“ “นครวัต!” สุรเสียงพิษณุหริยินดีเป็นล้นพ้นประมาณ เฝ้าทบทวนถ้อยนั้น
วต...สถานที่บำเพ็ญภาวนา ถ้อยนี้เหมาะสมยิ่งกว่าคำใด
เทวสถานที่เราจักสร้างใหม่ คือ นครวัต!
เราจักสรรค์สร้างให้อลังการยิ่งกว่าทุกปราสาท ใช้เวลามากเท่าชีวิตเราย่อมได้ นาครวัดต้องพิไลเพริศพิจิตร
การใดที่นางตริ ต้องกระทำ! ทุกช่องทุกชั้นต้องแง่งาม สิเน่หา...สรรค์สร้างสิ่งอันงดงามไว้ ”
หลังจากปิดหนังสือ
“สุริยวรรมัน” มหากาพย์นิยายที่แต่งโดย คุณหญิง “ทมยันตี” ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ (นวนิยาย) ลง ภาพปราสาทขอมอันยิ่งใหญ่ ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในนาม “เมืองพระนคร” เมื่อปี พ.ศ. 2535 ก็ลอยเข้ามาในสมองทันที
“ความยิ่งใหญ่ที่ทุกคนควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต”
และแล้วก็เหมือนฟ้าดินจะเป็นใจให้ได้ไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองพระนครอีกสักครั้งในชีวิต เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน เพื่อนที่ทำงานก็ชวน backpack ไปเที่ยวนครวัดนครธมในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เรารีบตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นก็หาข้อมูลการเดินทางเล็กๆ น้อยๆ และจัดกระเป๋าเตรียมออกเดินทางในช่วงสุดสัปดาห์ทันที
จริงๆ ต้องบอกว่า เราเคยเดินทางไปเที่ยวที่นครวัดแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 5 – 6 ปีที่แล้ว แต่ครั้งนั้นไปกับทัวร์ และเดินทางจากฝั่ง จ.ศรีสะเกษ ทุกขั้นตอนทัวร์จัดการให้ แต่ข้อเสียของการไปกับทัวร์คือ แทบจะไม่มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ เพราะเพียงแค่เท้าแตะๆ ที่ปราสาท ก็ต้องรีบขึ้นรถเพื่อไปที่อื่นต่อ ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการไปเที่ยวนครวัดนครธมแบบตั้งใจอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อให้ได้ซึมซับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ของปราสาทที่ได้ชื่อว่า “ต้องมาเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งก่อนตาย”
ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทาง 3 คน ชาย 1 หญิง 2 ไปกันแบบสบายๆ เริ่มต้นจากขับรถไปจอดที่โรงเกลือในช่วงบ่ายของวันศุกร์ สถานที่รับฝากรถ ชื่อ “เกตเวย์” อยู่ติดกับธ.ไทยพาณิชย์สาขาตลาดโรงเกลือ (สังเกตฝั่งขวามือ) อัตราค่ารับฝากวันละ 100 บาท
จอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปแลกตัง USD ที่ธนาคาร (ใครที่อยู่ กทม. ควรแลกจาก Super Rich หรือไม่ก็ Siam Exchange จะได้ราคาดีกว่าธนาคารมาก) ใครขี้เกียจแลกก็สามารถใช้เป็นเงินไทยได้เลย แต่อาจเสียเปรียบนิดหน่อย เพราะส่วนใหญ่สินค้าที่โน่นจะคิดราคาเป็น USD หลังจากนั้นก็นั่งรถสามล้อพ่วงซึ่งที่รับฝากรถเขามีบริการรับส่งไปที่ด่านแบบฟรีๆ กันเลยจ้า
ลงจากรถสามล้อก็เดินๆๆๆ ไปอีกไกลพอสมควร เพื่อเข้าไปที่ด่าน ตม. คนไทยเดินฝั่งซ้าย ต่างชาติเชิญด้านขวาค่ะ
หลังจากเสร็จจากด่าน ตม. บ้านเรา ความหฤหรรษ์ (หรือจะเรียกว่า หฤโหดดี) ก็บังเกิดขึ้น
