โลกนี้ช่างไม่มีอะไรที่แน่นอน บางครั้งดูแล้วมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ดังเช่นคนรวยที่อยากมีลูกใจจะขาดทำอะไรก็แล้วไม่ว่าจะเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ยอมหมดเงินเป็นหลักแสน หลักล้านเพื่อให้ได้ลูกมาก็ไม่สัมฤทธิ์ผลหรืออาจจะติดทำให้ดีใจอยู่ชั่วขณะสุดท้ายก็หลุดออกมาอย่างที่เราเห็นข่าวในทีวีบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือมหาเศรษฐี บางท่านเมื่อหมดหนทางก็ต้องไปพึ่งพาทางไสยศาสตร์ก็แล้วแต่บุญมาวาสนาส่ง แต่บางคนจนแสนจนแทบไม่มีอันจะกินกลับมีลูกออกมาหลายคน บางครอบครัวแทบจะตั้งเป็นทีมฟุตบอลได้โดยที่เลี้ยงกันแบบตามมีตามเกิด ผมเห็นนางบูหมื่อที่หน้าโรงเรียนอายุเกือบ 45 ปียังมีลูกน้อยห้อยตามเป็นสมาชิกคนที่ 6 ในครอบครัวก็แปลกดีที่ตัวเล็กเกิดมาปกติร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งที่ถ้าหลักการแพทย์ผู้หญิงอายุเกิน 35 ปี หมอให้พิจารณาเรื่องการมีบุตรหรือถ้าจะมีก็ต้องได้รับการตรวจและดูแลอย่างละเอียด
ด.ช.สมชายเป็นเด็กนักเรียนระดับชั้น ป.4 ของโรงเรียนในระบบแห่งหนึ่งแต่เขาก็จะเดินทางไปกลับจากบ้านไปโรงเรียนวันละ 3 กิโลเมตร สมชายออกจากการดูแลของครู กศน.ของหมู่บ้านห้วยขาแหย่ง ตั้งแต่ระดับชั้น ป.1 ด้วยความรักและผูกพันธุ์กับครูวันเพ็ญ ครู กศน.ผู้หญิงที่เข้าใจสมชายมากที่สุดและเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของเขาด้วย เมื่อจบชั้น ป.6 สมชายก็เรียนต่อในระดับชั้น ม.1 เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มมีปัญหา มักหนีเรียนเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงเช้าที่เข้าแถวหน้าเสาธงสมชายและเพื่อนสนิทจะพากันไปหลบที่กอไผ่ข้างโรงเรียน เมื่อครูฝ่ายปกครองมาเจอก็จะเป็นปัญหา จนกระทั่งต้องให้ผู้ปกครองมาพบปะกล่าวตักเตือนบ่อย ๆ นายอาหนุ่งซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของสมชายก็มักจะแสดงความไม่พอใจอยู่เสมอและมักจะมีปากเสียงทะเลาะกับนางบูยาแม่ของสมชายกันอยู่ประจำด้วยคิดว่านางบูยาเข้าข้างลูกชาย
“กูละอายจริง ๆ ที่มีลูกแบบ” นายอาหนุ่งตวาดใส่หน้าสมชายซึ่งยืนทำหน้าตาเฉย ให้พ่อเลี้ยงเพราะชาชินกับคำพวกนี้
“โธ่...พ่อก็ สมชายเขายังเป็นเด็ก” นางบูยาตอบกลับด้วยปกป้องลูก
“เด็กอะไร ทำแต่เรื่องเดือดร้อน วัน ๆ ให้เรียนก็หนีเรียน”
“ก้อ.......” ยังไม่ทันได้พูดอะไร นายอาหนุ่งก็ชิงพูดก่อน
“หยุดเลยนะ หยุดเลยชั้นรู้ว่าแกจะพูดว่ายังไง เข้าข้างกันดีนักต่อไปถ้าครูเรียกไปพบอีก กูไม่ไป ไปคนเดียวนะ กูไปจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนละ”
“ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ก็เอาไว้บนบ่าสิ ใครจะว่าไรให้” สมชายย้อน พร้อมกับยักไหล่แบบกวน ๆ โดยไม่สนใจอาหนุ่ง
“หนอย...ไอ้เด็กเวร พูดแล้วมายอกย้อนกูเหรอ วันนี้กูจะเฆี่ยนให้ก้นลายให้เข็ดหลาบ” พร้อมกับวิ่งไปหักกิ่งไม้
“สมชาย หนีไปก่อน ไปไป”
“ไม่ ไม่หนี ให้มันตีให้ตายไปเลย”
นายอาหนุ่งปรี่เข้ามาหมายจะเอากิ่งไม้ฟาดสมชายแต่นางบูยาเข้ามาขวาง และร้องไห้พร้อมกับแย่งกิ่งไม้ในมืออาหนุ่ง ปากก็ตะโกนให้สมชายหนีไป แต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย นายอาหนุ่งผลักนางบูยาล้มลง จังหวะนั้นเองก็ใช้กิ่งไม้ฟาดไปที่ก้นของสมชายไปหลายที นางบูยาเห็นเช่นนั้นก็วิ่งมาผลักนายอาหนุ่งสุดแรงเกิดจนเขาเซถลาเพิ่มความโกรธแค้นให้กับอาหนุ่ง นางบูยาก็โผเข้ากอดสมชายทั้งสองแม่ลูกกอดกันร้องไห้เป็นที่น่าสังเวชใจกับเพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ นายอาหนุ่งเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ที่โมโหสุด ๆ พร้อมกับเงื้อมือที่มีกิ่งไม้หวังจะฟาดทั้งสองแม่ลูก ทันใดนั้น
“หยุดก่อน พี่อาหนุ่งมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันได้ไหม ครูขอ” ครูวันเพ็ญนั่นเอง เสียงของเธอทำให้นายอาหนุ่งหยุดและเรียกสติคืนมาได้ ในขณะที่สองแม่ลูกยังคงกอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา
“จำใส่กะโหลก ไว้นะ อย่ามาอวดดีใส่กู วันนี้ถ้าครูไม่ห้ามนะ เจ็บตัวยิ่งกว่านี้แน่” นายอาหนุ่งพูดด้วยความโกรธแค้น
“ไป สมชาย ไปโรงเรียนกับครู วันนี้ไปกินข้าวเย็นที่โรงเรียนและนอนซะที่นั่นเลย”
“ฝากมันด้วยนะคะครู” นางบูยาเอามือปาดเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับเดินคอตกตามนายอาหนุ่งกลับไปบ้าน
“เกลียดมัน!!!” สมชายพูดออกมาด้วยความคับแค้นใจ
“เอาน่าสมชาย ยังไงเขาก็มีพระคุณกับสมชายและแม่เพราะเขาก็เลี้ยงดูมาตั้งแบเบาะเลยไม่ใช่หรือ” ครูวันเพ็ญพูดปลอบใจพร้อมกับเดินจูงมือสมชายกลับไปที่โรงเรียน
หลังจากอาบน้ำ ทานข้าวเย็นเสร็จครูวันเพ็ญจึงได้มีโอกาสได้พูดคุยกับสมชายซึ่งตอนนี้อารมณ์ของสมชายก็ดีขึ้นมากอาจเป็นเพราะได้พูดคุยกับครูที่รู้ใจและเข้าใจเขา ครูวันเพ็ญปูที่นอนให้สมชายก่อนนอนทั้งสองมีเรื่องคุยกันใต้แสงไฟของค่ำคืนนั้น
“ทำไมเธอต้องหลบเข้าแถวทุกเช้าเลยล่ะ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันผิดกฎระเบียบของโรงเรียน”
“ยัยหมี่ชูมาฟ้องครูอีกละสิ ก็หนู...”
