สวัสดีค่ะ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าเรายืมล๊อคอินพี่สาวมานะคะ เป็นการตั้งกระทู้รีวิวครั้งแรกของเรา ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ

เราเป็นคนค่อนข้างมีปัญหาเรื่องริมฝีปากแห้ง แตก ลอก ทาลิปไม่เคยจะสวยแล้วดันชอบลิปแมต เลยค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการหาลิปมันที่ถูกใจ จนกระทั่งพี่สาวแนะนำให้รู้จักกับลิปมันสีผึ้ง พอเราลองใช้แล้วตกหลุมรักเลยค่ะ วันนี้ก็เลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวดีๆกับเพื่อนๆห้องแป้งค่ะ

วันนี้จะมารีวิวทั้งหมด 4 ตัวด้วยกันค่ะ

จากรูปเรียงจากซ้ายไปขวานะคะ เป็นสีผึ้งขมิ้น สีผึ้งกะทิ สีผึ้งแม่เลียบ และสีผึ้งเนื้อทองค่ะ

เริ่มที่สีผึ้งขมิ้นนะคะ

ก่อนอื่นต้องขออภัยสำหรับความเยินของแพคเกจนะคะ คือเราเอาใส่กระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เลยได้สภาพออกมาแบบที่เห็น....

จริงๆตัวนี้เราไม่ได้ซื้อเองค่ะ พี่สาวเราเห็นเราสนใจตอนเค๊าแนะนำเรา เค๊าเลยสั่งสีผึ้งขมิ้นกับสีผึ้งกะทิมาเผื่อ (กราบขอบพระคุณค่ะขุ่นพี่สาว) ตัวนี้เราเริ่มใช้เป็นตัวแรกค่ะ เริ่มใช้ตอนที่ปากลอกขั้นวิกฤติเลยค่ะ ผลการใช้คือ
วันแรก รู้สึกว่าชุ่มชื้นกว่าตอนที่ไม่ได้ทา จริงๆตอนนั้นไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่นะคะ กลิ่นก็เป็นกลิ่นขมิ้นสมชื่อ เราว่ามันแปลกๆ แต่พี่สาวชอบ เค๊าบอกว่าให้ความรู้สึกธรรมชาติดี แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเนอะ
วันที่สอง พอเช้าตื่นมาเท่านั้นแหล่ะ รู้สึกปากเริ่มลอก เราก็ทาทั้งวัน เซลผิวตรงที่มันแห้งไปแล้ว ตายไปแล้วลอกออกมาหมดเลยค่ะ เราก็แกะทั้งวันเลยค่ะ 555+
วันที่สาม ส่วนที่แห้งแตกมันลองออกไปหมดแล้ว ทำให้ปากนุ่มชุ่มชื้นมากค่ะ คือเข้าวันที่สามแล้วประทับใจมากถึงมากที่สุด
หลังจากนั้นเราใช้ต่อเนื่องก็เห็นว่าริมีปากสีแดงสดใสขึ้นนะคะ

สรุป
ข้อดี ตัวนี้ชุ่มชื้นมากค่ะ แต่ไม่รู้สึกเหนียวแหน่ะหน่ะ พี่สาวเอาไปใช้ที่ต่างประเทศ ในฤดูหนาวเท็กซ์เจอร์ของลิปไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ความชุ่มชื้นก็เหมือนเดิมทุกอย่าง เราใช้ในฤดูร้อนเมืองไทยก็ไม่ละลายหรือเยิ้มเลยค่ะ
ข้อเสีย อันนี้บอกก่อนว่าแล้วแต่ความชอบส่วนตัวนะคะ คือเราชอบลิปแมตค่ะ ถ้าทาตัวนี้แล้วทาลิปจะรู้สึกมันๆนิดๆ ลิปจะไม่แมตค่ะ เราเลยหักคะแนนตรงนี้นิดหน่อย แต่พี่สาวชอบทาลิปวาวๆ เค๊าบอกว่าทาตัวนี้แล้วทาลิปเค๊าชอบลุคที่ได้มากค่ะ ฉะนั้นสำหรับคนที่ชอบลิปวาวๆ ตัวนี้ดีค่ะ แต่คนที่ชอบลิปแมตไม่แนะนำจ้า

มาต่อกันที่สีผึ้งกะทินะคะ

ความเยินไม่ต่างจากข้างบนเลย 555+ เหตุผลเดียวกันค่ะ เอาใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วพกไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเลย

ตัวนี้พี่สาวเราเริ่มใช้เป็นตัวแรก ผลที่ได้คือคล้ายๆกับของเราที่ใช้สีผึ้งขมิ้นนะคะ คือวันแรกยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร วันที่สองมาปากลอก พอวันที่สามปากก็นุ่มขึ้นยอะเลยค่ะ แต่สิ่งที่แตกต่างคือกลิ่นค่ะ ตัวนี้กลิ่นเหมือนท๊อฟฟี่กะทิ เราชอบมาก ได้กลิ่นแล้วชวนหิว ชวนหาขนมหวานกิน 55 แต่ว่าพี่สาวบอกว่ากลิ่นแปลกๆ ความเห็นตรงกันข้ามตลอดเลยพี่น้องคู่นี้

สรุป
ข้อดี ตัวนี้ความมันจะน้อยกว่าสีผึ้นกะทินะคะ เราชอบเอามาแตะๆทาก่อนทาลิป ตัวนี้ทาแล้วจะได้ลุคแมตสมใจค่ะ ชอบมากๆ เรื่องความชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าจะมันน้อยกว่าสีผึ้งขมิ้น แต่สำหรับเราแล้วความชุ่มชื้นไม่แพ้กันเลยค่ะ และอีกอย่างที่ชอบคือกลิ่นค่ะ แต่อย่างที่บอก แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเนอะ
ข้อเสีย พี่สาวบอกว่าตอนใช้ที่ต่างประเทศในช่วงที่อากาศหนาวสุดๆ เค๊าออกจะแข็งๆหน่อยอ่ะค่ะ ต้องเอานิ้มถูๆวอร์มเค๊าหน่อยถึงจะหายแข็ง คิดว่าคงเป็นแบบกะทิขึ้นไขมั๊งคะ ไม่แน่ใจ แต่ไม่ได้เสียอะไรนะคะ วอร์มแล้วใช้ความชุ่มชื้นยังได้อยู่ ส่วนผลจากสภาพอากาศเมืองไทย คงไม่มีอารมณ์ที่แบบหนาวจนถึงขั้นนั้นได้อ่ะค่ะ 555+

ตัวที่ 3 สีผึ้งแม่เลียบ (สีผึ้งในตำนาน)

ตัวนี้ค่ะ ราคา 20 บาท!!! ของถูกและดีมีอยู่ในโลกเราจริงๆ คือจากแพคเกจก็เขียนไว้อยู่แล้วว่าตั้งแต่ปี 2480 มีประวัติอันยาวนาน พี่นุชคนขายเล่าให้ฟังว่า สีผึ้งตัวนี้เค๊าทำออกมาเพื่อคนที่เคี้ยวหมากแล้วน้ำหมากจะไม่กัดปากค่ะ เราซื้อมาเพราะว่าได้รับคำเล่าขาลว่าดีมากๆ แล้วเห็นรีวิวไว้ว่าเหมาะมากสำหรับการทารองพื้นลิปแมต คือด้วยความหนึบของเค๊า จะทำให้ไม่ไปผสมกับลิปที่ทา ทำให้ได้ลุคแมตแต่ปากเราจะไม่แห้งแตก ได้ยินอย่างนี้แล้วรีบสั่งมาลองเลยค่ะ พอเอามาใช้แล้วสิ่งแรกที่ชอบคือกลิ่นค่ะ กลิ่นเป็นแบบกลิ่นกำยาน (ถ้านึกไม่ออกก็อารมณ์คล้ายๆธูปหอมๆที่เราใช้ไหว้พระกันหน่ะค่ะ) แล้วเรื่องความหนึบคือ หนึบมากจริงๆค่ะ แต่ทากับลิปแมตแล้วได้ลุคแมตสมใจอยากมากค่ะ ชอบๆ

สรุป
ข้อดี ตัวนี้เหมาะสำหรับคนที่ริมฝึปากแห้งมาก เพราะว่าใช้แล้วเรื่องความชุ้มชื้นเห็นผลเร็วที่สุดในบรรดา 4 ตัวที่รีวิววันนี้ค่ะ และสำหรับสาวๆที่ชอบลิปแมตแต่ปากแห้งแตกง่ายเวลาทาลิป ตัวนี้แนะนำเลยค่ะ ทาแล้วต่อด้วยลิปแมตจะฟินมาก หรือว่าทาหนานิดนึงตอนกลางคืน แล้วเช้ามาจะได้ริมฝีปากทีนุ่มมากค่ะ เราลองทาสองคืนติดกันแล้วเช้ามาทาลิปแมตโดยที่ไม่ได้ทาตัวนี้ก่อน ปากไม่แตกเลยทั้งวันค่ะ ปลื้มมากขอบอกๆ
ข้อเสีย มันหนึบมากๆค่ะ ทาแล้วรู้สึกว่าหนึบๆตลอดเวลา ทากลางคืน เช้ามายังหนึบๆอยู่ ความหนึบเป็นทั้งข้อดีข้อเสีย ช้อดีคืออย่างที่บอกไว้ด้านบน ข้อเสียคือจะมีความรู้สึกหนึบๆตลอดเวลา บางคนอาจจะไม่ชอบนะคะ

