อยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังค่ะ ไม่ได้อยากจะมาอัพใส่หรือโอ้อวดประการใดทั้งสิ้นค่ะ
แต่อยากจะมาให้กำลังใจและให้ทุกท่านไม่ท้อที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองค่ะ
ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราเป็นเด็กต่างจังหวัด(ขนมหม้อแกงดังมาก) ตั้งแต่เข้าเรียนมาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ไม่ได้เรื่องรองลงมาจากวิทย์ คณิตเลยค่ะ
ประถมก็ท่องได้ A-Z โตมาหน่อยก็ได้แค่ Good morning teacher, how are you? I'm fine, thank you and you? แค่นี้จริงๆ
พอเรียนมัธยมก็สอบได้โรงเรียนประจำจังหวัดแผนการเรียนศิลป์-คำนวณ คือ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเลขก็ไม่ได้ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้จะเลือกแผนนี้ เพื่อ???
ภาษาอังกฤษบอกเลยว่าไม่ได้ค่ะ กิริยา 3 ช่องมีไว้เพื่ออะไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ก่อนสอบเพื่อนก็พยายามติวให้แต่ในหัวนี่ว่างเปล่ามากไร้ซึ่งความรู้ใดๆ
แต่ก็เรียนมาจนจบด้วยเกรดแบบถูๆไถๆค่ะ พอถึงเวลาแอดมิชชั่นก็ติดที่ มหาวิทยาลัยย่านบางเขนคณะสีม่วง
เริ่มเรียนปี1 ก็สตาร์ทด้วยการเรียน eng2 เพราะโชคช่วยตอนสอบ O-net นั้นเดาข้อสอบถูกนิดหน่อย 5555 แต่พอเริ่มเรียน eng2 เท่านั้นแหละ หายนะเริ่มมาค่ะ คือ งง มาก ไม่เข้าใจอะไรเลย is/am/are
คืออะไรวะ ใช้ยังไง tense เ_ี้ยอะไร ตั้งมากมาย เพื่อนที่หอก็พยายามช่วยติวให้เราก็พยายามที่จะเข้าใจแต่ก็เช่นเคยค่ะมีแต่ความว่างเปล่า แต่ก็ผ่านมาได้ด้วย C ค่ะ อันนี้บอกเลยว่าบังเอิญข้อสอบออกมาเอื้อต่อสมองของเรา ณ ตอนนั้นซึ่งคล้ายๆกับแบบฝึกหัดที่เรียนมาและอาจารย์ก็ใจดีมากๆ เข้าใจและคอยให้คำแนะนำตลอดเลยค่ะ อาจารย์แนะนำให้เข้าไปที่ www.livemocha เพื่อหัดเรียนด้วยตัวเองค่ะ แต่เราก็ยังไม่มีแรงที่จะอยากเรียนสักเท่าไร
พอขึ้นปี 2 เทอม 2 สิ่งที่น่ากลัวกว่า eng2 ก็ตามมา จะอะไรล่ะก็ eng3 น่ะสิ เชชรรรด!!! พยายามลงทะเบียนเรียนให้ได้ sec เดียวกับเพื่อนที่เจอร์เกาะกลุ่มไปตายเอาดาบหน้าด้วยกันอะไรประมาณนั้น แต่ใน sec นั่นมันสุโค่ยมาก เนื่องจากมี นิสิตเตรียมแพทย์ทหาร กับ คณะสัตวแพทย์มาด้วย ห่านมาก นี่ฉันจะต้องให้เขาเหยียบชัวร์ๆ แต่โชคดีที่มาเจออาจารย์ดีเช่นกันค่ะ อาจารย์คอยให้แรงเสริมแบบกระตุ้นให้อ่านให้เขียนให้ฟังบ่อยๆ และชอบให้คะแนนติดลบล้านยันชาติหน้า 5555 ระหว่างที่เรียนนั้นก็มีเพื่อนที่เจอร์เอาลัทธินิยมฝรั่งมาปล่อยค่ะ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเห้ยย