เริ่มจากการเดินๆๆ และเดิน เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ไปยังด่าน ตม. ของฝั่งกัมพูชา (ปอยเปต) แต่ระหว่างทางไปด่าน ตม. นั้น ก็จะมีโต๊ะของ จนท. กัมพูชาที่คอยรับตรวจลงตราคนของเขา ซึ่งถ้าเราเผลอไปยื่นพาสปอร์ตให้ เขาก็จะหยิบใบ Arrival Card ขึ้นมาเพื่อจะเขียนข้อมูลให้เรา และๆๆๆ ที่สำคัญคือ เรียกค่าบริการจากเรา ซึ่งเขาจะพูดเป็นภาษาไทยสำเนียงกัมพูชาว่า “เป็นค่าน้ำใจ” โดยระหว่างทางเราเจอไปถึง 2 ครั้ง (เป็นจนท.ในเครื่องแบบล้วนๆ) เพราะฉะนั้น ก็ต้องใจแข็งไว้ค่ะ ไปเขียนเองที่ ตม. สะดวก ปลอดภัย ไม่เสียตัง ดีกว่า
กว่าจะถึง ตม. ฝั่งกัมพูชา ก็เล่นซะขาลากเลย สังเกตจากป้ายตามภาพเลยค่ะ Arrival จะอยู่ฝั่งขวามือ ส่วน Departure จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ คนละฟากถนน
ใบ Arrival Card จะเป็นลักษณะนี้ ไม่มีวางไว้ทั่วไปเหมือน ตม. ที่อื่น แต่ จนท. จะเป็นคนถือไว้ แล้วยื่นให้เราเป็นรายบุคคล (ต้องขอเขาถึงจะให้) คาดว่าน่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้พวกมิจฉาชีพหยิบไปทำมาหากินในทางทุจริต (ก็แหม ขนาดตัว จนท.เอง ยังเอาไปทำทุจริตซะเอง แล้วประชาชนทั่วไปจะเหลือเรอะ)
ระหว่างที่พวกเรารอแสตมป์พาสปอร์ต ก็จะมีคนขับแท็กซี่มาตะโกนเชิญชวนให้พวกเราใช้บริการแท็กซี่กันอย่างมากมาย ภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง เมื่อผ่านด่าน ตม. เขาก็จะกรูกันเข้ามาถามว่า “เสียมเรียบมั้ย อังกอร์วัดมั้ย” ราคาส่วนใหญ่ประมาณ 1,300 บาท เพื่อนเราหาข้อมูลมาว่า ราคาแท็กซี่ไปเสียมเรียบไม่ควรเกิน 1,000 บาท แต่อยากลองต่อราคาต่ำกว่านั้นดู ด้วยความที่เคยทำงานที่ศรีสะเกษ พอจะสื่อสารภาษาแขมร์ได้ ก็เลยบอกเขาไปว่า
“บรัมบวนรอย : เก้าร้อยบาท” แต่ละคนทำหน้าสตั้นไปหลายวิแล้วส่ายหน้า ไม่รู้สตั้นกับภาษาแขมร์ที่เราพูดออกไปหรือสตั้นราคาที่เราต่อ แต่ไม่มีใครยอมไปในราคา 900 บาทเลย ก็เลยทำนิ่งๆ ไว้ ไปหาซื้อซิมเนตก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยว่ากันเรื่องแท็กซี่ อ้อ!!! ส่วนใครที่ไม่อยากเสียค่าแท็กซี่ก็นั่งรถบัสเข้าเมืองเสียมเรียบได้เช่นกันค่ะ สอบถามค่าตั๋วคนขับบอกประมาณ 200 กว่าบาท
พวกเราซื้อซิมเพียงอันเดียว ใช้วิธีแชร์ฮอตสปอตกัน ประหยัดดี ราคาซิมก็เพียง 50 บาท เท่านั้น ใช้ได้ทั้งเนตทั้งโทร 3 วัน ไม่ต้องเติมเงินเพิ่มเลย ก่อนจะออกจากร้านก็ควรตั้งค่าซิมให้เรียบร้อย อย่าเสี่ยงไปทำเอง เดี๋ยวจะเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินเปล่าๆ
ระหว่างที่กำลังตั้งค่าซิมอยู่นั้น ก็มีพี่แท็กซี่คนนึงแกคงได้ยินว่าเราต่อค่าแท็กซี่ในราคา “บรัมบวนรอย” แกก็เลยเดินเข้ามาถามว่า “900 ไปมั้ย” นั่นไงล่ะ ในที่สุดก็มีคนยอมไปในราคา “บรัมบวนรอย” เมื่อตั้งค่าซิมเสร็จก็ออกเดินทางไปตัวเมืองเสียมเรียมโดยพี่แท็กซี่ใจดีคันนั้น (รถแท็กซี่บ้านเขาไม่ธรรมดาจ้า ยี่ห้อ Lexus กันเลย)
ระยะทางจากด่านปอยเปตถึงเมืองเสียมเรียบใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่ง สองข้างทางมีแต่ทุ่งนาโล่งกว้าง ซึ่งฤดูนี้เป็นหน้าร้อนและแล้งมาก อากาศที่ร้อนอบอ้าวกับเปลวแดดที่สะท้อนกับพื้นถนนยามบ่าย ทำให้พี่คนขับแอบวูบหลายครั้ง (หลับใน!!!)
