บารมีลูกตำรวจ วัดใจคดี 6 โจ๋รุมฆ่าชายพิการ พยานผวาหดหาย!

“กูเป็นลูกตำรวจ!!”...เสียงประกาศศักดาดังกึกก้องคับซอย โชคชัย 4 แยก 69 ของชายฉกรรจ์ 6 คน พร้อมอาวุธมีดยาว 3 เล่ม และอิฐบล็อก พร้อมกับเข้ารุมทำร้ายชายขาข้างซ้ายลีบ แม้พยายามหนี ถึงแม้ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว แต่ชายผู้เคราะห์ร้าย ก็ไม่พ้นเงื้อมมือมัจจุราช

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แน่นอนเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ เป็นที่มาของการจับกุม และ ทราบข้อเท็จจริงว่า 6 โจ๋เหล่านี้ เป็นลูกตำรวจจริงๆ 4 จาก 6 คน ประกอบไปด้วย 1. นายพีรพล เกิดจะโป๊ะ หรือ ยศพงศ์อนันต์ อายุ 21 ปี 2. นายอรินทร์ ยศพงศ์อนันต์ อายุ 19 ปี 3. นายอัครเดช ทัศนะ อายุ 22 ปี 4. นายมนต์มนัส แสงโพธิ์ อายุ 21 ปี 5. นายต๊ะ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี และ 6. นายเมฆ พลไกรษร อายุ 19 ปี โดยในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาร่วมกันใช้อาวุธมีดรุมทำร้าย นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ อายุ 36 ปี ขาซ้ายพิการ คนงานส่งขนมปังเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล โดยมีการปล่อยให้หลบหนีต่อหน้าต่อตา!

คำถามจึงย้อนกลับมาหาเจ้าหน้าที่ ว่าทำไมไม่จับกุม ลูกตำรวจแล้วกร่างได้หรือ ลูกตำรวจทำอะไรไม่ผิดกฎหมายหรือ วัฒนธรรมตำรวจมักช่วยเหลือกันเอง มีจริงหรือ!!?


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกกล้องจับภาพได้

ผบช.น. ท้าเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน การันตี ไม่มีอุ้มแก๊งลูกตำรวจ


เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติของผู้เสียชีวิตถึงบริเวณบ้านพักเพื่อแสดงความเสียใจและเห็นใจต่อญาติของผู้เสียชีวิต ส่วนเรื่องความเป็นธรรม แต่สำหรับเหยื่อนั้นเราต้องให้ความเห็นใจ แต่ความเป็นธรรมก็ต้องให้ทุกคน ทั้งสองฝ่าย ตามข้อเท็จจริง

“อยากบอกกับเขาว่าไม่ต้องกังวลใจ เรื่องที่เขาจะเปิดร้านไม่ได้อีก หรือ มีใครมาข่มขู่หรือไม่ ผมถึงไปที่บ้านเพื่อให้เขาสบายใจ”

พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวต่อว่า ข้อหาที่ตั้งกับทั้ง 6 คือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่น มาตรา 288 และตอนนี้ได้มีการคัดค้านการประกันตัว โดย 1 ใน 6 คนที่มีรอยฟันที่แขน ตอนนี้กำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนี้ให้ตำรวจอายัดตัวไว้ก่อน จากนั้นค่อยส่งดำเนินการ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร คงต้องรอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน แต่ฝ่ายผู้ต้องหาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ส่วนลูกตำรวจ 4 คนนั้น พ่อเขามียศดาบตำรวจ กับร้อยโท ซึ่งอยู่ที่ 2 สน. คือ บางชัน กับ โชคชัย


พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. ให้กำลังใจญาติเหยื่อ

นอกจากนี้ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังได้ยืนยันว่า ได้ตรวจร่างกายผู้ต้องหาทั้งหมดแล้ว ไม่มีสารเสพติดสักคน เชื่อว่าพวกเขาไปกินเหล้ามา พร้อมกับบอกว่า ที่ผ่านมา ทางนครบาลมีโครงการสั่งไม่ฟ้องเป็นศูนย์ เพื่อให้พนักงานสอบสวนของนครบาลให้ความเป็นธรรมกับทุกคนทุกคดี จะได้เป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง โดยที่พนักงานสอบสวนจะไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือรับผลประโยชน์ นี่คือหลักประกันอย่างหนึ่งในทุกคดี ซึ่งคดีนี้เป็นคดีหนึ่งให้คนเชื่อมั่น และตั้งแต่มีโครงการนี้มา เชื่อว่าพนักงานสอบสวนทุกคดีไม่กล้าบิดเบือนข้อเท็จจริง