น่าสนใจนะได้ฝึกภาษากับฝรั่งด้วย แต่เรายังไม่ได้เริ่มชอบฝรั่งค่ะเพราะว่ายังมีแฟนคนไทยอยู่ เราเริ่มเข้าเน็ตค้นหาเว็บที่คุยกับชาวต่างชาติค่ะ ก็เจอทั้งฝรั่งสายดี สายหื่น สายชัก สายเที่ยว สายม่อ ฯ เยอะมากก็เลยพอจะรู้ว่าถ้าอินี่คุยมาสไตล์นี้ควรจะรับมือมันยังไง พอเริ่มมีเพื่อนต่างชาติในเว็บเยอะขึ้น ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าการพูดและการฟังมันน่าจะช่วยให้เราสื่อสารได้มากกว่าการแชทนะ เราจึงเริ่มให้สไกป์กับเพื่อนฝรั่งที่เราไว้ใจและเริ่มเปิดกล้อง แรกๆก็เปิดกล้องแชทแล้วค่อยๆเปิดกล้องคุยค่ะ พอถึงไฟนอลของ eng3 มีทดสอบการฟัง คุณพระ!!! ฉันฟังออก ฉันตอบได้ ถึงจะไม่ได้เต็มทั้งหมด ตอนนั้นแบบ
งงงง กรูทำได้ แต่พอมาถึงแกรมมาก็อาจจะยังไม่ค่อยดีนัก จบด้วย C+ ค่ะ ก็ยังดีขึ้นมาอีกหน่อย
พอขึ่นมาปี 3 เพื่อนส่วนใหญ่เลือกที่จะลง Writing แต่เราดิบค่า อยากพัฒนา Speaking & Listening ก็จัดเลยค่ะมีเพื่อนในเจอร์ร่วมอุดมการณ์ไปด้วยอีก 2 คน คือ พ กับ ฝ พอเริ่มเรียนวันแรกก็เริ่มชักจะหวั่นๆละ เพราะอาจารย์ช่างเป็นคุณหญิงเสียเหลือเกินขนาดมีนิสิตไอ ท่านยังบอกให้หยุดไอถ้าไม่หยุดท่านจะไล่ออกไปนอกห้อง (ตึ่ง ตึ่ง ตึ๊ง อะไรของอาจารย์ คือ งง มาก) พอสอบมิดเทอมเสร็จอาจารย์ก็เอาคะแนนขึ้นโชว์และทำไฮไลท์สีเหลืองไว้ที่ชื่อของนิสิตบางคน รายชื่อเหล่านั้นคืออะไรไม่ใช่ท็อปนะจ๊ธ แต่อาจารยื*สั่ง*ให้ไปดร็อปจ้า คือ
ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น แต่เราโชคดีค่ะคะแนนผ่านมา 3 คะแนน แต่ พ กับ ฝ ไม่ได้ไปต่อ นางสองคนก็คุยกับเราว่าจะเอาไงต่อเพราะอาจารย์คือเผด็จการมาก รอลงเรียนใหม่กับอาจารย์อื่นเถอะอะไรงี้ แต่เราก็สู้ต่อค่ะเพราะไม่อยากเสียเวลา อาจารย์ก็ให้ทำ powerpoint มานำเสนอเรื่องอะไรก็ได้ที่สนใจ เราเลือกหัวข้อประเทศสวีเดนค่ะ (เพราะช่วงนั้นมีคนสวีเดนมาชอบ 5555)
พอถึงวันนำเสนองานคนแรกนำเสนอเสร้จ นิสิตคนอื่นก็ปรบมือให้แต่ทันใดนั้นอาจารย์ก็ ดึงหน้าและเสียงมาทางนิสิตและพูดว่า "ไม่ต้องปรบมือ นี่คือการสอบ" หน้าชากันเลยจ้าาา ช่วงนั้นเป็นอะไรที่แบบนี่คิดผิดหรือถูกวะที่ยังสู้ต่อ เราพยายามที่จะซื้อหนังสือบทสนานา แกรมมา หนังสือนิทานภาษาอังกฤษ นิตยสารภาษาอังกฤษมาอ่านเยอะมาก คือมานับดูมีหนังสือเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเป็นลังๆ แล้วก็ฟังวิทยุภาษาอังกฤษทุกวัน คือก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดหรอกแต่ฟังให้มันผ่านหู เปิดยูทูปฟังเลงฝรั่ง เปิดที่เป็นเนื้อเพลงแล้วร้องตามเพื่อลิ้นจะได้ไม่แข็ง คำไหนไม่รู้ก็เอาไปแปล พยายามสังเกตการใช้คำในเพลงและจากเพื่อฝรั่งที่คุยๆกัน ผ่านไปการสอบไฟนอลก็มาถึง การฟังจะเปิดซ้ำ 2 รอบแต่ sec นี้ไม่จ้าอาจารย์ให้ฟังรอบเดียว จบคือจบ (บรรลัยเกิดแน่ๆ) และในที่สุดเกรดก็ออกมาด้วย D+ เชรรดโด้ มันคืออะไร พอสอบถามจากเพื่อนๆใน sec เดียวกันพบว่ามีแค่คนเดียวที่ได้ A นอกนั้น C, C+, D, D+ จ้าาาา เอาที่อาจารย์สบายใจ
