ฮาโหลๆ สวัสดีวันทำงานค่ะ เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่บ้านว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี หันซ้ายทีขวาทีก็เหลือบไปเห็นผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงริมฝีปากที่วางกองๆ รวมกันอย่างละนิดอย่างละหน่อย ตามอัธภาพของคนเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นแรงกระตุ้นให้เจ้าของกระทู้เกิดความคิดที่อยากจะลองทำรีวิวเรื่องสวยๆงามๆกับเขาดูบ้าง จะมีตัวไหนน่าสนใจ ลองตามมาดูกันเลยย
ก่อนที่เราจะไปลงรายละเอียดในผลิตภัณฑ์แต่ละตัว เจ้าของกระทู้ขอเท้าความให้ทราบเบื้องต้นกันก่อนว่า โดยพื้นฐานริมฝีปากของคนเรานั้นมีสีที่แตกต่างกันอยู่แล้วตามกรรมพันธุ์ ซึ่งอาจรวมไปถึงการดูแลและบำรุงรักษาบ้าง สำหรับตัวเราเองนั้นสีปากค่อนข้างอ่อน จึงไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้มากนัก ทำให้บอกไม่ได้ชัดเจนว่าใช้ตัวไหนแล้วปากจะชมพู แต่ก็จะพยายามถ่ายทอดประสบการณ์จากความรู้สึกให้ได้มากที่สุด
สำหรับเหตุผลหลักๆที่เจ้าของกระทู้หันมาให้ความใส่ใจในการดูแลบำรุงริมฝีปาก ก็เพราะว่าเป็นคนหน้ามันมากๆๆๆๆๆๆ ...เอ๊ะ! แล้วมันเกี่ยวอะไร?? หลายคนอาจสงสัย จริงๆแล้วมันจะไม่เกี่ยวเลย...ถ้า!!หมอที่ดูแลหนังหน้าของเราไม่ให้ยาตัวหนึ่งมาทาน ชื่อในวงการของมันก็คือ Roaccutane ซึ่งยาตัวนี้ค่อนข้างอันตราย ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์เท่านั้น โดยมันจะเข้าไปกดการทำงานของต่อไขมันใต้ผิวหนังให้ลดการผลิตน้ำมัน หน้าของเราก็จะมันน้อยลงและแน่นอนปากของเราก็จะแห้งตามไปด้วย คงไม่มีใครอยากเห็นปากตัวเองลอกคราบแล้วมีเลือดไหลซิปๆหรอกจริงไหมจ๊ะสาวๆ
...แหะๆๆๆ ออกทะเลไปไกล กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อจะดีกว่า
รูปนี้เจ้าของกระทู้ได้ทดลองเอาเนื้อผลิตภัณฑ์ของทุกตัวมาป้ายลงบนกระดาษ ในห้องที่เปิดแอร์ แต่มีแสงแดดส่องถึง แล้วเราค่อยกลับมาดูกันว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไป ในระหว่างนี้เราข้ามไปดูรายละเอียดของแต่ละตัวกันก่อนดีกว่าค่ะ
**ขออธิบายไล่ไปตามลำดับของที่ได้มานะคะ**
Nuch นวดกะทิและนวดขมิ้น : ทั้งสองมาในรูปแบบกระปุก ซึ่งได้มาโดยบังเอิญจากพี่ที่รู้จัก คงเห็นสภาพหนังปาก(หมา)ของเจ้าของกระทู้แล้วรับไม่ได้ เลยอนุเคราะห์เจ้า 2 ตัวนี้มาให้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร นวดกะทิ? นวดขมิ้น? มีนวดอโรม่าด้วยป่ะ? ตึ่งโป๊ะ! ...สุดท้ายก็เลยลองหาข้อมูลจากหลายๆแหล่งดู จึงได้รู้ว่ามันคือ ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการดูแลบำรุงรักษาริมฝีปากให้น่าจูจุ๊บ โดยส่วนประกอบหลักๆทำมาจากขี้ผึ้งและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