“เป็นผู้ชายต้องแทนตัวเองว่าผม”
“เอ่อ... ผมไม่อยากไว้ผมสั้น ผมอยากไว้ผมยาว เวลาครูตรวจที่หน้าเสาธง ครูก็จะตัด ครูวันเพ็ญก็รู้ว่าผมเป็นอะไร พ่อเลี้ยงก็เกลียดผมเอะอะอะไรก็เอาแต่ด่าว่าหนูเป็นกะเทย เมื่อไหร่ก็ด่า ว่าอายคนอื่น แม่ก็มาบอกให้หนูกลับไปเป็นผู้ชาย ครูก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ก็หนูเป็นของหนูอย่างนี้แล้วจะให้หนูทำยังไง” สมชายเริ่มน้ำตาปริ่ม
จริงสิ ครูวันเพ็ญเพิ่งนึกขึ้นได้ ทุกวันเวลาสมชายไปโรงเรียนจะต้องใส่เสื้อแขนยาวสีดำที่มีหมวกติดไว้และคลุมที่หัวอยู่เสมอ วันนี้สมชายเปิดใบหน้า ผมรองทรงและมีปอยไว้ยาวตรงหน้าผากแบบหน้าม้าคงเอาไว้เวลาสวมหมวกปิดจะได้แลดูเป็นเด็กผู้หญิงซึ่งความจริงสมชายต้องตัดผมทรงนักเรียนชาย สมชายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มเป็นตัวของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง ครูวันเพ็ญจำคำพูดของหมี่ชูได้เสมอ
“นังสมชายมันอยากเป็นผู้หญิงค่ะครู ที่มันไม่ไปเข้าแถวมันก็มาหลบกับกลุ่มเพื่อนที่กระตุ้งกระติ้งเหมือนมัน กลัวครูตัดผมค่ะครู”
ในขณะที่ครูวันเพ็ญหยุดสนทนาและประมวลความคิดรวบยอด ประติดประต่อเรื่องราวของสมชายทุกอย่างทำให้ครูวันเพ็ญเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
“ครู...หนูขอ” ครูวันเพ็ญรู้สึกตัวเมื่อสมชายได้หยิบลิปสติกสีชมพูอ่อนของครูวันเพ็ญที่โต๊ะเครื่องแป้งจ้องมองด้วยแววตาเป็นประกาย ครูวันเพ็ญพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า
“เธอจงเลือกในสิ่งที่เธอรักสิ่งที่เธออยากเป็น และทำมันให้ดีที่สุด”
ใบหน้าของสมชายยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและโผเข้ากอดครูวันเพ็ญ
ค่ำคืนนั้นมีแต่ครูวันเพ็ญและสมชายเท่านั้นที่รู้สึกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน หลังจากนั้นอีกไม่นานสมชายก็ได้ลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่สามารถทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนได้ สมชายจึงตัดสินใจมาเรียน กศน.โดยมีครูที่รู้ใจอย่างครูวันเพ็ญเป็นที่ปรึกษา หลังจากจบ ม.ต้น สมชายมาบอกกับครูวันเพ็ญว่าจะลงไปทำงานที่ในเมือง
“ครูคะ หนูมาลาครูไปทำงานที่ในเมือง” สมชายไม่อายที่จะพูด คะขากับครูวันเพ็ญ
“เอ้า...ก็ไหนว่าเธอจะลงเรียนต่อ ม.ปลาย”
“หนู จะหยุดเรียนซักปี ไปหาประสบการณ์ข้างนอกถ้าหนูพร้อมหนูจะกลับมาเรียนใหม่คะครู ยังไงหนูก็ไม่มีวันลืมครูหรอกค่ะ”
“แล้วนี่เธอจะไปทำงานอะไร อย่าบอกว่าจะไปยกกระสอบข้าวนะ”
“โอ้ย ครูขา สวยเริ่ดอย่างหนูเหรอคะจะไปแบกกระสอบ หนูจะไปชกมวยเหมือนพี่ตุ้มค๊า” สมชายพูดแล้วหัวเราะออกไม้ออกมือ
“เอ้า ๆๆ พูดเล่นอยู่นั่นแหละ เลยไม่รู้ว่าตกลงเธอจะไปทำอะไร”