ระหว่างที่เรียนอยู่ช่วงปี 3 นั้นพี่รหัสของเราเขาสอนพิเศษนักเรียน รร สาธิต มก พอดีพี่เขาก็ติดต่อให้เราลองไปสอนนักเรียนชั้น ป.1 ที่นี่เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน เราก็จะเอาไงดีวะ ภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆ แต่ก็สู้ค่ะตัดสินใจโทรไปและนัดเจอกับผู้ปกครองของน้อง คุณแม่น้องก็ให้โอกาสเราก็เลยได้สอนน้องและน้องก็สอนภาษาอังกฤษให้เราบ้างบางที หลายๆครั้งก็ได้เรียนรู้เวลาคุณพ่อคุณแม่น้องมารับ แต่คุณแม่น้องนี่ดีมากคอยช่วยเหลือเราตลอดจนถึงทุกวันนี้
เราเองก็กู้ กยศ ในการเรียนเช่นกันวันนั้นบังเอิญไปที่กองกิจ(กองกิจการนิสิต)เพื่อไปส่งเอกสาร กยศ เลยได้เห็นข่าวทุนว่าบริษัทมิตซูบิชิ จะมอบทุนให้นิสิต มก, ฬ, มธ ในบางคณะซึ่งโชคดีว่ามีคณะสีม่วงของเราด้วย แต่สิ่งที่พีคสุดคือวันนั้นคือวันสุดท้ายการส่งเรียงความและเอกสารขอทุน เรารีบเดินเข้าไปขอเอกสารขอทุนแล้วรีบกลับไปเขียนเรียงความขอทุน(เป็นภาษาอังกฤษ) และจะต้องเอามาส่งก่อน 4 โมงเย็น พยายามเขียนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ กูเกิ้ลทรานสเลทก็มา 5555 แต่ก็ทำเต็มที่แล้วเอาไปส่งที่กองกิจ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์พี่ที่กองกิจก็โทรมาให้เตรียมตัวไปสัมภาษณ์ทุนที่บริษัทมิตซูบิชิ แถวๆสีลม เรานี่ช็อคก็ช็อค ดีใจก็ดีใจ เห้ยยย นี่กรุได้สัมภาษณ์จริงเหรอ
พอถึงวันไปสัมภาณ์ โอ้โห มันแบบเกร็งไปหมด มีคนไทย 2 คน คนญี่ปุ่น 1 คน ก็สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ คำถามไหนที่ฟังไม่ออกรีบยิ้มและส่งสายตาไปหาพี่คนไทยเขาก็พยายามช่วย 5555 พอมาถึงคำถามที่เบรคแตกมากๆคือ ในเอกสารขอทุนเขาถามว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับวิถีชีวิตขิงคนญี่ปุ่น แต่เราแปลผิดค่าคิดว่าเป็น คุณคิดยังไงหากคุณต้องย้ายไปเรียนที่ญี่ปุ่น (ตะลุง ตุ้ง แช่ๆๆๆๆๆ) เขาก็ถามเรามาเลยว่านี่คุณหมายความว่ายังไง เราก็บอกไปตามตรงบอกเป็นภาษาไทยด้วยว่า มันเป็นความเข้าใจผิดของหนูเองค่ะ ก็อธิบายให้เขาฟังว่าเราเข้าใจยังไง พอเสร็จปุ๊บเขาก็ถามว่ามีอะไรจะถามมั้ย เราก็ถามไปว่า กรรมการชอบสัตว์อะไรมากที่สุด 3 อันดับแรกคะ พร้อมเหตุผล หลังจากนั้นเราก็เฉลยว่าสัตว์ตัวแรกหมายถึง ลักษณะคนที่คุณอยากได้มาเป็นคู่ครอง สัตว์ตัวที่สองหมายถึงลักษณะของคุณในสายตาคนอื่นๆ และสัตว์ตัวสุดท้ายหมายถึงลักษณะตัวตนที่แท้จริงของคุณ แล้วก็กราบลาด้วยความคิดที่ว่า กรูไม่ได้แน่นอน