พี่คะ พี่จะพาหนูไปนครวัดหรือจะพาเข้าวัดคะ...ก็เลยพยายามชวนพี่เขาคุยเยอะๆ ซึ่งเขาก็บอกว่า ‘เขาชอบคนไทย ชอบภาษาไทย ชอบเพลงไทย พยายามเรียนภาษาไทย จะได้เข้าไปเที่ยวเมืองไทยได้แบบสบายๆ’ ซึ่งในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ฟังแล้วเราก็รู้สึกอดภาคภูมิใจในความเป็นไทยไม่ได้ เมื่อเราโต้ตอบเป็นภาษากัมพูชากลับไป เขาก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเรา ที่มีคนต่างชาติต่างภาษาสามารถพูดภาษาของเขาได้
เห็นวงเวียนนี้ แสดงว่าเรามาถึงเมืองเสียมเรียบแล้วจ้าาา
สรุปว่า พี่แกพามาถึงเสียมเรียบอย่างปลอดภัย พร้อมกับให้นามบัตรมาด้วย แถมบอกด้วยว่า ถ้ามีเพื่อนที่ไทยมาเที่ยวก็ใช้บริการเขาได้ เขาคิดให้ในราคา 900 บาท จัดไปค่ะ
จากนั้นก็เดินเข้าที่พัก ซึ่งเพื่อนได้จองไว้ล่วงหน้า (แบบไม่จ่ายเงิน) ที่พักของเราชื่อ “Kok Meng Lodge” ตั้งอยู่ถนน Sivatha หลัง Asia Market ตอนจองเพื่อนบอกว่าเป็นแบบเตียงเดี่ยว ก็เลยจองไป 2 ห้อง ปรากฏว่าพอมาถึงกลายเป็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้องละ 2 เตียง สามารถนอน 4-5 คนได้สบายๆ เลย ห้องน้ำก็ใช้ได้ค่ะ แต่ไม่มีทีวีและไม่มีอุปกรณ์อาบน้ำอะไรให้เลย ดีที่เกียม (เตรียม) มาเอง
ไปถึงเสียมเรียบก็เป็นเวลาค่ำๆ พอดีๆ ท้องไส้เริ่มเรียกร้องหาอาหาร หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ออกเดินสำรวจเมืองเสียมเรียบ หาอาหารอร่อยๆ ทานกันดีกว่าค่ะ ระหว่างทางก็ได้ชมอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์กัมพูชาที่สวยงามและโดดเด่นไม่แพ้ไทยเลยทีเดียว
จากนั้นก็มาหยุดกันที่ร้านนี้ค่ะ "GENEVIEVE'S" ซึ่งอากู๋เขาแนะนำมาว่าเป็นร้าน signature อันดับ 2 ของเสียมเรียบเลยทีเดียว
พวกเรามาถึงร้านประมาณ 17.00 น. ซึ่งยังไม่เปิดให้บริการ แต่ปรากฏว่าทุกโต๊ะ มีป้าย RESERVE ตั้งไว้หมดแล้ว อย่างที่เห็นในภาพค่ะ ตอนแรกก็คิดว่า เจ้าของร้านตั้งไว้เก๋ๆ ให้ดึงดูดลูกค้ารึเปล่า แต่ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย เพราะเมื่อร้านเปิดปุ๊บ ลูกค้าก็ทยอยเข้าร้านจนเต็มทุกโต๊ะ แถมลูกค้าที่ walk in ก็ยังมารอคิวหน้าร้านจนเต็มเอี้ยดเลย
แต่ก็เป็นความโชคดีของพวกเราที่ไปถึงก่อนร้านเปิดพักใหญ่ หลังจากไปยืนส่งสายตาปริบๆ ให้เจ้าของร้าน เขาคงสงสาร เลยให้นั่งไปก่อนโต๊ะนึง พวกเราสั่งอาหารตามรูปภาพในเมนู เพราะไม่มีอาหารอะไรที่พวกเรารู้จักเลย แต่เคยอ่านมาว่า "Amok" ซึ่งหน้าตาคล้ายๆ ห่อหมกคืออาหารประจำชาติของกัมพูชา เลยจัดมาลองซะหน่อย หน้าตาดี รสชาดอร่อยเลยแหละ แต่คนไม่ชอบกะทิอาจจะเลี่ยนๆ บ้าง
