฟเฟิ่ลชาเขียว เพราะเห็นว่าแปลกดี อยากลอง ควักเงินจ่ายไป 14 RM หรือคิดเป็นเงินไทยคร่าวๆ ก็เติม 0 เข้าไปอีก 1 ตัว ก็ประมาณ 140 บาท
รอสักพัก หนุ่มตี๋ก็เข้ามาเสิร์ฟแล้วจากไป อ้าว ช้อนส้อมก็ไม่มีให้มาด้วย หรือว่ามันมีสเตชั่นให้เราไปหยิบเอาเอง หันซ้าย หันขวา ดูแล้วก็ไม่มี เลยเดินไปที่เคาน์เตอร์
“เมย์ ไอ แฮฟ ซัม ฟอร์ค?” ผมพูดพร้อมตวัดเสียงสูงคำสุดท้าย ทวงถามส้อม เอาให้ซะดีๆ
“ โอ้! ไอ แอม ซอรี่…” และตอนนี้อุปกรณ์พร้อมแล้ว ก็ตักวาฟเฟิ่ลนุ่มๆ พร้อมไอศครีมเข้าปาก “โอ้โห กัดเข้าไป นี่อย่างแข็ง” 555 แต่ก็ยังตักเข้าปากจนเกือบหมด
ทานเสร็จก็ได้เวลาเดินกลับไปทางเดิมเข้าที่พัก ไปถึงเกือบ 5 ทุ่ม ประตูบ้านปิดแล้วจร้า ต้องกดออดให้พนักงานมาเปิดประตูให้ แหะๆ คราวนี้ก็ถึงคราวพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เตรียมเดินทางออกนอกเกาะเพื่อไปเที่ยวเมืองอิโปห์ (Ipoh) ... คร่อกๆ
(มีต่อวันที่ 2...ด้านล่าง)
ฝากเพจไว้ติดตามกันครับ GO2 >>
https://www.facebook.com/Go2-x-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-1632477510328553/
[CR] ตามไปเที่ยว >> ทริปลั่นชัตเตอร์รัวๆ ตามหาสตรีทอาร์ตที่ George Town และ Ipoh + สำรวจปราสาทผีสิง Kellie's Castle
ไปตอนที่ 2 >> http://ppantip.com/topic/35160848
(บทนำ)
ณ ออฟฟิศแห่งหนึ่ง ...
“สงกรานต์ไปเที่ยวไหนเพ่?” เสียงที่คุ้นหูของน้องตัวแสบแว่วเข้ามา ผมละสายตาจากจอคอม แล้วเงยหน้าขึ้นมา “พี่ว่าจะไปกินมะละกอที่มะละกาหน่ะ” ผมกล่าวอย่างอารมณ์ดี ซึ่งจริงๆ ไม่เกี่ยวกันหรอก แต่เห็นชื่อมันพ้องๆ กัน ถ้าขึ้นสเตตัสในเฟสคงตลกดี
พักทานข้าวเที่ยง ก็มีเพื่อนมาถามอีก “แล้วสงกรานต์ไปเที่ยวไหน?” ผมเงยหน้าจากจานอาหาร “อื้มม... ก็ว่าจะไปเที่ยว จอร์จ ทาวน์” .... เวลาพูดต้องกระแดะ ออกเสียงแอคเซ่นส์ฝรั่งเล็กน้อย ให้ดูน่าหมั่นไส้หน่อยๆ ซึ่งจริงๆ มันคือเมืองหนึ่งบนเกาะปีนัง ครั้นจะบอกว่า ปีนัง ฟังดูแล้วไม่เท่เท่าไหร่
มาถึงตอนนี้ พอเดาได้แล้วใช่ไหมครับว่าผมจะไปเที่ยวประเทศไหน? เพื่อนบ้านเราเอง ไม่ใกล้ไม่ไกล “มาเลเซีย”
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมอยากไป? คำตอบคือ ...
“ไปถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ต เก๋ๆ แนวๆ ตามซอกมุมเหลือบ ในบรรยากาศเมืองเก่ามรดกโลกที่ปีนัง ตามไปดูปราสาทเก่าของฝรั่งชื่อเคลลี่ที่เมืองอิโปห์ ย่ำเดินแหล่งช้อปปิ้ง ตามหาร้านชิคๆ แหงนหน้าดูตึกแฝดเปโตรนาส ผู้เคยทุบสถิติความสูงที่สุดในโลกที่เมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์”
จริงๆ ที่เที่ยวของมาเลเซียยังมีอีกเยอะ อย่างไปเดินชมเมืองตึกเก่าสไตล์ดัตช์ อีกหนึ่งมรดกโลกที่มะละกา หวีดหรรษากับเครื่องเล่นมันส์ๆ ที่สวนสนุกเก็นติ้ง และใครเป็นติ่งเลโก้ ต้องไม่พลาด Legoland ที่ยะโฮร์ อยากดำน้ำดูนีโม่ สัตว์ทะเล และปะการังสวยติดอันดับโลกก็ต้องที่นี่เลย เกาะสิปาดัน หรือขึ้นเขาชัน ชมไร่ชา อากาศสบายๆ ที่คาเมรอนไฮแลนด์ ก็น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย
หลังจากนั่งศึกษาวางแผนทริป 6 วัน 5 คืน และนี่คือเมืองที่ผมจะไปหาในครั้งนี้ครับ… เกาะปีนัง (มีเมืองเก่าชื่อ จอร์จทาวน์) – อิโปห์ – กัวลาลัมเปอร์ (KL)
โดยแผนคร่าวๆ คือนั่งเครื่องไปลงปีนังแล้วพัก 1 คืน วันรุ่งขึ้นไปเมืองอิโปห์ เป็นวันเดย์ทริป แล้วกลับมาพักที่ปีนัง จะดูถึกๆ เล็กน้อย เพราะเมืองอิโปห์เพิ่งแทรกมาอยู่ในลิสต์ หลังจากจองที่พักไปเรียบร้อยแล้ว วันที่ 3 เที่ยวปีนังแบบเต็มเหนี่ยว แล้วสะลึมสะลือไปนั่งเครื่องบินล่อนไปทางใต้เที่ยวกัวลาลัมเปอร์
ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก่อนออกเดินทาง
1. คนไทยไม่ต้องขอ Visa เที่ยวได้สบายใจ 30 วัน
2. เวลาที่มาเลเซียเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม.
3. หน่วยเงินเรียกว่าริงกิต ตัวย่อมีทั้ง RM และ MYR อัตราแลกเปลี่ยน 1 ริงกิต = 10 บาท (โดยประมาณ)
4. ปลั๊กไฟเป็นแบบ 3 ขาแบนๆ เตรียมติด Adapter ข้ามประเทศไปด้วย
5. ขึ้นรถเมล์ไม่มีการทอนเงิน เตรียมเศษเงินในกระเป๋าไว้ให้พร้อมเสมอ
6. รถแท็กซี่ราคาโหดใช้ได้ ปีนังไม่มีมิเตอร์ แต่เมืองใหญ่กัวลาลัมเปอร์ เค้าว่ามีนะ
7. ขับรถชิดซ้ายเหมือนบ้านเรา ถนนในตัวเมืองปีนังส่วนใหญ่จะเป็น One Way
8. คนมาเลย์ พูดภาษาอังกฤษเก่งนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดกันไม่รู้เรื่อง
9. Malaysia Truly Asia จริงๆ เพราะมีผู้คนเอเชีย หลากหลายเชื้อชาติ ทั้งมาลายู จีน แขก อินเดีย
เตรียมออกเดินทางกันเลย...
วันที่ 1 : ดอนเมือง กรุงเทพ – สนามบินนานาชาติปีนัง มาเลเซีย - ร้าน Caffeine Chemistry
เดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง โดยสายการบินแอร์เอเชีย เวลา 15:40 น. นั่งเครื่อง 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็ถึงสนามบินนานาชาติปีนัง เวลาประมาณ 18:30 น. (เวลาจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม.)