หลังจากนั้นสองสัปดาห์พี่ที่กองกิจโทรมาบอกว่าได้รับทุน ให้เตรียมตัวไปพบเจ้าของทุน เชรดดดดดดดดดดดด เห้ยยย กรุได้ ตอนนั้นแบบดีใจสุดๆมือไม้สั่น และพี่ที่กองกิจก็บอกว่าให้เราเป็นตัวแทนนิสิต มก กล่าวขอบคุณบริษัทมิตซูบิชิ ให้เราร่างคำกล่าวขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษไปให้ดู เราก็เขียนร่างๆไปให้คนสวีเดนที่ชอบเราช่วยเกลาให้รอบแรก หลังจากนั้นก็ให้แม่น้องที่เราสอนพิเศษช่วยเกลาให้อย่างสวยงาม เราก้ฝึกอ่านให้คล่อง อัดเสียงให้เพื่อนฝรั่งฟังและช่วยแก้ไขให้ และแล้ววันรับทุนก็มาถึงนิสิตตัวแทนของ ฬ และ มธ ได้กล่าวขอบคุณก่อนส่วนเราปิดท้าย หัวใจแทบจะเต้นออกมาข้างนอก ตุ๊บๆๆๆๆๆ เหมือนมีใครมาตีกลองในอก แต่ในมราสุดเราได้รับคำชมว่าพูดได้ดีมากๆ โอ้โห ปริ่มมากกก ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว 5555 ดีใจค่ะ
พอขึ้นปี 4 ภาษาอังกฤษเราก็เริ่มดีขึ้น แกรมมาก็ดีขึ้นแต่ไม่ perfect สามารถสื่อสารได้ ฟังพูดของเราดีกว่าอ่านกับเขียน เราก็ยังคุยกับเพื่อนฝรั่งอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกับคนสวรเดนคนนั้นแล้วเพราะว่าเขาเสียชีวิต ช่วงนั้นก็ยังคบกับแฟนคนไทยอยู่แต่ก็เหมือนพ่อมากกว่าแฟน จะไปไหนก็ไม่ให้ไป ฝึกภาษากับฝรั่งก็หาว่าอยากได้แฟนใหม่ บอกตรงๆรำคาญมากเลยคิดในใจนี่ถ้าเลิกกับคนนี้นะก็พอกันทีคนไทย จะไม่เอาอีกละ แล้วมันก็เป็นจริง เราเลิกกับเขาและได้คุยกับคนเบลเยี่ยมซึ่งหน้าตาก็โอเค คุยตลกดีรู้จักกัน 4 เดือนก่อนเขามาไทย เขามาไทยช่วงปลายปีเราก็เค้าท์ดาวที่ข้าวสารด้วยกัน อื้มมหืมม ฟินนน จูบรับปีใหม่ แต่เราเขินไง หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวเกาะพีพีด้วยกัน มันเป็นอะไรที่แบบดีมากๆ ได้เรียนรู้กันและกัน 3 เดือนที่เขาอยู่ไทย เราก็เริ่มฝึกเรียนฝรั่งเสสจ้า ขยันไปอีก แต่พอนางกลับไปเบลเยี่ยมนางเริ่มคุยกับเราน้อยลง เราเลยถามนางว่าตกลงว่าเรื่องของเรามันยังไง นางบอกว่า ถ้าเราเจอคนที่ดีกว่าให้เราไปได้เลยไม่ต้องรอนาง นางเองก็ไม่ค่อยชอบรักทางไกลสักเท่าไร เราฟังแล้วน้ำตาร่วงค่ะ แต่พอมาคิดๆดู เขาพูดในสิ่งที่เขาคิดนะ เขาไม่ได้หลอกเรา เขาบอกเราตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าให้เราเสียใจมากกว่านี้ เราก็โอเค เริ่มคุยกับเขาน้อยลง เลิกเรียนฝรั่งเศสไปเลย พอดีรู้จักกับพี่ที่เขามีสามีอยู่ฝรั่งเศสเขาก็บอกมาประโยคหนึ่ง "คนที่ใช่มักจะมาในช่วงเวลาที่เราเจ็บที่สุด"