ติงทนายบางคน พูดข้อกฎหมายไม่ถูก 100% กรณีตำรวจตั้งข้อหา

“ไม่มีทาง ที่ตำรวจจะมาช่วยคนนู้นคนนี้ ขอเอาตำแหน่งผู้บัญชาการค้ำประกันโดยหลักการ ที่ผ่านมา พวกเราทำดีเสมอตัว ทำชั่วมีแต่คนด่า เป็นจำพวกต้นทุนต่ำ บางทีข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามนั้น 100% แต่เอาบางส่วนมาพูดกัน แต่เราก็รู้สึกเห็นใจผู้เสียหาย เพราะเขาก็ต้องออกมาปกป้องคนของเขา เราเองก็เห็นใจเขา และให้กำลังใจเขา เห็นมีทนายความบางท่านไปให้ข้อเท็จจริง ให้ข้อกฎหมายอาจจะไม่ถูก 100% มาพูด มันอาจจะกลายเป็นยุแยงตะแคงรั่วหรือไม่ ทำให้คนหวาดระแวงตำรวจ”

พล.ต.ท.ศานิตย์ ยังได้ยกตัวอย่างว่า จะให้ตั้งข้อหา ฆ่าโดยไตร่ตรอง สมมติว่าพกมีดไว้เพื่อป้องกันตัว ไม่ได้ประสงค์ต่อชีวิต แบบนี้จะไปตั้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองได้หรือไม่ หรือบางคนไม่ได้ทำอะไรเลย ที่มีการพูดถึงผู้หญิง ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว เขาถึงลงมา แล้วก็มีเท็จจริงว่าไปห้ามด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากท่านได้ยินได้ฟังจริงก็สามารถมาให้การกับผม ถ้าหากเป็นก่อนเกิดเหตุ หรือที่เกิดเหตุ ที่สามารถก่อให้เกิดการเกิดเหตุ ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด แต่ถ้าไม่ใช่ขณะนั้น เกิดทีหลัง จะเป็นการยุแยงให้กระทำความผิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

"ไม่ใช่ว่าลูกตำรวจต้องผิดตลอด หรือแม้แต่ตำรวจที่ไปที่เกิดเหตุ คนแรก ก็เป็นตำรวจสันติบาล เขามาเผชิญเหตุโดยบังเอิญ ไม่รู้จักลูกตำรวจ เขาไปเห็นเหตุก็ระงับเหตุ โดยไม่รู้ว่าเป็นลูกตำรวจ ตำรวจสายตรวจมาทีหลัง ก็ตามจับหมด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทีแรกเขามาคนเดียว เขาเห็นคนเจ็บก็พยายามบอกให้นำตัวส่งโรงพยาบาล โดยไม่รู้ว่าเป็นลูกตำรวจ แต่ทีหลังตำรวจในเครื่องแบบมา 2 คน จับได้ 4 คน ดังนั้น จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย"


เจ้าหน้าที่นำตัวแถลงข่าว พร้อมของกลาง ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ

อดีตตำรวจดังรับ ระบบอุปถัมภ์มีจริง ซัดตำรวจระงับเหตุบกพร่อง ขาดยุทธวิธี

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐได้ต่อสายตรงพูดคุยกับ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตนายตำรวจมือปราบ จอมแฉถึงเรื่องราวโสมม ในวงการสีกากี ว่าเรื่องแบบนี้ มันสะสมเป็นเรื่องจริงหรือไม่


พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เริ่มต้นเล่าว่า เรื่องนี้ขอตั้ง 3 ประเด็น คือ 1. คนร้าย 6 คน กับ เหยื่อขาพิการ 2. การกระทำรุนแรงมากๆ 3. เป็นลูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ ตำรวจ 4. เมื่อเจ้าหน้าที่มาระงับเหตุ ยังไม่หยุด 5. เมื่อเจ้าหน้าที่ยิงปืนขึ้นฟ้า ก็ยังไม่หยุด 6. ฆ่าแทงคอเขาขณะเจ้าหน้าที่อยู่ 7. เจ้าหน้าที่เจอเหตุซึ่งหน้าทำไมไม่จับกุม

“เป็นลูกตำรวจสามารถรังแกประชาชนได้หรือ ขนาดตำรวจมาก็ไม่หยุด เพราะรู้จักตำรวจหรือ ให้ทิ้งอาวุธก็ไม่ทิ้ง ยิงปืนขึ้นฟ้าก็ไม่เลิก โดยปกติแล้ว หากคนทั่วไป มีคนพูดว่า “ตำรวจมา...” มันต้องต่างคนต่างหนี แต่นี่ไม่ใช่ เพราะคิดว่า “กูคือลูกตำรวจ”