ตัวสุดท้าย สีผึ้งเนื้อทองค่ะ

ตัวนี้เราไม่ได้ซื้อนะคะ และยังไม่มีวางขาย พี่นุชเจ้าของร้านพึ่งจะเริ่มทำค่ะ เราได้มาจากการร่วมทำบุญช่วยน้องๆที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเอกวาดอร์ค่ะ พี่นุชใจดีแถมตัวนี้มาให้ แถมมา 2 ตำรับ เป็นกระปุกเล็กๆ ขนาดพกพามากๆ แต่ขอสารภาพว่าเนื่องจากหน้าตาเหมือนกัน สีและกลิ่มเหมือนกันทุกอย่าง เราเลยแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน ก็ใช้มันมั่วๆรวมๆกัน 55+ ตอนใช้ตัวนี้เราถ่ายรูปความเปลี่ยนแปลงเอาไว้ด้วยค่ะ



ตัวนี้เราถ่ายรูปไว้ 4 วันนะคะ เป็นช่วงหลังสงกรานต์ที่อากาศร้อนมากๆ และเราดื่นน้ำน้อยเพราะตระเวนเที่ยวค่ะ สีผึ้งเนื้อทองก็ได้กู้ชีพเราเอาไว้ แต่ว่าตัวนี้เห็นผลช้าที่สุดในบรรดาสีผึ้งที่ลองมานะคะ แต่เนื้อเค๊าละเอียดมากๆ เนียมกว่าสีผึ้งแม่เลียบค่ะ กลิ่นอ่อนๆแทบจะไม่ได้กลิ่นเลย (ผิดกับสีผึ้งแม่เลียบที่จะได้กลิ่นทั้งวันเลยค่ะ รายนั้นติดดีจริงๆ) แต่ว่าตัวนี้ก็ติดดีเหมือนกันนะคะ คือจะรู้สึกหนึบนิดๆแต่หนึบน้อยกว่าสีผึ้งแม่เลียบค่ะ

สรุป
ข้อดี สีผึ้งตัวนี้ให้ความชุ่มชื้นดีค่ะ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นใดๆบนริมฝีปาก เพราะว่าทาแล้วจะไม่ค่อยได้กลิ่นเลยค่ะ และเนื้อเค๊าจะเนียนละเอียดมากๆเลยค่ะ เรื่องความชุ่มชื้นตัวนี้ก็โอเคอยู่นะคะ เราใช้ต่อเนื่องประมาณ 2 สัปดาห์ริมฝีปากนุ่มขึ้น และสีสดใสขึ้นค่ะ และถ้าทาตัวนี้ก่อนทาลิปแมตก็จะได้ลุคแมตอยู่ค่ะ ฉะนั้นความแมตถือว่าผ่านค่ะ
ข้อเสีย ทาแล้วจะรู้สึกหนึบๆค่ะ แต่ยังหนึบน้อยกว่าสีผึ้งแม่เลียบนะคะ แต่ความชุ่มชื้นช่วงข้ามคืนก็น้อยกว่าไปด้วยค่ะ ความชุ่มชื้นเค๊าดีนะคะ แต่ว่าเทียบกันทั้งหมด 4 ตัวแล้วความชุ่มชื้นตัวนี้จะน้อยที่สุดค่ะ

ปล. สีผึ้งทั้งหมดเราซื้อมาจากร้าน nuchy shop นะคะ แต่ว่าสีผึ้งแม่เลียบสามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปเลยค่ะ (เราไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆจากทางร้านในการรีวิวครั้งนี้นะคะ แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนๆเฉยๆค่ะ)

จบแล้วนะคะสำหรับการรีวิวสีผึ้งในวันนี้ อาจจะยาวไปหน่อย แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอขอบคุณมากๆนะคะ ถ้าใครเคยใช้ผลิตภัณฑ์ไทยๆแล้วปลื้มก็มาแบ่งปันกันได้นะคะ เราคนไทย ภูมิใจใช้ของไทยค่ะ