- นวดกะทิ จุดเด่นคือกลิ่น...หอมมากกกกก หอมหวานแบบขนมไทยๆ แทบอยากวิ่งออกไปซื้อลอดช่องมาคลุกกินกันเลยทีเดียว สำหรับการให้ความชุมชื้น ถ้าไม่ได้เอาปากไปทำอะไรมากมายก็อยู่ได้นาน 3-4 ชั่วโมง แต่ข้อเสียคือ เนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างแข็ง ต้องใช้นิ้ววอร์มอยู่นาน ยิ่งถ้าอยู่ในที่อุณหภูมิต่ำๆ เวลาใช้เรียกว่าต้องขูดออก มาทาปากกันเลยทีเดียว
- นวดขมิ้น เท่าที่หาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ท พบว่ามีส่วนประกอบของ ขี้ผึ้ง ขมิ้น ดอกไม้แห้ง และน้ำมันมะพร้าว ทำให้กลิ่นของนวดขมิ้นออกไปทางกลิ่นของดอกไม้แห้งมากกว่าที่จะเป็นกลิ่นของขมิ้นเพียงอย่างเดียว ตัวเนื้อของนวดขมิ้นจะอ่อนนุ่มกว่านวดกะทิ เวลาทาก็ใช้นิ้ววอร์มตัวเนื้อผลิตภัณฑ์จากกระปุกได้เลย สักพักเนื้อก็จะเริ่มเหลว ทาปากได้ง่ายขึ้น ส่วนการให้ความชุ่มชื่นก็พอๆกับตัวนวดกะทิ คือประมาณ 3 ชั่วโมง
ซึ่งโดยส่วนตัวชอบนวดขมิ้นมากกว่านวดกะทิ เพราะใช้ง่าย ทาได้เรียบลื่นกว่า จึงใช้นวดขมิ้นทาในตอนเช้าหลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อเตรียมความพร้อมของริมฝีปากให้ชุ่มชื่นก่อนที่จะลงลิปสี ส่วนนวดกะทิจะใช้ทาก่อนนอนค่ะ
Lucas’ Papaw Ointment : ครีมมะละกอสารพัดประโยชน์อันแสนโด่งดัง รู้จักเจ้าตัวนี้ครั้งแรกจากรายการโมเมพาเพลิน แล้ว She ก็รีวิวว่าเจ้าตัวเนียะมันเริ่ดดอ่ะ! ใช้ทาปาก ทาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บลาๆๆๆ แค่นั้นแหละ แค่นั้นจริงๆ ไม่ได้รู้รายละเอียดไปมากกว่านี้ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะต้องมีไว้ในครอบครอง จนกระทั่งมีโอกาสไปออสเตรเลีย ความทรงจำในวันนั้นได้พรั่งพรูออกมา เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจ้านี่พอดี ราคาก็ถูกแสนถูก จนต้องซื้อเก็บไว้ แล้วมันก็ดีงามอย่างที่ไม่ทำให้ใครๆผิดหวัง
เนื่อผลิตภัณฑ์จะออกไปทางขี้ผึ้งก็ไม่ใช่ ปิโตรเลี่ยมเจลก็ไม่เชิง โอ้ยยยย...อธิบายยาก ซึ่งถ้าเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องปกติในช่วงหน้าร้อนบ้านเราก็ออกไปทางน้ำมันเยิ้มๆ แต่ถ้าเก็บไว้ในที่เย็นๆ ตัวเนื้อก็จะมีความหนืดขึ้นมาค่อนไปทางเนื้อบาล์ม ส่วนกลิ่น ก็อึนๆ มึนๆ งงๆ แต่ก็พอทนรับได้ เมื่อเทียบกับความดีงามของนังแล้ว
ในเรื่องความชุ่มชื่น เจ้าตัวนี้เอาไปเลย 10 ดาว เพราะนังเอาอยู่แม้ในที่ที่มีอุณหภูมิแค่องศาเดียว ปากของเจ้าของกระทู้ที่ต้องปะทะกับอากาศอันหนาวเย็น และได้ดื่มน้ำเพียงน้อยนิด ก็ยังดูเด่งดึ๋งน่าจุ๊บ