สำหรับคนชอบทานเนื้อ ลองสั่ง "lok lak : ลอกแลก" มาทานดูค่ะ (ชื่อไม่น่ากินเนอะ) เพื่อนบอกอร่อยมาก
อันนี้เขาเรียกแกงกะหรี่ไก่ แต่รสชาดมัสมั่นไก่ชัดๆ
จานนี้ จำชื่อไม่ได้แล้ว รสชาดดี แต่เลี่ยนๆครีม นิดนึง
ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ 25 USD (ประมาณ 875 บาท) ถือว่าคุ้มค่าสำหรับความอร่อย ร้านนี้ลูกค้าเยอะจริงๆ ใครจะไปแนะนำให้โทรจองคิวล่วงหน้านะคะ เพื่อความชัวร์
เสร็จจากอาหารเย็นก็ไปเดินที่ Night Market ราคาก็พอซื้อหาได้ แต่กลับไปซื้อที่บ้านเราดีกว่าเพราะสินค้าส่วนใหญ่ Made in Thailand จ้า ที่นี่มันเอ็กเพ็นซิฟไปนิด
จากนั้นก็ไปต่อที่ Pub Street ดูแสงสียามค่ำคืน แล้วรีบกลับไปนอน เพราะพรุ่งนี้มีนัดกับพระอาทิตย์แต่เช้าตรู่
{{นครวัด - นครธม}} แบกเป้เที่ยวเองก็ได้ ง่ายนิดเดียว
วต...สถานที่บำเพ็ญภาวนา ถ้อยนี้เหมาะสมยิ่งกว่าคำใด
เทวสถานที่เราจักสร้างใหม่ คือ นครวัต!
เราจักสรรค์สร้างให้อลังการยิ่งกว่าทุกปราสาท ใช้เวลามากเท่าชีวิตเราย่อมได้ นาครวัดต้องพิไลเพริศพิจิตร
การใดที่นางตริ ต้องกระทำ! ทุกช่องทุกชั้นต้องแง่งาม สิเน่หา...สรรค์สร้างสิ่งอันงดงามไว้ ”
หลังจากปิดหนังสือ “สุริยวรรมัน” มหากาพย์นิยายที่แต่งโดย คุณหญิง “ทมยันตี” ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ (นวนิยาย) ลง ภาพปราสาทขอมอันยิ่งใหญ่ ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในนาม “เมืองพระนคร” เมื่อปี พ.ศ. 2535 ก็ลอยเข้ามาในสมองทันที “ความยิ่งใหญ่ที่ทุกคนควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต”
และแล้วก็เหมือนฟ้าดินจะเป็นใจให้ได้ไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองพระนครอีกสักครั้งในชีวิต เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน เพื่อนที่ทำงานก็ชวน backpack ไปเที่ยวนครวัดนครธมในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เรารีบตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นก็หาข้อมูลการเดินทางเล็กๆ น้อยๆ และจัดกระเป๋าเตรียมออกเดินทางในช่วงสุดสัปดาห์ทันที
จริงๆ ต้องบอกว่า เราเคยเดินทางไปเที่ยวที่นครวัดแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 5 – 6 ปีที่แล้ว แต่ครั้งนั้นไปกับทัวร์ และเดินทางจากฝั่ง จ.ศรีสะเกษ ทุกขั้นตอนทัวร์จัดการให้ แต่ข้อเสียของการไปกับทัวร์คือ แทบจะไม่มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ เพราะเพียงแค่เท้าแตะๆ ที่ปราสาท ก็ต้องรีบขึ้นรถเพื่อไปที่อื่นต่อ ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการไปเที่ยวนครวัดนครธมแบบตั้งใจอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อให้ได้ซึมซับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ของปราสาทที่ได้ชื่อว่า “ต้องมาเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งก่อนตาย”
ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทาง 3 คน ชาย 1 หญิง 2 ไปกันแบบสบายๆ เริ่มต้นจากขับรถไปจอดที่โรงเกลือในช่วงบ่ายของวันศุกร์ สถานที่รับฝากรถ ชื่อ “เกตเวย์” อยู่ติดกับธ.ไทยพาณิชย์สาขาตลาดโรงเกลือ (สังเกตฝั่งขวามือ) อัตราค่ารับฝากวันละ 100 บาท
จอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปแลกตัง USD ที่ธนาคาร (ใครที่อยู่ กทม. ควรแลกจาก Super Rich หรือไม่ก็ Siam Exchange จะได้ราคาดีกว่าธนาคารมาก) ใครขี้เกียจแลกก็สามารถใช้เป็นเงินไทยได้เลย แต่อาจเสียเปรียบนิดหน่อย เพราะส่วนใหญ่สินค้าที่โน่นจะคิดราคาเป็น USD หลังจากนั้นก็นั่งรถสามล้อพ่วงซึ่งที่รับฝากรถเขามีบริการรับส่งไปที่ด่านแบบฟรีๆ กันเลยจ้า
ลงจากรถสามล้อก็เดินๆๆๆ ไปอีกไกลพอสมควร เพื่อเข้าไปที่ด่าน ตม. คนไทยเดินฝั่งซ้าย ต่างชาติเชิญด้านขวาค่ะ
หลังจากเสร็จจากด่าน ตม. บ้านเรา ความหฤหรรษ์ (หรือจะเรียกว่า หฤโหดดี) ก็บังเกิดขึ้น
เริ่มจากการเดินๆๆ และเดิน เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ไปยังด่าน ตม. ของฝั่งกัมพูชา (ปอยเปต) แต่ระหว่างทางไปด่าน ตม. นั้น ก็จะมีโต๊ะของ จนท. กัมพูชาที่คอยรับตรวจลงตราคนของเขา ซึ่งถ้าเราเผลอไปยื่นพาสปอร์ตให้ เขาก็จะหยิบใบ Arrival Card ขึ้นมาเพื่อจะเขียนข้อมูลให้เรา และๆๆๆ ที่สำคัญคือ เรียกค่าบริการจากเรา ซึ่งเขาจะพูดเป็นภาษาไทยสำเนียงกัมพูชาว่า “เป็นค่าน้ำใจ” โดยระหว่างทางเราเจอไปถึง 2 ครั้ง (เป็นจนท.ในเครื่องแบบล้วนๆ) เพราะฉะนั้น ก็ต้องใจแข็งไว้ค่ะ ไปเขียนเองที่ ตม. สะดวก ปลอดภัย ไม่เสียตัง ดีกว่า
กว่าจะถึง ตม. ฝั่งกัมพูชา ก็เล่นซะขาลากเลย สังเกตจากป้ายตามภาพเลยค่ะ Arrival จะอยู่ฝั่งขวามือ ส่วน Departure จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ คนละฟากถนน
ใบ Arrival Card จะเป็นลักษณะนี้ ไม่มีวางไว้ทั่วไปเหมือน ตม. ที่อื่น แต่ จนท. จะเป็นคนถือไว้ แล้วยื่นให้เราเป็นรายบุคคล (ต้องขอเขาถึงจะให้) คาดว่าน่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้พวกมิจฉาชีพหยิบไปทำมาหากินในทางทุจริต (ก็แหม ขนาดตัว จนท.เอง ยังเอาไปทำทุจริตซะเอง แล้วประชาชนทั่วไปจะเหลือเรอะ)