หลังจากนั้นเราก็ขึ้น ปี 5 ฝึกสอนที่ รร ม.ปลาย ชื่อดังย่านพญาไท ก็มีฝรั่งสวีเดนส่งข้อความมาในเว็บ www.thaikissies ซึ่งเราก็สมัครไว้เฉยๆแทบไม่ค่อยได้เล่นเลยล่ะ แต่วันนั้นเราเข้าไปเช็คก็อ่านข้อความของเขาสรุปว่าเขาจะมาเที่ยวในเอเชียกับออสเตรเลีย 3 เดือนเลยอยากหาเพื่อนในประเทศนั้นๆไว้ เราก็คุยกับเขาในฐานะเพื่อนเพราะยังเฮิร์ทๆอยู่ ก็เล่าให้เขาฟังเรื่องเรากับไอ้เบลเยี่ยม เขาก็บอกว่าไม่ต้องรอเขาหรอกชีวิตคุณยังต้องเจอคนอีกมากมาย คุยกับคนนี้ไปๆมาๆรู้สึกถูกคอกัน ความคิดและทัศนคติก็คล้ายๆกัน เขาเลยเปลี่ยนแผนจากกว่าจะมาไทยช่วงปลายปี 57 มาเป็น ต้นตุลา 57 เพื่อมาเจอเราก่อนเลย ก็เลยคบกันมาเรื่อยๆพาเขาไปเที่ยว พาไปบ้านเราด้วยจ้าา คืออยากให้ที่บ้านได้รู้จักเพราะอะไรเหรอ เพราะเขาเป็นคนดีเราเลยพาเขาไป ขนาดอิแฟนคนไทยคบกันมาหลายปียังไม่เคยพาไปบ้านเลย แต่ฝรั่งสวีเดนคนนี้เรามั่นใจว่าเขาดีเลยจัดเลยค่ะ พอช่วงตุลาคมปิดเทอมเล็ก เราไม่มีฝึกสอนก็ไปเที่ยวกับเขาที่ภูเก็ตด้วยกัน สนุกมากๆ เขาไม่หล่อนะแต่ยืนยันได้ว่า มหา ที่วัดยังยอมต่อความใจเย็นและความคิดบวกของเขา 555
พอเราเรียนจบก็ตัดสินใจไปสวีเดน 3 เดือน ไปเรียนรู้ชีวิตและรู้จักครอบครัวของเขาด้วยเช่นกัน มันเป็นอะไรที่แบบใช่อ่ะ ครอบครัวของเขาน่ารักมาก เพื่อนๆของเขาก็นิสัยดีเป็นกันเอง เราก็หัดเรียนภาษาสวีดิชไปด้วย พอกลับมาไทยเราก็ได้งานทำเป็นครูที่หัวหิน แฟนเราก็เป็นครูเหมือนกันแต่สอนออนไลน์เลยขอหัวหน้ามาทำงานออนไลน์ที่ไทย 5 เดือน เราก็เลยเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน พาฝรั่งไปเยี่ยมบ้านเราบ่อยๆ แต่พอปิดเทอมเล็กช่วงตุลา เราไปเที่ยวชุมพรเลยไม่ได้กลับบ้าน ยายเราเขาหัวโบราณเขาไม่พอใจที่เราไม่กลับบ้านและเขามารู้ว่าเราอยู่กับฝรั่ง เลยไปกันใหญ่เพราะเขาไม่ชอบการอยู่ก่อนแต่ง บอกเลยว่ายายกริ้ววววววว มากระดับ 100 ฉะนั้นแม่ของแฟนเราเลยมาจากสวีเดนเพื่อมางานรับปริญญาของเราและเลยมาคุยเรื่องงานแต่งงานของเราด้วย ยายเราเขาไม่เคยห้ามหรอกนะว่าจะคบกันแต่เขาแค่อยากให้ทำให้ถูกต้องตามประเพณีก็เท่านั้น และงานแต่งของเราก็มีขึ้นในวันนี่ 29 พ.ย. 58 ค่ะ
ขอบคุณที่อดทนอ่านกันมานะคะ ยาวมากแต่ก็พยายามกระชับสุดแล้วค่ะ ขอบคุณค่าาา
ใครที่เพิ่งมาได้ภาษาอังกฤษหลังอายุ 20 มั้ยคะ
แต่อยากจะมาให้กำลังใจและให้ทุกท่านไม่ท้อที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองค่ะ
ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราเป็นเด็กต่างจังหวัด(ขนมหม้อแกงดังมาก) ตั้งแต่เข้าเรียนมาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ไม่ได้เรื่องรองลงมาจากวิทย์ คณิตเลยค่ะ
ประถมก็ท่องได้ A-Z โตมาหน่อยก็ได้แค่ Good morning teacher, how are you? I'm fine, thank you and you? แค่นี้จริงๆ
พอเรียนมัธยมก็สอบได้โรงเรียนประจำจังหวัดแผนการเรียนศิลป์-คำนวณ คือ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเลขก็ไม่ได้ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้จะเลือกแผนนี้ เพื่อ???