“ก็หนูจะไปทำตามความฝันของหนูไงคะครู ครูเคยบอกหนูว่าจงทำสิ่งที่รักและทำให้ดี ก็นี่แหละหนูจะไปอยู่ร้านเสริมสวยจะไปฝึกเป็นช่างเสริมสวย กับเพื่อนหนูนังพิงกี้ที่แต่ก่อนมาบ้านหนูบ่อย ๆ ไงครูจำได้ไหม”
“พิงกี้ พิงกี้ไหนล่ะ”
“อ้าวครูนี่ก็...ไอ้ดุสิตไง เดี๋ยวนี้มันเป็นสาวแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อพิงกี้ไปเรียบร้อยแล้ว ๆ ต่อไปครูไม่ต้องมาเรียกหนูว่าสมชายอีกแล้วนะ บอกตรง ๆ หนูอายค่ะ”
“แล้วจะให้ครูเรียกเธอว่าว่ายังไง” ครูวันเพ็ญเอามือเกาหัวและอมยิ้ม
“เรียกหนูว่า เชอร์รี่นะคะครูขา”
“อ้อ...เชอร์รี่คนสวย” ครูวันเพ็ญหัวเราะจากนั้นสมชายหรือเชอร์รี่ก็ลาครูไปตามล่าหาฝัน
1 ปีผ่านไปที่ครูวันเพ็ญไม่ได้เห็นหน้าลูกศิษย์ที่ชื่อสมชายแต่ก็มีการโทรศัพท์หากันตลอด สมชายบอกว่างานฤดูหนาวปีนี้ที่จะจัดขึ้นจะมีการประกวดนางฟ้าจำแลง สมชายก็จะมาและจะเป็นหนึ่งในสาวงามที่เข้าประกวด ขณะที่ครูวันเพ็ญกำลังกวาดทำความสะอาดโรงเรียน นางบูยาแม่ของสมชายก็แวะเข้ามาทักทาย
“เป็นไงครู คิดถึงสมชายมั้ยคะ”
“อ้อ...บูยา คิดถึงสิ ตั้งแต่สมชายไม่อยู่ก็รู้สึกเหงา ๆ ไม่ค่อยได้หัวเราะเต็มที่น่ะ”
“สมชายมันรักครูมากนะ มันบอกว่าไม่มีใครเข้าใจมันเท่าคุณครู เฮ้อ คิดแล้วก็ยังกลุ้มมีลูกชายแต่กลับได้ลูกสาว”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย บูยาสมัยนี้สังคมเขาเปิดกว้างขอให้เขาเป็นคนดีก็พอ”
“อืม...ก็จริงของครูนะ ขอให้เขาเป็นคนดีเลี้ยงตัวเองได้ อีกไม่นานสมชายก็จะกลับมาบ้านนะ”
“ค่ะ..โทรมาบอกแล้ว เออ...สมชายเคยเล่าให้ครูฟังว่ามีน้องชายชื่อชาติชายอีกคนไม่ใช่เหรอแล้วเดี๋ยวนี้ไปอยู่ไหน”
นางบูยาถึงกับสะอึกกับคำถามของครูวันเพ็ญแต่ด้วยที่เห็นน้ำใจของครูวันเพ็ญที่เคยช่วยเหลือลูกชายมาตลอด นางบูยาจึงได้เล่าให้ครูวันเพ็ญฟังว่า “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตอนที่คลอดสมชายออกมาทีแรกก็นึกว่ามีสมชายคนเดียวที่ไหนได้ยังมีน้องของสมชายอีกคน ที่อยู่ในท้องพอคลอดออกมาจึงให้ชื่อว่าชาติชาย จากนั้นไม่นานพ่อแท้ ๆ ของสมชายและขาติชายก็ประสบอุบัติเหตุตอนที่ไปทำงานรับจ้างในเมืองโดนรถชนขณะที่ออกไปซื้อกับข้าว ด้วยความที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวแถมเป็นลูกแฝดต้องเหนื่อยเป็นทวีคูณ อีกทั้งยังมาขาดเสาหลักและฐานะก็ยากจน ตอนนั้นมีคนจีนสามี ภรรยาคู่หนึ่งที่เขาไม่มีลูกเขามาเที่ยวในหมู่บ้าน มาเห็นสภาพครอบครัว เขารู้สึกสงสารเราจึงได้ขอลูกอีกคนซึ่งในขณะนั้นอายุยังไม่ถึงขวบก็คือชาติชายไปอุปการะเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม เราก็เลยตกลงเพราะคิดว่าเขาคงเอาลูกเราไปเลี้ยงดูอย่างดี ดีกว่าเราต่อมาเราก็ได้มาเจอกับอาหนุ่งก็เลยตัดสินใจแต่งงานใหม่ขณะที่สมชายอายุได้เพียง 5 ขวบ จริง ๆ แล้วอาหนุ่งก็รักสมชายนะแต่ว่าเขาไม่ชอบที่สมชายเป็นอย่างนี้เขาบอกเขาอายคนอื่น” นางบูยาเล่าไปด้วยใบหน้าที่แสนเศร้า