ซึ่งโดยส่วนตัวรักเจ้าตัวนี้มากๆ พกติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา จะทาปากก็ได้ ทาผิวเวลาไหม้แดดก็ดี แต่ช่วงหน้าร้อนก็มีเว้นวรรคกันบ้าง เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าบ้านเรามันร้อนมาก เนื้อผลิตภัณฑ์ของเจ้าตัวนี้มันจะละลายกลายเป็นน้ำมัน ถ้าขืนเอามาทางปากคงมีคนแซวว่าไปกินมันหมูที่ไหนมา...เยิ้มเชียว
Vaseline Lip Therapy : เจ้าตัวนี้เป็นของฝากจากอเมริกา มาในรูปแบบกระปุกขนาดจุ๋มจิ๋ม หลังๆเริ่มเห็นวางขายในบ้านเราเยอะมาก ตัวที่เราได้มาเป็นแบบ Rosy คือเนื้อวาสลีนจะออกสีชมพูอ่อนๆ เวลาทาแล้วริมฝีปากแลดูสุขภาพดี๊ดี แต่เจ้าตัวนี้เนื่อจะหนากว่า Lucas’ Papaw Ointment เล็กน้อย เวลาทาแล้วรู้สึกเหนอะปากหน่อยๆ ให้ความชุ่มชื่นยาวนานและมาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้แบบ Therapy ผ่อนคลายได้อีก
โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบ ของฟรี..เอ้ย! ของดี เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พกติดกระเป๋าไว้ตลอด ดูได้จากสภาพกระปุ๊กที่ยับเยิน แต่ช่วงหลังๆมานี้เริ่มลดปริมาณการใช้ลง เพราะมีหลายคนบอกว่าทาแล้วจะปากดำ เนื่องจากผลิตมาจากปิโตรลาทัม ซึ่งอาจก่อให้เกิดปฎิกิริยากับคนที่มีสีปากอ่อนๆ ทำให้ปากคล้ำขึ้นได้ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน แต่ป้องกันไว้ก่อนก็ดี กลับมาใช้อะไรที่เป็นธรรมชาติคงดีที่สุด
สีผึ้งแม่เลียบ : เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักสีผึ้งแม่เลียบ ที่แจ้งเกิดจากเวปพันทิป การรีวิวถึงความดีงามของมัน จนกลายเป็นที่หมายปองของสาวๆ ผู้มีความหวังอยากจะมีริมฝีปากสุขภาพดี สีสวยอมชมพูแบบธรรมชาติ ไอเทมฮอตฮิตขนาดนี้ จะไม่ซื้อมาลองโดนปากก็กระไรอยู่
สีผึ้งแม่เลียบที่เจ้าของกระทู้ได้มาครอบครองนั้นเป็นแบบที่ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเมื่อเราเปิดฝาตลับออก สิ่งแรกที่มาปะทะจมูกก็คือ กลิ่น...กลิ่มหอมแบบน้ำอบไทย ซึ่งบางครั้งก็ทำให้คนรอบตัวเรามโนไปว่า..อาจมีพลังงานบางอย่างอยู่ก็เป็นได้(เสียงแบบรายการคนอวดผี) สำหรับเนื้อของผลิตภัณฑ์ เรียกได้ว่าผ่านมาตรฐาน 3 ห. คือ หนา หนืด เหนียว ใช้ทาโบกก่อนนอนจะเหมาะที่สุด นอนน้ำลายเยิ้มแค่ไหน ตื่นเช้ามายังอยู่ติดทั้งปาก อาบน้ำก็ใช้แปรงสีฟันขัดออก ถือเป็นการทำสครับปากไปในตัว
สำหรับเจ้าของกระทู้ รู้สึกเฉยๆ มากกับสีผึ้งตัวนี้ เหมือนว่ามันทำหน้าที่แค่เคลือบริมฝีปากเราไว้เฉยๆ ลองนึกถึงน้ำตาเทียนที่หยดใส่ผิวเราแล้วแห้งเกาะผิว ตัวนี้ดีกว่านิดนึงที่ยังพอให้ความชุ่มชื้นอยู่บ้าง ส่วนเรื่องสีปากก็เหมือนเดิมไม่ได้รู้สึกว่าชมพูขึ้นแต่อย่างใด ...ตัวนี้อาจจะเป็นที่รักของคนอื่น แต่ไม่ใช่ที่รักสำหรับฉัน...