ก่อนไปรับกระเป๋า จะเจอบูธขายซิมมือถือ 3 เจ้า ตั้งอยู่ติดกัน คือ Digi, Hotlink และ Tunetalk แพคเกจเค้าจะคิดตาม Data + Unlimited ที่เป็น Social Messenger สรุปผมเลือกของ Hotlink แพคเกจราคา 26 RM เล่น 800 MB แถมเน็ตให้เล่นฟรีอีก หลังเที่ยงคืนถึง 7 โมงเช้าอีก 500 MB และที่สำคัญคือมี Unlimited LINE ให้ด้วย ในขณะที่ของ Digi มีเพียง What’s App และแอพอื่นๆ ที่คนไทยไม่นิยมใช้กัน จบจากซิมไปรับกระป๋ากันต่อ
ลากกระเป๋างงๆ จะไปหาป้ายรถเมล์เข้าเมือง สอบถามเจ้าหน้าที่ ได้ใจความว่า “ออกไปด้านหน้าอาคาร แล้วเลี้ยวซ้าย” หลังโผล่ออกจากอาคาร ก็เห็นป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลแล้ว
ณ ป้ายรถเมล์เห็นคนไทยประมาณ 4-5 คน กำลังรอรถเมล์อยู่ จากข้อมูลที่มีคือต้องนั่งสาย 401E ไปลงที่ตึกคอมต้าร์ (Komtar) สถานีรถบัสหลักในตัวเมือง ถ้านั่งสาย 401 (ไม่มี E) เส้นทางจะอ้อมกว่า รถค่อยๆ วิ่งเข้ามาจอดที่ท่า ผมก้าวขึ้นบอกว่าจะไปลงที่คอมต้าร์ คนขับแจ้งราคา พร้อมฉีกตั๋วกระดาษเล็กๆ ระบุ 2.7 ริงกิต หน้าที่ของเราคือเอาเงินหย่อนเข้าไปในตู้ด้านข้างคนขับ ผมหยิบแบ็งค์ 10 ริงกิต (คิดเป็นเงินไทยคร่าวๆ ให้ x10) คนขับบอกว่า “ไม่มีทอนนะ!!” อ้าว ก็เพิ่งมาหนิ ยังไม่ทันแตกแบงค์ย่อยเลย ต้องใช้เวลาทำใจ 1 วินาที ก่อนหย่อนเงินลงไป อ้อ! จริงสิ ผมลืมนึกถึงคนไทยที่ต่อตูดอยู่ด้านหลัง ไม่งั้นคงจ่ายรวมให้เค้าไปด้วย แลดูเป็นคนมีน้ำใจเน้อะ แต่ไม่ทันแล้ว
รัฐปีนัง ครอบคลุมพื้นที่ที่เป็นเกาะปีนัง (Penang) มีเมืองหลวงชื่อ จอร์จทาวน์ (George Town) อยู่ทางด้านเหนือของเกาะ และพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ที่เรียกว่า เซอเบอรังเปอราย (Seberang Perai) มีเมืองบัตเตอร์เวิรธ์ (Butterworth) ที่อยู่คนละฝั่งทะเลกับจอร์จทาวน์ เดินทางหาสู่กันได้ด้วยเรือเฟอร์รี่ หรือขับรถข้ามเกาะ ข้ามทะเลกันยาวๆ 8.4 กิโลเมตร ก็ยังได้ ซึ่งคนไทยก็นิยมขับรถผ่านด่าน อ. สะเดา จ. สงขลา เข้ามาเที่ยวเหมือนกัน ส่วนผมมาจากสนามบิน ทางตอนใต้ของเกาะก็ต้องนั่งรถขึ้นไปหามิสเตอร์จอร์จ (ทาวน์) ราวๆ 18 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมเปิด Google Map ไปด้วย จะได้รู้ว่าใกล้ลงรถหรือยัง
“คอมต้าร์ คอมตาร์!!” คนขับตะโกนเตือนสติผู้โดยสาร ผมลากกระเป๋าลงมา และให้ Google นำทางผมไปยังที่พัก “Noordin Street House” ถนน Lebuh Noordin และแล้วก็ได้มายืนที่หน้าตึกแถวเก่า 2 ชั้น หรือที่เรียกว่าช็อปเฮาส์ (Shophouse) เช็คอินเสร็จ พนักงานก็พาไปยังห้องพัก
“โอ้ววว.... นี่มันอย่างกับคอนโดแบบดูเพล็กซ์ มี 2 ชั้นย่อมๆ” ข่าวดีคือพนักงานอัพเกรดห้องให้ เป็น 4 เตียงนอน 2 ห้องน้ำ เอิ่มมม ณ จุดนี้อยากจะพาครอบครัวมาเที่ยวด้วยจริงๆ สระว่ายน้ำก็อยู่ติดกับห้องเลย น่าลงไปแหวกว่ายเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเก็บสัมภาระก็ต้องตามใจท้องที่ร้องโครกคราก พนักงานแนะให้ไปทาน Street Food ที่อยู่ไม่ไกล เดินได้เพียงไม่กี่บล็อค อยู่บนถนน Lebuh Presgrave หากใครพักอยู่ใกล้ตึกคอมต้าร์ ลองแวะมาทานกันได้ รูปแบบของศูนย์อาหารริมถนนขนาดย่อมนี้ ก็จะมีรถเข็นหลายๆ เจ้า และมีที่นั่งรวม อยากหม่ำอะไรก็เดินไปสั่ง ถ้ามีหมายเลขโต๊ะให้บอกแม่ค้าด้วยครับ สักพักจะมีคนมาเสิร์ฟ และเก็บเงิน