“แล้วตอนนี้ บูยาได้เจอชาติชายบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคยได้เจอเลย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็สมัยก่อนมันไม่มีโทรศัพท์เหมือนสมัยนี้นี่นะครู”
“ก็หวังว่าชาติชายเขาคงไปได้ดีแล้วล่ะนะ” (โปรดติดตามตอนต่อไป)
เรื่องเล่าจากโรงเรียนหลังเขาตอน "แฝดที่หายไป"
โลกนี้ช่างไม่มีอะไรที่แน่นอน บางครั้งดูแล้วมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ดังเช่นคนรวยที่อยากมีลูกใจจะขาดทำอะไรก็แล้วไม่ว่าจะเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ยอมหมดเงินเป็นหลักแสน หลักล้านเพื่อให้ได้ลูกมาก็ไม่สัมฤทธิ์ผลหรืออาจจะติดทำให้ดีใจอยู่ชั่วขณะสุดท้ายก็หลุดออกมาอย่างที่เราเห็นข่าวในทีวีบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือมหาเศรษฐี บางท่านเมื่อหมดหนทางก็ต้องไปพึ่งพาทางไสยศาสตร์ก็แล้วแต่บุญมาวาสนาส่ง แต่บางคนจนแสนจนแทบไม่มีอันจะกินกลับมีลูกออกมาหลายคน บางครอบครัวแทบจะตั้งเป็นทีมฟุตบอลได้โดยที่เลี้ยงกันแบบตามมีตามเกิด ผมเห็นนางบูหมื่อที่หน้าโรงเรียนอายุเกือบ 45 ปียังมีลูกน้อยห้อยตามเป็นสมาชิกคนที่ 6 ในครอบครัวก็แปลกดีที่ตัวเล็กเกิดมาปกติร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งที่ถ้าหลักการแพทย์ผู้หญิงอายุเกิน 35 ปี หมอให้พิจารณาเรื่องการมีบุตรหรือถ้าจะมีก็ต้องได้รับการตรวจและดูแลอย่างละเอียด
ด.ช.สมชายเป็นเด็กนักเรียนระดับชั้น ป.4 ของโรงเรียนในระบบแห่งหนึ่งแต่เขาก็จะเดินทางไปกลับจากบ้านไปโรงเรียนวันละ 3 กิโลเมตร สมชายออกจากการดูแลของครู กศน.ของหมู่บ้านห้วยขาแหย่ง ตั้งแต่ระดับชั้น ป.1 ด้วยความรักและผูกพันธุ์กับครูวันเพ็ญ ครู กศน.ผู้หญิงที่เข้าใจสมชายมากที่สุดและเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของเขาด้วย เมื่อจบชั้น ป.6 สมชายก็เรียนต่อในระดับชั้น ม.1 เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มมีปัญหา มักหนีเรียนเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงเช้าที่เข้าแถวหน้าเสาธงสมชายและเพื่อนสนิทจะพากันไปหลบที่กอไผ่ข้างโรงเรียน เมื่อครูฝ่ายปกครองมาเจอก็จะเป็นปัญหา จนกระทั่งต้องให้ผู้ปกครองมาพบปะกล่าวตักเตือนบ่อย ๆ นายอาหนุ่งซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของสมชายก็มักจะแสดงความไม่พอใจอยู่เสมอและมักจะมีปากเสียงทะเลาะกับนางบูยาแม่ของสมชายกันอยู่ประจำด้วยคิดว่านางบูยาเข้าข้างลูกชาย
“กูละอายจริง ๆ ที่มีลูกแบบ” นายอาหนุ่งตวาดใส่หน้าสมชายซึ่งยืนทำหน้าตาเฉย ให้พ่อเลี้ยงเพราะชาชินกับคำพวกนี้
“โธ่...พ่อก็ สมชายเขายังเป็นเด็ก” นางบูยาตอบกลับด้วยปกป้องลูก