Nuch สีผึ้งกะทิ และสีผึ้งขมิ้น : หลังจากออกเดินทางตามหาลิปแคร์ที่ใช่อยู่ปีกว่า ก็วนกลับมาเจอกับคุณคนนี้อีกครั้ง วันนี้เธอมาในโฉมใหม่ผิดแปลกไปจากครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน ...ใช่แล้วเธอมาในแบบลิปแท่ง หมุนง่าย ใช้สะดวก มือไม่เลอะ แต่มันจะต่างกันกับนวดกะทิและนวดขมิ้นอย่างไร?? อยากรู้ก็เลยต้องลอง
- สีผึ้งกะทิ ตัวนี้แตกต่างกันสิ้นเชิงกับนวดกะทิ ทั้งเนื้อและกลิ่น โดยเนื้อจะออกไปทางสีเหลืองนวล เนื้อลื่น บางเบา ละเอียดนุ่ม ทาลงบนริมฝีปากได้โดยตรง และให้ความชุ่มชื่นค่อนข้างดี ส่วนกลิ่นจะออกไปทางมะพร้าวคั่ว หอมไปอีกแบบ
- สีผึ้งขมิ้น ตัวนี้เนื้อคล้ายกับนวดขมิ้น แต่มาในรูปแบบแท่ง ซึ่งทำให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น จะมีที่แตกต่างกันอยู่บ้างตรงกลิ่น สีผึ้งขมิ้นกลิ่นจะออกไปทางขมิ้นชัดเจนกว่า ในขณะนวดขมิ้นกลิ่นจะออกไปทางดอกไม้แห้งค่ะ
โดยส่วนตัวเจ้าของกระทู้ปลื้มปิติมากๆๆๆกับสีผึ้งกะทิตัวนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้ใช้ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็น Christopher Columbus “...ใช่แล้วนี่คือสีผึ้งที่ฉันตามหามานาน” เนื้อนุ่มบางเบา ไม่เหนอะหนะ แต่ให้ความชุมชื่นดี เหมาะกับใช้ทาระหว่างวันที่สุดแล้ว ที่สำคัญผลิตมาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีสารเคมีตกค้าง เจ้าสิ่งนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่ต้องพกติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลาแทนที่ my rosy
กระซิบอีกนิดนึงว่าหลังจากวันแรกที่ทาเจ้าสีผึ้งกะทิ ตื่นนอนตอนเช้ามาส่องกระจก ถึงกับต้องร้องกรี๊ด...คือสวย?? ไม่ใช่!!กระจกหายยยย..
! เข้าเรื่องต่อ ตื่นมาส่องกระจกพบว่าปากชมพูมากจ้า จนต้องคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ก็นั่นแหละไม่รู้ว่ามโนไปเองหรือป่าว หรือว่ามีปัจจัยอย่างอื่นเสริม เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะชมพูผิดหูผิดตา
**อ่อ! อาจจะรู้สึกทาแล้วเหนอะปากบ้างในวันที่อากาศร้อนจัดๆ ก็ให้ใช้วิธีการแตะลงบนริมฝีปากแทนการถูกไปมาก็จะช่วยได้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อันนี้เป็นรูปที่ถ่ายจากมือถือ หลังจากลองทาสีผึ้งกะทิทิ้งไว้ 1 คืน ตอนเช้ามาแดงมากจร้าาา แต่ก็อย่างที่บอกว่าอาจจะมีปัจจัยอื่นเสริมด้วย
**ไม่มีการแต่งภาพแต่อย่างใด**
Bija Lip Balm All Natural : เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเดินเที่ยวตลาดตะลักเกี้ยะ Urban Organic Market บริเวณย่านตลาดน้อย ซึ่งเป็นตลาดขายสินค้า Organic อาหารสุขภาพ ของทำมือน่ารักๆ และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งไหนๆก็ไปถึงที่แล้วจะไม่มีของติดไม้ติดมือกลับบ้านก็กระไรอยู่ เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบในที่สุดก็ได้เจ้าตัวนี้กลับมาเล่นที่บ้าน