มื้อแรกที่ปีนังประเดิมด้วย Hokkien Mee หมี่ ซึ่งจะมีหมี่ให้เลือกว่าจะหมี่ขาว หรือหมี่เหลือง ส่วนใครอยากได้ออปชั่นเพิ่ม อย่างซี่โครงหมู หมูกรอบ และไข่ ก็สั่งไปเลยครับ มีราคาเขียนไว้ชัดเจนดีที่หน้าร้าน ตัววัดใจอยู่ที่น้ำซุปที่รสชาติอาจจะแปลกลิ้นคนไทย แต่ส่วนตัวผมทานได้นะ แอบนึกไปถึงน้ำเงี้ยว แกงส้มอะไรประมาณนั้น
อีกหนึ่งเมนูที่เห็นหลายโต๊ะสั่งกันคือ หอยนางรมทอดกับไข่ หรือที่เรียกว่า “Oh Cien” กลิ่นหอมยั่วใจเสียจริง ต้องจัดไปสักจาน ตบท้ายด้วยของหวานอย่างลอดช่อง หรือ "Cendol"
ทานเสร็จก็ว่าจะไปเดินเล่น หาของกินย่านที่ปิดดึกหน่อย เปิดไกด์บุ๊คระบุชื่อถนน Jalan Nagor ใช้ Google นำทางไป เดินไกลพอสมควรจากตรงนี้ ก็คิดเสียว่าเดินย่อย สำรวจเส้นทางในปีนังแล้วกัน
ในที่สุดก็มาถึงจนได้ แต่ทำไมเงียบจัง!! นี่เรามาดึกเกินไป หรือเป็นวันธรรมดา หรือร้านค้าแอบปิดตัวกันไปหมดแล้ว เดินสำรวจระแวกนี้ยังพอมีร้านกาแฟเปิดอยู่บ้าง
และแล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร้านๆ หนึ่ง ชื่อ “Caffeine Chemistry” ที่หน้าประตูมีสติ๊กเกอร์ของ Trip Advisor แปะอยู่ แสดงว่าต้องมีดีแน่ๆ
เข้ามาด้านในก็พอเข้าใจคอนเซปต์ร้านที่เสมือนการทดลองทางเคมี อย่างเครื่องดื่มจะเสิร์ฟในแก้วบีกเกอร์ และเจ้าแก้วนี้ก็ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตกแต่งด้วย เล็งที่นั่ง จากนั้นก็เดินไปสั่งที่เคาน์เตอร์
“วัน วอเตอร์เมลอน แอนด์ วัน กรีนที วาฟเฟิ่ล บานานา วานิลลา ไอศกรีม วิท กัวเตมาลาไซรัป” ผมสั่งวาฟเฟิ่ลชาเขียว เพราะเห็นว่าแปลกดี อยากลอง ควักเงินจ่ายไป 14 RM หรือคิดเป็นเงินไทยคร่าวๆ ก็เติม 0 เข้าไปอีก 1 ตัว ก็ประมาณ 140 บาท
รอสักพัก หนุ่มตี๋ก็เข้ามาเสิร์ฟแล้วจากไป อ้าว ช้อนส้อมก็ไม่มีให้มาด้วย หรือว่ามันมีสเตชั่นให้เราไปหยิบเอาเอง หันซ้าย หันขวา ดูแล้วก็ไม่มี เลยเดินไปที่เคาน์เตอร์
“เมย์ ไอ แฮฟ ซัม ฟอร์ค?” ผมพูดพร้อมตวัดเสียงสูงคำสุดท้าย ทวงถามส้อม เอาให้ซะดีๆ
“ โอ้! ไอ แอม ซอรี่…” และตอนนี้อุปกรณ์พร้อมแล้ว ก็ตักวาฟเฟิ่ลนุ่มๆ พร้อมไอศครีมเข้าปาก “โอ้โห กัดเข้าไป นี่อย่างแข็ง” 555 แต่ก็ยังตักเข้าปากจนเกือบหมด
ทานเสร็จก็ได้เวลาเดินกลับไปทางเดิมเข้าที่พัก ไปถึงเกือบ 5 ทุ่ม ประตูบ้านปิดแล้วจร้า ต้องกดออดให้พนักงานมาเปิดประตูให้ แหะๆ คราวนี้ก็ถึงคราวพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เตรียมเดินทางออกนอกเกาะเพื่อไปเที่ยวเมืองอิโปห์ (Ipoh) ... คร่อกๆ
(มีต่อวันที่ 2...ด้านล่าง)
ฝากเพจไว้ติดตามกันครับ GO2 >> https://www.facebook.com/Go2-x-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-1632477510328553/