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ทุกท้องที่ในประเทศไทยมีแฟลตตำรวจ หรือบ้านพักตำรวจ ก็จะมีลูกหลานตำรวจอยู่ ซึ่งตำรวจส่วนใหญ่เขาไม่อยากจะยุ่ง เช่น สน. ก เห็นลูกชาย หมวด ง อยู่ใน สน. เกิดทำผิด เขาก็ไม่อยากจะไปยุ่ง เพราะรู้ๆ กันอยู่หากทำไปก็อาจจะไปผิดใจกับพ่อ ฉะนั้น แบบนี้ทำให้พวกนี้ได้ใจ เล่นไฮโลใต้ถุนแฟลต ก็ไม่มีใครกล้าจับ ไม่จับเพราะเห็นเป็นลูกหลานตำรวจ

“ก็เพราะปล่อยให้เป็นแบบนี้ ทำให้ลูกตำรวจมีนิสัยก้าวร้าว เหิมเกริม ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง คิดอยู่เสมอว่า หากกระทำผิดแล้วจะเคลียร์ได้ หากถูกกฎหมายลงโทษก็จะโดนสถานเบา มันทำให้คนพวกนี้เหิมเกริม”


คุมตัว 6 ผู้ต้องหา ก่อเหตุสะเทือนขวัญ​

เมื่อถามว่า จริงหรือไม่ ตำรวจมีระบบอุปถัมภ์ ผู้การวิสุทธิ์​ ยอมรับว่า “เรื่องจริง” แต่...หากเป็นข่าวครึกโครม คดีใหญ่ ก็อาจจะใช้วิธีการช่วยแบบอ้อมๆ เช่น ให้ประกัน หรือให้เยี่ยมวันละครั้ง ก็อาจจะได้มากกว่า เพราะเราต้องเข้าใจว่าหากถูกควบคุมตัวที่ สน. ก็มาเยี่ยมได้ และถ้าเป็นเด็ก ก็ควบคุมตัวได้ 24 ชม. ซึ่งตอนนั้น หากไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ​พ่อแม่ใช้โอกาสไปเคลียร์กับผู้เสียหายได้ พอเคลียร์แล้วอาจจะถอนแจ้งความ ฉะนั้น บางคนเป็นเด็กที่โตมาใกล้ๆ กับแฟลตตำรวจ หรือใน สน. เห็นตำรวจเป็นเพื่อนพ่อ มันก็ไม่อยากยุ่ง

“ถ้าตำรวจไม่คำนึงถึงว่าเป็นลูกตำรวจ และมีจิตวิญญาณการเป็นตำรวจ มียุทธวิธี และ เอาไหน สักหน่อย! ชายคนนั้นจะไม่ตาย ซึ่งตรงนี้ต้องดูข้อเท็จจริงว่าบาดแผลสุดท้ายที่แทงคอ แทงก่อน หรือ หลังตำรวจมา แต่หากตำรวจมาระงับเหตุแล้วยังถูกแทงคอ แสดงว่าตำรวจคนนั้นไม่เอาไหน ไม่มียุทธวิธี ระงับเหตุก็ไม่เป็น สาเหตุที่ไม่เอาไหนก็เพราะ...ไอ้พวกนี้เป็นลูกตำรวจหรือเปล่า ต้องย้อนกลับไปที่คำถามเดิม”

ข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจ จะเป็นจำเลยของสังคม คนทั่วไปจะดูตำรวจแล้วไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะ 1. ตำรวจมีอำนาจในการให้คุณให้โทษกับประชาชนได้ คือ สืบสวน ตรวจค้น จับกุม ซึ่งใกล้ชิดกับประชาชน ตั้งแต่อดีตคนทั่วไปก็ทราบ ว่าประชาชนไม่ค่อยเชื่อมั่นตำรวจ หากเป็นคนรวย ลูกหลานตำรวจ ประชาชนจะมองว่าต้องมีการช่วยเหลือ...!?!

สมาคมคนพิการ เผย ถูกคนครบ 32 ทำร้ายปีละ 100-200 คน

ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามไปยังตัวแทนผู้พิการเกี่ยวกับเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้น ซึ่งเพียงประโยคแรก ของ นายศุภชีพ ดิษเทศ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ที่กล่าวกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ก็ควรจะทำให้ คนที่อวัยวะครบ 32 ต้องละอายแก่ใจแล้วว่า...