เมื่อดูจากส่วนผสมของ Bija Lip Balm All Natural ก็เดาว่าน่าจะเป็นสีผึ้งกะทิ เพราะมีส่วนผสมของ น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันรำข้าว แต่ว่ามันไม่เท่านั้นนะสิ มันยังมีส่วนผสมของกานพลู และมิ้นท์รวมอยู่ด้วย ทำให้กลิ่นของมันเป็นอะไรที่เมื่อได้สูดดมเข้าไปแล้วทำให้ผ่อนคลายสุดๆ ใช้ดมแก้วินเวียนศีรษะได้เลยหละ จะว่าไปกลิ่นมันก็คล้ายๆ เซียงเพียวอิ๊ว แต่ไม่ต้องตกใจไป กลิ่นมันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น สำหรับเนื้อผลิตภัณฑ์ ยังหนา หนัก แต่เบาบางกว่าสีผึ้งแม่เลียบ เวลาทาลงบนริมฝีปากโดยตรงจะค่อนข้างหนืดและเป็นคราบ ทางที่ดีให้ใช้นิ้ววอร์มเนื้อผลิตภัณฑ์ให้อ่อนตัวลงก่อนแล้วจึงทาจากนิ้วมือ
โดยส่วนตัวก็ค่อนข้างชอบ ใช้ทาก่อนนอน กลิ่นของมันทำให้ผ่อนคลาย แล้วเวลาทาลงบนปากจะให้ความรู้สึกเย็นนิดๆ ค่ะ
[CR] รีวิว แปดลิปแคร์ ที่จะดูแลริมฝีปากให้สวยน่าจุ๊บ
ก่อนที่เราจะไปลงรายละเอียดในผลิตภัณฑ์แต่ละตัว เจ้าของกระทู้ขอเท้าความให้ทราบเบื้องต้นกันก่อนว่า โดยพื้นฐานริมฝีปากของคนเรานั้นมีสีที่แตกต่างกันอยู่แล้วตามกรรมพันธุ์ ซึ่งอาจรวมไปถึงการดูแลและบำรุงรักษาบ้าง สำหรับตัวเราเองนั้นสีปากค่อนข้างอ่อน จึงไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้มากนัก ทำให้บอกไม่ได้ชัดเจนว่าใช้ตัวไหนแล้วปากจะชมพู แต่ก็จะพยายามถ่ายทอดประสบการณ์จากความรู้สึกให้ได้มากที่สุด
สำหรับเหตุผลหลักๆที่เจ้าของกระทู้หันมาให้ความใส่ใจในการดูแลบำรุงริมฝีปาก ก็เพราะว่าเป็นคนหน้ามันมากๆๆๆๆๆๆ ...เอ๊ะ! แล้วมันเกี่ยวอะไร?? หลายคนอาจสงสัย จริงๆแล้วมันจะไม่เกี่ยวเลย...ถ้า!!หมอที่ดูแลหนังหน้าของเราไม่ให้ยาตัวหนึ่งมาทาน ชื่อในวงการของมันก็คือ Roaccutane ซึ่งยาตัวนี้ค่อนข้างอันตราย ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์เท่านั้น โดยมันจะเข้าไปกดการทำงานของต่อไขมันใต้ผิวหนังให้ลดการผลิตน้ำมัน หน้าของเราก็จะมันน้อยลงและแน่นอนปากของเราก็จะแห้งตามไปด้วย คงไม่มีใครอยากเห็นปากตัวเองลอกคราบแล้วมีเลือดไหลซิปๆหรอกจริงไหมจ๊ะสาวๆ
...แหะๆๆๆ ออกทะเลไปไกล กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อจะดีกว่า
รูปนี้เจ้าของกระทู้ได้ทดลองเอาเนื้อผลิตภัณฑ์ของทุกตัวมาป้ายลงบนกระดาษ ในห้องที่เปิดแอร์ แต่มีแสงแดดส่องถึง แล้วเราค่อยกลับมาดูกันว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไป ในระหว่างนี้เราข้ามไปดูรายละเอียดของแต่ละตัวกันก่อนดีกว่าค่ะ