ระหว่างที่พวกเรารอแสตมป์พาสปอร์ต ก็จะมีคนขับแท็กซี่มาตะโกนเชิญชวนให้พวกเราใช้บริการแท็กซี่กันอย่างมากมาย ภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง เมื่อผ่านด่าน ตม. เขาก็จะกรูกันเข้ามาถามว่า “เสียมเรียบมั้ย อังกอร์วัดมั้ย” ราคาส่วนใหญ่ประมาณ 1,300 บาท เพื่อนเราหาข้อมูลมาว่า ราคาแท็กซี่ไปเสียมเรียบไม่ควรเกิน 1,000 บาท แต่อยากลองต่อราคาต่ำกว่านั้นดู ด้วยความที่เคยทำงานที่ศรีสะเกษ พอจะสื่อสารภาษาแขมร์ได้ ก็เลยบอกเขาไปว่า “บรัมบวนรอย : เก้าร้อยบาท” แต่ละคนทำหน้าสตั้นไปหลายวิแล้วส่ายหน้า ไม่รู้สตั้นกับภาษาแขมร์ที่เราพูดออกไปหรือสตั้นราคาที่เราต่อ แต่ไม่มีใครยอมไปในราคา 900 บาทเลย ก็เลยทำนิ่งๆ ไว้ ไปหาซื้อซิมเนตก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยว่ากันเรื่องแท็กซี่ อ้อ!!! ส่วนใครที่ไม่อยากเสียค่าแท็กซี่ก็นั่งรถบัสเข้าเมืองเสียมเรียบได้เช่นกันค่ะ สอบถามค่าตั๋วคนขับบอกประมาณ 200 กว่าบาท
พวกเราซื้อซิมเพียงอันเดียว ใช้วิธีแชร์ฮอตสปอตกัน ประหยัดดี ราคาซิมก็เพียง 50 บาท เท่านั้น ใช้ได้ทั้งเนตทั้งโทร 3 วัน ไม่ต้องเติมเงินเพิ่มเลย ก่อนจะออกจากร้านก็ควรตั้งค่าซิมให้เรียบร้อย อย่าเสี่ยงไปทำเอง เดี๋ยวจะเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินเปล่าๆ
ระหว่างที่กำลังตั้งค่าซิมอยู่นั้น ก็มีพี่แท็กซี่คนนึงแกคงได้ยินว่าเราต่อค่าแท็กซี่ในราคา “บรัมบวนรอย” แกก็เลยเดินเข้ามาถามว่า “900 ไปมั้ย” นั่นไงล่ะ ในที่สุดก็มีคนยอมไปในราคา “บรัมบวนรอย” เมื่อตั้งค่าซิมเสร็จก็ออกเดินทางไปตัวเมืองเสียมเรียมโดยพี่แท็กซี่ใจดีคันนั้น (รถแท็กซี่บ้านเขาไม่ธรรมดาจ้า ยี่ห้อ Lexus กันเลย)
ระยะทางจากด่านปอยเปตถึงเมืองเสียมเรียบใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่ง สองข้างทางมีแต่ทุ่งนาโล่งกว้าง ซึ่งฤดูนี้เป็นหน้าร้อนและแล้งมาก อากาศที่ร้อนอบอ้าวกับเปลวแดดที่สะท้อนกับพื้นถนนยามบ่าย ทำให้พี่คนขับแอบวูบหลายครั้ง (หลับใน!!!)
พี่คะ พี่จะพาหนูไปนครวัดหรือจะพาเข้าวัดคะ...ก็เลยพยายามชวนพี่เขาคุยเยอะๆ ซึ่งเขาก็บอกว่า ‘เขาชอบคนไทย ชอบภาษาไทย ชอบเพลงไทย พยายามเรียนภาษาไทย จะได้เข้าไปเที่ยวเมืองไทยได้แบบสบายๆ’ ซึ่งในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ฟังแล้วเราก็รู้สึกอดภาคภูมิใจในความเป็นไทยไม่ได้ เมื่อเราโต้ตอบเป็นภาษากัมพูชากลับไป เขาก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเรา ที่มีคนต่างชาติต่างภาษาสามารถพูดภาษาของเขาได้
เห็นวงเวียนนี้ แสดงว่าเรามาถึงเมืองเสียมเรียบแล้วจ้าาา
สรุปว่า พี่แกพามาถึงเสียมเรียบอย่างปลอดภัย พร้อมกับให้นามบัตรมาด้วย แถมบอกด้วยว่า ถ้ามีเพื่อนที่ไทยมาเที่ยวก็ใช้บริการเขาได้ เขาคิดให้ในราคา 900 บาท จัดไปค่ะ