"ในโลกนี้ คนที่อ่อนแอที่สุด ก็คือ คนพิการ...แล้วเหตุใด? ต้องทำกันถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ พวกเราคนพิการ ก็ไม่มีทางต่อสู้คนปกติได้อยู่แล้ว ทำไมต้องลงไม้ลงมือถึงขั้นต้องฆ่าต้องแกงกันเลย มันโหดร้ายเกินไป และผู้ที่กระทำ ถือว่าไม่ละอายใจต่อบาป"



ด้านการช่วยเหลือนั้น ขณะนี้ ทางสมาคม ได้ประสานงานไปยัง กลุ่มส่งเสริมความเสมอภาคและงานคดี ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อให้คำปรึกษาในทางคดี แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตในเบื้องต้นแล้ว ขณะเดียวกัน จะได้ประสานไปยัง สภาทนายความ และสำนักงานอัยการ เพื่อให้ผู้ตายได้รับความยุติธรรมให้ได้ เพราะแม้ผู้ตายไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคม แต่ตามกฎหมาย สมาคมมีหน้าที่ ดูแลสิทธิและคุ้มครองสิทธิผู้พิการให้กับผู้พิการในประเทศไทยทุกคน

นอกจากนี้ ส่วนตัวยังขอมองโลกในแง่ดีว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำให้คดีนี้มีความโปร่งใสได้ เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็เห็นแล้วว่า มีการขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา

ที่ผ่านมา มีรายงานเข้ามาที่สมาคมตลอด ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว โดยในแต่ละปี เท่าที่มีรายงาน พบว่า จะมีผู้พิการทั่วประเทศ ถูกทำร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บ มากถึง 100-200 คนต่อปี! และผู้ที่ลงมือกับผู้พิการส่วนใหญ่ เป็นวัยรุ่นที่อยู่ในวัยคึกคะนองเสียด้วย


ทนาย ตั้งคำถาม แค่แซวกัน ถึงขั้นรุมฆ่าคนพิการถึงตาย เลยหรือ...?

ด้าน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เปิดเผย กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ ถึงเหตุสลด กลุ่มชายฉกรรจ์ มือเท้ายังดี ถึง 6 คน แถมมีอาวุธครบมือ รุมล้อมทำร้าย ชายพิการขาแขนลีบ เพียงคนเดียว กลางวันแสกๆ โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง จนมีการแชร์คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สนั่นโลกออนไลน์ ว่า ต้นตอของความขัดแย้งระหว่างผู้ตาย และกลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ น่าจะเกิดจากการมีการแซวกันอย่างคะนองปาก เรื่องร้านขนมปังที่ผู้ตายทำงานอยู่

แต่…ทนายความชื่อดังทอดน้ำเสียงด้วยความทอดถอนใจ ก่อนกล่าวต่อไปว่า...สาเหตุเพียงแค่นี้ ต้องถึงกับลงมือพาพวกมารุมทำร้ายกันจนถึงตาย ต่อหน้าต่อตาชาวบ้านชาวช่อง แถมยังเป็นกลางวันแสกๆ เลยหรือ?...จะมีใครที่ไหน ไม่พอใจกันเพราะมีการแซวกัน แล้วไปลงมือรุมทำร้ายกันจนถึงตาย ได้หรือ?... ทนายชื่อดังขอตั้งปุจฉากับสังคม...ก่อนเล่าให้ฟังต่อไปว่า

ตั้งข้อสังเกต ตำรวจระงับเหตุล่าช้า แถมปล่อยตัวผู้ต้องหา ทั้งที่เห็นชัดๆ กระทำผิดซึ่งหน้า

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กินระยะเวลาในการเข้ารุมใช้อาวุธไล่ฟัน จนมีผู้สังเวยชีวิตให้กับความบ้าระห่ำของคนกลุ่มหนึ่ง ถึงประมาณ 20 นาที แถมก่อนหน้านี้ ได้มีความพยายามโทรศัพท์ ให้ตำรวจมาช่วยระงับเหตุ ตั้งแต่แรกเริ่มที่มีปากเสียงกัน เกือบ 1 ชั่วโมงแล้ว แต่กว่าที่เจ้าหน้าที่จะเดินทางเข้ามาระงับเหตุได้ ผู้ตายก็โดนทั้งหินและดาบ ของเหล่าผู้ต้องหารุมทำร้ายอย่างป่าเถื่อน จนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในที่สุด"

ที่มา
http://www.thairath.co.th/content/615427
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่