**ขออธิบายไล่ไปตามลำดับของที่ได้มานะคะ**
Nuch นวดกะทิและนวดขมิ้น : ทั้งสองมาในรูปแบบกระปุก ซึ่งได้มาโดยบังเอิญจากพี่ที่รู้จัก คงเห็นสภาพหนังปาก(หมา)ของเจ้าของกระทู้แล้วรับไม่ได้ เลยอนุเคราะห์เจ้า 2 ตัวนี้มาให้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร นวดกะทิ? นวดขมิ้น? มีนวดอโรม่าด้วยป่ะ? ตึ่งโป๊ะ! ...สุดท้ายก็เลยลองหาข้อมูลจากหลายๆแหล่งดู จึงได้รู้ว่ามันคือ ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการดูแลบำรุงรักษาริมฝีปากให้น่าจูจุ๊บ โดยส่วนประกอบหลักๆทำมาจากขี้ผึ้งและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
- นวดกะทิ จุดเด่นคือกลิ่น...หอมมากกกกก หอมหวานแบบขนมไทยๆ แทบอยากวิ่งออกไปซื้อลอดช่องมาคลุกกินกันเลยทีเดียว สำหรับการให้ความชุมชื้น ถ้าไม่ได้เอาปากไปทำอะไรมากมายก็อยู่ได้นาน 3-4 ชั่วโมง แต่ข้อเสียคือ เนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างแข็ง ต้องใช้นิ้ววอร์มอยู่นาน ยิ่งถ้าอยู่ในที่อุณหภูมิต่ำๆ เวลาใช้เรียกว่าต้องขูดออก มาทาปากกันเลยทีเดียว
- นวดขมิ้น เท่าที่หาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ท พบว่ามีส่วนประกอบของ ขี้ผึ้ง ขมิ้น ดอกไม้แห้ง และน้ำมันมะพร้าว ทำให้กลิ่นของนวดขมิ้นออกไปทางกลิ่นของดอกไม้แห้งมากกว่าที่จะเป็นกลิ่นของขมิ้นเพียงอย่างเดียว ตัวเนื้อของนวดขมิ้นจะอ่อนนุ่มกว่านวดกะทิ เวลาทาก็ใช้นิ้ววอร์มตัวเนื้อผลิตภัณฑ์จากกระปุกได้เลย สักพักเนื้อก็จะเริ่มเหลว ทาปากได้ง่ายขึ้น ส่วนการให้ความชุ่มชื่นก็พอๆกับตัวนวดกะทิ คือประมาณ 3 ชั่วโมง
ซึ่งโดยส่วนตัวชอบนวดขมิ้นมากกว่านวดกะทิ เพราะใช้ง่าย ทาได้เรียบลื่นกว่า จึงใช้นวดขมิ้นทาในตอนเช้าหลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อเตรียมความพร้อมของริมฝีปากให้ชุ่มชื่นก่อนที่จะลงลิปสี ส่วนนวดกะทิจะใช้ทาก่อนนอนค่ะ
Lucas’ Papaw Ointment : ครีมมะละกอสารพัดประโยชน์อันแสนโด่งดัง รู้จักเจ้าตัวนี้ครั้งแรกจากรายการโมเมพาเพลิน แล้ว She ก็รีวิวว่าเจ้าตัวเนียะมันเริ่ดดอ่ะ! ใช้ทาปาก ทาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บลาๆๆๆ แค่นั้นแหละ แค่นั้นจริงๆ ไม่ได้รู้รายละเอียดไปมากกว่านี้ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะต้องมีไว้ในครอบครอง จนกระทั่งมีโอกาสไปออสเตรเลีย ความทรงจำในวันนั้นได้พรั่งพรูออกมา เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจ้านี่พอดี ราคาก็ถูกแสนถูก จนต้องซื้อเก็บไว้ แล้วมันก็ดีงามอย่างที่ไม่ทำให้ใครๆผิดหวัง
เนื่อผลิตภัณฑ์จะออกไปทางขี้ผึ้งก็ไม่ใช่ ปิโตรเลี่ยมเจลก็ไม่เชิง โอ้ยยยย...อธิบายยาก ซึ่งถ้าเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องปกติในช่วงหน้าร้อนบ้านเราก็ออกไปทางน้ำมันเยิ้มๆ แต่ถ้าเก็บไว้ในที่เย็นๆ ตัวเนื้อก็จะมีความหนืดขึ้นมาค่อนไปทางเนื้อบาล์ม ส่วนกลิ่น ก็อึนๆ มึนๆ งงๆ แต่ก็พอทนรับได้ เมื่อเทียบกับความดีงามของนังแล้ว
ในเรื่องความชุ่มชื่น เจ้าตัวนี้เอาไปเลย 10 ดาว เพราะนังเอาอยู่แม้ในที่ที่มีอุณหภูมิแค่องศาเดียว ปากของเจ้าของกระทู้ที่ต้องปะทะกับอากาศอันหนาวเย็น และได้ดื่มน้ำเพียงน้อยนิด ก็ยังดูเด่งดึ๋งน่าจุ๊บ