“เด็กอะไร ทำแต่เรื่องเดือดร้อน วัน ๆ ให้เรียนก็หนีเรียน”
“ก้อ.......” ยังไม่ทันได้พูดอะไร นายอาหนุ่งก็ชิงพูดก่อน
“หยุดเลยนะ หยุดเลยชั้นรู้ว่าแกจะพูดว่ายังไง เข้าข้างกันดีนักต่อไปถ้าครูเรียกไปพบอีก กูไม่ไป ไปคนเดียวนะ กูไปจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนละ”
“ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ก็เอาไว้บนบ่าสิ ใครจะว่าไรให้” สมชายย้อน พร้อมกับยักไหล่แบบกวน ๆ โดยไม่สนใจอาหนุ่ง
“หนอย...ไอ้เด็กเวร พูดแล้วมายอกย้อนกูเหรอ วันนี้กูจะเฆี่ยนให้ก้นลายให้เข็ดหลาบ” พร้อมกับวิ่งไปหักกิ่งไม้
“สมชาย หนีไปก่อน ไปไป”
“ไม่ ไม่หนี ให้มันตีให้ตายไปเลย”
นายอาหนุ่งปรี่เข้ามาหมายจะเอากิ่งไม้ฟาดสมชายแต่นางบูยาเข้ามาขวาง และร้องไห้พร้อมกับแย่งกิ่งไม้ในมืออาหนุ่ง ปากก็ตะโกนให้สมชายหนีไป แต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย นายอาหนุ่งผลักนางบูยาล้มลง จังหวะนั้นเองก็ใช้กิ่งไม้ฟาดไปที่ก้นของสมชายไปหลายที นางบูยาเห็นเช่นนั้นก็วิ่งมาผลักนายอาหนุ่งสุดแรงเกิดจนเขาเซถลาเพิ่มความโกรธแค้นให้กับอาหนุ่ง นางบูยาก็โผเข้ากอดสมชายทั้งสองแม่ลูกกอดกันร้องไห้เป็นที่น่าสังเวชใจกับเพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ นายอาหนุ่งเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ที่โมโหสุด ๆ พร้อมกับเงื้อมือที่มีกิ่งไม้หวังจะฟาดทั้งสองแม่ลูก ทันใดนั้น
“หยุดก่อน พี่อาหนุ่งมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันได้ไหม ครูขอ” ครูวันเพ็ญนั่นเอง เสียงของเธอทำให้นายอาหนุ่งหยุดและเรียกสติคืนมาได้ ในขณะที่สองแม่ลูกยังคงกอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา
“จำใส่กะโหลก ไว้นะ อย่ามาอวดดีใส่กู วันนี้ถ้าครูไม่ห้ามนะ เจ็บตัวยิ่งกว่านี้แน่” นายอาหนุ่งพูดด้วยความโกรธแค้น
“ไป สมชาย ไปโรงเรียนกับครู วันนี้ไปกินข้าวเย็นที่โรงเรียนและนอนซะที่นั่นเลย”
“ฝากมันด้วยนะคะครู” นางบูยาเอามือปาดเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับเดินคอตกตามนายอาหนุ่งกลับไปบ้าน
“เกลียดมัน!!!” สมชายพูดออกมาด้วยความคับแค้นใจ
“เอาน่าสมชาย ยังไงเขาก็มีพระคุณกับสมชายและแม่เพราะเขาก็เลี้ยงดูมาตั้งแบเบาะเลยไม่ใช่หรือ” ครูวันเพ็ญพูดปลอบใจพร้อมกับเดินจูงมือสมชายกลับไปที่โรงเรียน
หลังจากอาบน้ำ ทานข้าวเย็นเสร็จครูวันเพ็ญจึงได้มีโอกาสได้พูดคุยกับสมชายซึ่งตอนนี้อารมณ์ของสมชายก็ดีขึ้นมากอาจเป็นเพราะได้พูดคุยกับครูที่รู้ใจและเข้าใจเขา ครูวันเพ็ญปูที่นอนให้สมชายก่อนนอนทั้งสองมีเรื่องคุยกันใต้แสงไฟของค่ำคืนนั้น
“ทำไมเธอต้องหลบเข้าแถวทุกเช้าเลยล่ะ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันผิดกฎระเบียบของโรงเรียน”
“ยัยหมี่ชูมาฟ้องครูอีกละสิ ก็หนู...”