จากนั้นก็เดินเข้าที่พัก ซึ่งเพื่อนได้จองไว้ล่วงหน้า (แบบไม่จ่ายเงิน) ที่พักของเราชื่อ “Kok Meng Lodge” ตั้งอยู่ถนน Sivatha หลัง Asia Market ตอนจองเพื่อนบอกว่าเป็นแบบเตียงเดี่ยว ก็เลยจองไป 2 ห้อง ปรากฏว่าพอมาถึงกลายเป็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้องละ 2 เตียง สามารถนอน 4-5 คนได้สบายๆ เลย ห้องน้ำก็ใช้ได้ค่ะ แต่ไม่มีทีวีและไม่มีอุปกรณ์อาบน้ำอะไรให้เลย ดีที่เกียม (เตรียม) มาเอง
ไปถึงเสียมเรียบก็เป็นเวลาค่ำๆ พอดีๆ ท้องไส้เริ่มเรียกร้องหาอาหาร หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ออกเดินสำรวจเมืองเสียมเรียบ หาอาหารอร่อยๆ ทานกันดีกว่าค่ะ ระหว่างทางก็ได้ชมอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์กัมพูชาที่สวยงามและโดดเด่นไม่แพ้ไทยเลยทีเดียว
จากนั้นก็มาหยุดกันที่ร้านนี้ค่ะ "GENEVIEVE'S" ซึ่งอากู๋เขาแนะนำมาว่าเป็นร้าน signature อันดับ 2 ของเสียมเรียบเลยทีเดียว
พวกเรามาถึงร้านประมาณ 17.00 น. ซึ่งยังไม่เปิดให้บริการ แต่ปรากฏว่าทุกโต๊ะ มีป้าย RESERVE ตั้งไว้หมดแล้ว อย่างที่เห็นในภาพค่ะ ตอนแรกก็คิดว่า เจ้าของร้านตั้งไว้เก๋ๆ ให้ดึงดูดลูกค้ารึเปล่า แต่ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย เพราะเมื่อร้านเปิดปุ๊บ ลูกค้าก็ทยอยเข้าร้านจนเต็มทุกโต๊ะ แถมลูกค้าที่ walk in ก็ยังมารอคิวหน้าร้านจนเต็มเอี้ยดเลย
แต่ก็เป็นความโชคดีของพวกเราที่ไปถึงก่อนร้านเปิดพักใหญ่ หลังจากไปยืนส่งสายตาปริบๆ ให้เจ้าของร้าน เขาคงสงสาร เลยให้นั่งไปก่อนโต๊ะนึง พวกเราสั่งอาหารตามรูปภาพในเมนู เพราะไม่มีอาหารอะไรที่พวกเรารู้จักเลย แต่เคยอ่านมาว่า "Amok" ซึ่งหน้าตาคล้ายๆ ห่อหมกคืออาหารประจำชาติของกัมพูชา เลยจัดมาลองซะหน่อย หน้าตาดี รสชาดอร่อยเลยแหละ แต่คนไม่ชอบกะทิอาจจะเลี่ยนๆ บ้าง
สำหรับคนชอบทานเนื้อ ลองสั่ง "lok lak : ลอกแลก" มาทานดูค่ะ (ชื่อไม่น่ากินเนอะ) เพื่อนบอกอร่อยมาก
อันนี้เขาเรียกแกงกะหรี่ไก่ แต่รสชาดมัสมั่นไก่ชัดๆ
จานนี้ จำชื่อไม่ได้แล้ว รสชาดดี แต่เลี่ยนๆครีม นิดนึง
ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ 25 USD (ประมาณ 875 บาท) ถือว่าคุ้มค่าสำหรับความอร่อย ร้านนี้ลูกค้าเยอะจริงๆ ใครจะไปแนะนำให้โทรจองคิวล่วงหน้านะคะ เพื่อความชัวร์
เสร็จจากอาหารเย็นก็ไปเดินที่ Night Market ราคาก็พอซื้อหาได้ แต่กลับไปซื้อที่บ้านเราดีกว่าเพราะสินค้าส่วนใหญ่ Made in Thailand จ้า ที่นี่มันเอ็กเพ็นซิฟไปนิด
จากนั้นก็ไปต่อที่ Pub Street ดูแสงสียามค่ำคืน แล้วรีบกลับไปนอน เพราะพรุ่งนี้มีนัดกับพระอาทิตย์แต่เช้าตรู่