ซึ่งโดยส่วนตัวรักเจ้าตัวนี้มากๆ พกติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา จะทาปากก็ได้ ทาผิวเวลาไหม้แดดก็ดี แต่ช่วงหน้าร้อนก็มีเว้นวรรคกันบ้าง เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าบ้านเรามันร้อนมาก เนื้อผลิตภัณฑ์ของเจ้าตัวนี้มันจะละลายกลายเป็นน้ำมัน ถ้าขืนเอามาทางปากคงมีคนแซวว่าไปกินมันหมูที่ไหนมา...เยิ้มเชียว
Vaseline Lip Therapy : เจ้าตัวนี้เป็นของฝากจากอเมริกา มาในรูปแบบกระปุกขนาดจุ๋มจิ๋ม หลังๆเริ่มเห็นวางขายในบ้านเราเยอะมาก ตัวที่เราได้มาเป็นแบบ Rosy คือเนื้อวาสลีนจะออกสีชมพูอ่อนๆ เวลาทาแล้วริมฝีปากแลดูสุขภาพดี๊ดี แต่เจ้าตัวนี้เนื่อจะหนากว่า Lucas’ Papaw Ointment เล็กน้อย เวลาทาแล้วรู้สึกเหนอะปากหน่อยๆ ให้ความชุ่มชื่นยาวนานและมาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้แบบ Therapy ผ่อนคลายได้อีก
โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบ ของฟรี..เอ้ย! ของดี เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พกติดกระเป๋าไว้ตลอด ดูได้จากสภาพกระปุ๊กที่ยับเยิน แต่ช่วงหลังๆมานี้เริ่มลดปริมาณการใช้ลง เพราะมีหลายคนบอกว่าทาแล้วจะปากดำ เนื่องจากผลิตมาจากปิโตรลาทัม ซึ่งอาจก่อให้เกิดปฎิกิริยากับคนที่มีสีปากอ่อนๆ ทำให้ปากคล้ำขึ้นได้ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน แต่ป้องกันไว้ก่อนก็ดี กลับมาใช้อะไรที่เป็นธรรมชาติคงดีที่สุด
สีผึ้งแม่เลียบ : เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักสีผึ้งแม่เลียบ ที่แจ้งเกิดจากเวปพันทิป การรีวิวถึงความดีงามของมัน จนกลายเป็นที่หมายปองของสาวๆ ผู้มีความหวังอยากจะมีริมฝีปากสุขภาพดี สีสวยอมชมพูแบบธรรมชาติ ไอเทมฮอตฮิตขนาดนี้ จะไม่ซื้อมาลองโดนปากก็กระไรอยู่
สีผึ้งแม่เลียบที่เจ้าของกระทู้ได้มาครอบครองนั้นเป็นแบบที่ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเมื่อเราเปิดฝาตลับออก สิ่งแรกที่มาปะทะจมูกก็คือ กลิ่น...กลิ่มหอมแบบน้ำอบไทย ซึ่งบางครั้งก็ทำให้คนรอบตัวเรามโนไปว่า..อาจมีพลังงานบางอย่างอยู่ก็เป็นได้(เสียงแบบรายการคนอวดผี) สำหรับเนื้อของผลิตภัณฑ์ เรียกได้ว่าผ่านมาตรฐาน 3 ห. คือ หนา หนืด เหนียว ใช้ทาโบกก่อนนอนจะเหมาะที่สุด นอนน้ำลายเยิ้มแค่ไหน ตื่นเช้ามายังอยู่ติดทั้งปาก อาบน้ำก็ใช้แปรงสีฟันขัดออก ถือเป็นการทำสครับปากไปในตัว
สำหรับเจ้าของกระทู้ รู้สึกเฉยๆ มากกับสีผึ้งตัวนี้ เหมือนว่ามันทำหน้าที่แค่เคลือบริมฝีปากเราไว้เฉยๆ ลองนึกถึงน้ำตาเทียนที่หยดใส่ผิวเราแล้วแห้งเกาะผิว ตัวนี้ดีกว่านิดนึงที่ยังพอให้ความชุ่มชื้นอยู่บ้าง ส่วนเรื่องสีปากก็เหมือนเดิมไม่ได้รู้สึกว่าชมพูขึ้นแต่อย่างใด ...ตัวนี้อาจจะเป็นที่รักของคนอื่น แต่ไม่ใช่ที่รักสำหรับฉัน...