“เป็นผู้ชายต้องแทนตัวเองว่าผม”
“เอ่อ... ผมไม่อยากไว้ผมสั้น ผมอยากไว้ผมยาว เวลาครูตรวจที่หน้าเสาธง ครูก็จะตัด ครูวันเพ็ญก็รู้ว่าผมเป็นอะไร พ่อเลี้ยงก็เกลียดผมเอะอะอะไรก็เอาแต่ด่าว่าหนูเป็นกะเทย เมื่อไหร่ก็ด่า ว่าอายคนอื่น แม่ก็มาบอกให้หนูกลับไปเป็นผู้ชาย ครูก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ก็หนูเป็นของหนูอย่างนี้แล้วจะให้หนูทำยังไง” สมชายเริ่มน้ำตาปริ่ม
จริงสิ ครูวันเพ็ญเพิ่งนึกขึ้นได้ ทุกวันเวลาสมชายไปโรงเรียนจะต้องใส่เสื้อแขนยาวสีดำที่มีหมวกติดไว้และคลุมที่หัวอยู่เสมอ วันนี้สมชายเปิดใบหน้า ผมรองทรงและมีปอยไว้ยาวตรงหน้าผากแบบหน้าม้าคงเอาไว้เวลาสวมหมวกปิดจะได้แลดูเป็นเด็กผู้หญิงซึ่งความจริงสมชายต้องตัดผมทรงนักเรียนชาย สมชายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มเป็นตัวของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง ครูวันเพ็ญจำคำพูดของหมี่ชูได้เสมอ
“นังสมชายมันอยากเป็นผู้หญิงค่ะครู ที่มันไม่ไปเข้าแถวมันก็มาหลบกับกลุ่มเพื่อนที่กระตุ้งกระติ้งเหมือนมัน กลัวครูตัดผมค่ะครู”
ในขณะที่ครูวันเพ็ญหยุดสนทนาและประมวลความคิดรวบยอด ประติดประต่อเรื่องราวของสมชายทุกอย่างทำให้ครูวันเพ็ญเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
“ครู...หนูขอ” ครูวันเพ็ญรู้สึกตัวเมื่อสมชายได้หยิบลิปสติกสีชมพูอ่อนของครูวันเพ็ญที่โต๊ะเครื่องแป้งจ้องมองด้วยแววตาเป็นประกาย ครูวันเพ็ญพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า
“เธอจงเลือกในสิ่งที่เธอรักสิ่งที่เธออยากเป็น และทำมันให้ดีที่สุด”
ใบหน้าของสมชายยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและโผเข้ากอดครูวันเพ็ญ
ค่ำคืนนั้นมีแต่ครูวันเพ็ญและสมชายเท่านั้นที่รู้สึกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน หลังจากนั้นอีกไม่นานสมชายก็ได้ลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่สามารถทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนได้ สมชายจึงตัดสินใจมาเรียน กศน.โดยมีครูที่รู้ใจอย่างครูวันเพ็ญเป็นที่ปรึกษา หลังจากจบ ม.ต้น สมชายมาบอกกับครูวันเพ็ญว่าจะลงไปทำงานที่ในเมือง
“ครูคะ หนูมาลาครูไปทำงานที่ในเมือง” สมชายไม่อายที่จะพูด คะขากับครูวันเพ็ญ
“เอ้า...ก็ไหนว่าเธอจะลงเรียนต่อ ม.ปลาย”
“หนู จะหยุดเรียนซักปี ไปหาประสบการณ์ข้างนอกถ้าหนูพร้อมหนูจะกลับมาเรียนใหม่คะครู ยังไงหนูก็ไม่มีวันลืมครูหรอกค่ะ”
“แล้วนี่เธอจะไปทำงานอะไร อย่าบอกว่าจะไปยกกระสอบข้าวนะ”
“โอ้ย ครูขา สวยเริ่ดอย่างหนูเหรอคะจะไปแบกกระสอบ หนูจะไปชกมวยเหมือนพี่ตุ้มค๊า” สมชายพูดแล้วหัวเราะออกไม้ออกมือ
“เอ้า ๆๆ พูดเล่นอยู่นั่นแหละ เลยไม่รู้ว่าตกลงเธอจะไปทำอะไร”
“ก็หนูจะไปทำตามความฝันของหนูไงคะครู ครูเคยบอกหนูว่าจงทำสิ่งที่รักและทำให้ดี ก็นี่แหละหนูจะไปอยู่ร้านเสริมสวยจะไปฝึกเป็นช่างเสริมสวย กับเพื่อนหนูนังพิงกี้ที่แต่ก่อนมาบ้านหนูบ่อย ๆ ไงครูจำได้ไหม”
“พิงกี้ พิงกี้ไหนล่ะ”