Nuch สีผึ้งกะทิ และสีผึ้งขมิ้น : หลังจากออกเดินทางตามหาลิปแคร์ที่ใช่อยู่ปีกว่า ก็วนกลับมาเจอกับคุณคนนี้อีกครั้ง วันนี้เธอมาในโฉมใหม่ผิดแปลกไปจากครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน ...ใช่แล้วเธอมาในแบบลิปแท่ง หมุนง่าย ใช้สะดวก มือไม่เลอะ แต่มันจะต่างกันกับนวดกะทิและนวดขมิ้นอย่างไร?? อยากรู้ก็เลยต้องลอง
- สีผึ้งกะทิ ตัวนี้แตกต่างกันสิ้นเชิงกับนวดกะทิ ทั้งเนื้อและกลิ่น โดยเนื้อจะออกไปทางสีเหลืองนวล เนื้อลื่น บางเบา ละเอียดนุ่ม ทาลงบนริมฝีปากได้โดยตรง และให้ความชุ่มชื่นค่อนข้างดี ส่วนกลิ่นจะออกไปทางมะพร้าวคั่ว หอมไปอีกแบบ
- สีผึ้งขมิ้น ตัวนี้เนื้อคล้ายกับนวดขมิ้น แต่มาในรูปแบบแท่ง ซึ่งทำให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น จะมีที่แตกต่างกันอยู่บ้างตรงกลิ่น สีผึ้งขมิ้นกลิ่นจะออกไปทางขมิ้นชัดเจนกว่า ในขณะนวดขมิ้นกลิ่นจะออกไปทางดอกไม้แห้งค่ะ
โดยส่วนตัวเจ้าของกระทู้ปลื้มปิติมากๆๆๆกับสีผึ้งกะทิตัวนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้ใช้ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็น Christopher Columbus “...ใช่แล้วนี่คือสีผึ้งที่ฉันตามหามานาน” เนื้อนุ่มบางเบา ไม่เหนอะหนะ แต่ให้ความชุมชื่นดี เหมาะกับใช้ทาระหว่างวันที่สุดแล้ว ที่สำคัญผลิตมาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีสารเคมีตกค้าง เจ้าสิ่งนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่ต้องพกติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลาแทนที่ my rosy
กระซิบอีกนิดนึงว่าหลังจากวันแรกที่ทาเจ้าสีผึ้งกะทิ ตื่นนอนตอนเช้ามาส่องกระจก ถึงกับต้องร้องกรี๊ด...คือสวย?? ไม่ใช่!!กระจกหายยยย..! เข้าเรื่องต่อ ตื่นมาส่องกระจกพบว่าปากชมพูมากจ้า จนต้องคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ก็นั่นแหละไม่รู้ว่ามโนไปเองหรือป่าว หรือว่ามีปัจจัยอย่างอื่นเสริม เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะชมพูผิดหูผิดตา
**อ่อ! อาจจะรู้สึกทาแล้วเหนอะปากบ้างในวันที่อากาศร้อนจัดๆ ก็ให้ใช้วิธีการแตะลงบนริมฝีปากแทนการถูกไปมาก็จะช่วยได้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Bija Lip Balm All Natural : เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเดินเที่ยวตลาดตะลักเกี้ยะ Urban Organic Market บริเวณย่านตลาดน้อย ซึ่งเป็นตลาดขายสินค้า Organic อาหารสุขภาพ ของทำมือน่ารักๆ และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งไหนๆก็ไปถึงที่แล้วจะไม่มีของติดไม้ติดมือกลับบ้านก็กระไรอยู่ เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบในที่สุดก็ได้เจ้าตัวนี้กลับมาเล่นที่บ้าน
เมื่อดูจากส่วนผสมของ Bija Lip Balm All Natural ก็เดาว่าน่าจะเป็นสีผึ้งกะทิ เพราะมีส่วนผสมของ น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันรำข้าว แต่ว่ามันไม่เท่านั้นนะสิ มันยังมีส่วนผสมของกานพลู และมิ้นท์รวมอยู่ด้วย ทำให้กลิ่นของมันเป็นอะไรที่เมื่อได้สูดดมเข้าไปแล้วทำให้ผ่อนคลายสุดๆ ใช้ดมแก้วินเวียนศีรษะได้เลยหละ จะว่าไปกลิ่นมันก็คล้ายๆ เซียงเพียวอิ๊ว แต่ไม่ต้องตกใจไป กลิ่นมันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น สำหรับเนื้อผลิตภัณฑ์ ยังหนา หนัก แต่เบาบางกว่าสีผึ้งแม่เลียบ เวลาทาลงบนริมฝีปากโดยตรงจะค่อนข้างหนืดและเป็นคราบ ทางที่ดีให้ใช้นิ้ววอร์มเนื้อผลิตภัณฑ์ให้อ่อนตัวลงก่อนแล้วจึงทาจากนิ้วมือ
โดยส่วนตัวก็ค่อนข้างชอบ ใช้ทาก่อนนอน กลิ่นของมันทำให้ผ่อนคลาย แล้วเวลาทาลงบนปากจะให้ความรู้สึกเย็นนิดๆ ค่ะ