“อ้าวครูนี่ก็...ไอ้ดุสิตไง เดี๋ยวนี้มันเป็นสาวแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อพิงกี้ไปเรียบร้อยแล้ว ๆ ต่อไปครูไม่ต้องมาเรียกหนูว่าสมชายอีกแล้วนะ บอกตรง ๆ หนูอายค่ะ”
“แล้วจะให้ครูเรียกเธอว่าว่ายังไง” ครูวันเพ็ญเอามือเกาหัวและอมยิ้ม
“เรียกหนูว่า เชอร์รี่นะคะครูขา”
“อ้อ...เชอร์รี่คนสวย” ครูวันเพ็ญหัวเราะจากนั้นสมชายหรือเชอร์รี่ก็ลาครูไปตามล่าหาฝัน
1 ปีผ่านไปที่ครูวันเพ็ญไม่ได้เห็นหน้าลูกศิษย์ที่ชื่อสมชายแต่ก็มีการโทรศัพท์หากันตลอด สมชายบอกว่างานฤดูหนาวปีนี้ที่จะจัดขึ้นจะมีการประกวดนางฟ้าจำแลง สมชายก็จะมาและจะเป็นหนึ่งในสาวงามที่เข้าประกวด ขณะที่ครูวันเพ็ญกำลังกวาดทำความสะอาดโรงเรียน นางบูยาแม่ของสมชายก็แวะเข้ามาทักทาย
“เป็นไงครู คิดถึงสมชายมั้ยคะ”
“อ้อ...บูยา คิดถึงสิ ตั้งแต่สมชายไม่อยู่ก็รู้สึกเหงา ๆ ไม่ค่อยได้หัวเราะเต็มที่น่ะ”
“สมชายมันรักครูมากนะ มันบอกว่าไม่มีใครเข้าใจมันเท่าคุณครู เฮ้อ คิดแล้วก็ยังกลุ้มมีลูกชายแต่กลับได้ลูกสาว”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย บูยาสมัยนี้สังคมเขาเปิดกว้างขอให้เขาเป็นคนดีก็พอ”
“อืม...ก็จริงของครูนะ ขอให้เขาเป็นคนดีเลี้ยงตัวเองได้ อีกไม่นานสมชายก็จะกลับมาบ้านนะ”
“ค่ะ..โทรมาบอกแล้ว เออ...สมชายเคยเล่าให้ครูฟังว่ามีน้องชายชื่อชาติชายอีกคนไม่ใช่เหรอแล้วเดี๋ยวนี้ไปอยู่ไหน”
นางบูยาถึงกับสะอึกกับคำถามของครูวันเพ็ญแต่ด้วยที่เห็นน้ำใจของครูวันเพ็ญที่เคยช่วยเหลือลูกชายมาตลอด นางบูยาจึงได้เล่าให้ครูวันเพ็ญฟังว่า “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตอนที่คลอดสมชายออกมาทีแรกก็นึกว่ามีสมชายคนเดียวที่ไหนได้ยังมีน้องของสมชายอีกคน ที่อยู่ในท้องพอคลอดออกมาจึงให้ชื่อว่าชาติชาย จากนั้นไม่นานพ่อแท้ ๆ ของสมชายและขาติชายก็ประสบอุบัติเหตุตอนที่ไปทำงานรับจ้างในเมืองโดนรถชนขณะที่ออกไปซื้อกับข้าว ด้วยความที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวแถมเป็นลูกแฝดต้องเหนื่อยเป็นทวีคูณ อีกทั้งยังมาขาดเสาหลักและฐานะก็ยากจน ตอนนั้นมีคนจีนสามี ภรรยาคู่หนึ่งที่เขาไม่มีลูกเขามาเที่ยวในหมู่บ้าน มาเห็นสภาพครอบครัว เขารู้สึกสงสารเราจึงได้ขอลูกอีกคนซึ่งในขณะนั้นอายุยังไม่ถึงขวบก็คือชาติชายไปอุปการะเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม เราก็เลยตกลงเพราะคิดว่าเขาคงเอาลูกเราไปเลี้ยงดูอย่างดี ดีกว่าเราต่อมาเราก็ได้มาเจอกับอาหนุ่งก็เลยตัดสินใจแต่งงานใหม่ขณะที่สมชายอายุได้เพียง 5 ขวบ จริง ๆ แล้วอาหนุ่งก็รักสมชายนะแต่ว่าเขาไม่ชอบที่สมชายเป็นอย่างนี้เขาบอกเขาอายคนอื่น” นางบูยาเล่าไปด้วยใบหน้าที่แสนเศร้า
“แล้วตอนนี้ บูยาได้เจอชาติชายบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคยได้เจอเลย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็สมัยก่อนมันไม่มีโทรศัพท์เหมือนสมัยนี้นี่นะครู”
“ก็หวังว่าชาติชายเขาคงไปได้ดีแล้วล่ะนะ” (โปรดติดตามตอนต่อไป)