ภาษาอังกฤษบอกเลยว่าไม่ได้ค่ะ กิริยา 3 ช่องมีไว้เพื่ออะไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ก่อนสอบเพื่อนก็พยายามติวให้แต่ในหัวนี่ว่างเปล่ามากไร้ซึ่งความรู้ใดๆ
แต่ก็เรียนมาจนจบด้วยเกรดแบบถูๆไถๆค่ะ พอถึงเวลาแอดมิชชั่นก็ติดที่ มหาวิทยาลัยย่านบางเขนคณะสีม่วง
เริ่มเรียนปี1 ก็สตาร์ทด้วยการเรียน eng2 เพราะโชคช่วยตอนสอบ O-net นั้นเดาข้อสอบถูกนิดหน่อย 5555 แต่พอเริ่มเรียน eng2 เท่านั้นแหละ หายนะเริ่มมาค่ะ คือ งง มาก ไม่เข้าใจอะไรเลย is/am/are คืออะไรวะ ใช้ยังไง tense เ_ี้ยอะไร ตั้งมากมาย เพื่อนที่หอก็พยายามช่วยติวให้เราก็พยายามที่จะเข้าใจแต่ก็เช่นเคยค่ะมีแต่ความว่างเปล่า แต่ก็ผ่านมาได้ด้วย C ค่ะ อันนี้บอกเลยว่าบังเอิญข้อสอบออกมาเอื้อต่อสมองของเรา ณ ตอนนั้นซึ่งคล้ายๆกับแบบฝึกหัดที่เรียนมาและอาจารย์ก็ใจดีมากๆ เข้าใจและคอยให้คำแนะนำตลอดเลยค่ะ อาจารย์แนะนำให้เข้าไปที่ www.livemocha เพื่อหัดเรียนด้วยตัวเองค่ะ แต่เราก็ยังไม่มีแรงที่จะอยากเรียนสักเท่าไร
พอขึ้นปี 2 เทอม 2 สิ่งที่น่ากลัวกว่า eng2 ก็ตามมา จะอะไรล่ะก็ eng3 น่ะสิ เชชรรรด!!! พยายามลงทะเบียนเรียนให้ได้ sec เดียวกับเพื่อนที่เจอร์เกาะกลุ่มไปตายเอาดาบหน้าด้วยกันอะไรประมาณนั้น แต่ใน sec นั่นมันสุโค่ยมาก เนื่องจากมี นิสิตเตรียมแพทย์ทหาร กับ คณะสัตวแพทย์มาด้วย ห่านมาก นี่ฉันจะต้องให้เขาเหยียบชัวร์ๆ แต่โชคดีที่มาเจออาจารย์ดีเช่นกันค่ะ อาจารย์คอยให้แรงเสริมแบบกระตุ้นให้อ่านให้เขียนให้ฟังบ่อยๆ และชอบให้คะแนนติดลบล้านยันชาติหน้า 5555 ระหว่างที่เรียนนั้นก็มีเพื่อนที่เจอร์เอาลัทธินิยมฝรั่งมาปล่อยค่ะ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเห้ยย น่าสนใจนะได้ฝึกภาษากับฝรั่งด้วย แต่เรายังไม่ได้เริ่มชอบฝรั่งค่ะเพราะว่ายังมีแฟนคนไทยอยู่ เราเริ่มเข้าเน็ตค้นหาเว็บที่คุยกับชาวต่างชาติค่ะ ก็เจอทั้งฝรั่งสายดี สายหื่น สายชัก สายเที่ยว สายม่อ ฯ เยอะมากก็เลยพอจะรู้ว่าถ้าอินี่คุยมาสไตล์นี้ควรจะรับมือมันยังไง พอเริ่มมีเพื่อนต่างชาติในเว็บเยอะขึ้น ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าการพูดและการฟังมันน่าจะช่วยให้เราสื่อสารได้มากกว่าการแชทนะ เราจึงเริ่มให้สไกป์กับเพื่อนฝรั่งที่เราไว้ใจและเริ่มเปิดกล้อง แรกๆก็เปิดกล้องแชทแล้วค่อยๆเปิดกล้องคุยค่ะ พอถึงไฟนอลของ eng3 มีทดสอบการฟัง คุณพระ!!! ฉันฟังออก ฉันตอบได้ ถึงจะไม่ได้เต็มทั้งหมด ตอนนั้นแบบ งงงง กรูทำได้ แต่พอมาถึงแกรมมาก็อาจจะยังไม่ค่อยดีนัก จบด้วย C+ ค่ะ ก็ยังดีขึ้นมาอีกหน่อย
พอขึ่นมาปี 3 เพื่อนส่วนใหญ่เลือกที่จะลง Writing แต่เราดิบค่า อยากพัฒนา Speaking & Listening ก็จัดเลยค่ะมีเพื่อนในเจอร์ร่วมอุดมการณ์ไปด้วยอีก 2 คน คือ พ กับ ฝ พอเริ่มเรียนวันแรกก็เริ่มชักจะหวั่นๆละ เพราะอาจารย์ช่างเป็นคุณหญิงเสียเหลือเกินขนาดมีนิสิตไอ ท่านยังบอกให้หยุดไอถ้าไม่หยุดท่านจะไล่ออกไปนอกห้อง (ตึ่ง ตึ่ง ตึ๊ง อะไรของอาจารย์ คือ งง มาก) พอสอบมิดเทอมเสร็จอาจารย์ก็เอาคะแนนขึ้นโชว์และทำไฮไลท์สีเหลืองไว้ที่ชื่อของนิสิตบางคน รายชื่อเหล่านั้นคืออะไรไม่ใช่ท็อปนะจ๊ธ แต่อาจารยื*สั่ง*ให้ไปดร็อปจ้า คือไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น แต่เราโชคดีค่ะคะแนนผ่านมา 3 คะแนน แต่ พ กับ ฝ ไม่ได้ไปต่อ นางสองคนก็คุยกับเราว่าจะเอาไงต่อเพราะอาจารย์คือเผด็จการมาก รอลงเรียนใหม่กับอาจารย์อื่นเถอะอะไรงี้ แต่เราก็สู้ต่อค่ะเพราะไม่อยากเสียเวลา อาจารย์ก็ให้ทำ powerpoint มานำเสนอเรื่องอะไรก็ได้ที่สนใจ เราเลือกหัวข้อประเทศสวีเดนค่ะ (เพราะช่วงนั้นมีคนสวีเดนมาชอบ 5555)
พอถึงวันนำเสนองานคนแรกนำเสนอเสร้จ นิสิตคนอื่นก็ปรบมือให้แต่ทันใดนั้นอาจารย์ก็ ดึงหน้าและเสียงมาทางนิสิตและพูดว่า "ไม่ต้องปรบมือ นี่คือการสอบ" หน้าชากันเลยจ้าาา ช่วงนั้นเป็นอะไรที่แบบนี่คิดผิดหรือถูกวะที่ยังสู้ต่อ เราพยายามที่จะซื้อหนังสือบทสนานา แกรมมา หนังสือนิทานภาษาอังกฤษ นิตยสารภาษาอังกฤษมาอ่านเยอะมาก คือมานับดูมีหนังสือเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเป็นลังๆ แล้วก็ฟังวิทยุภาษาอังกฤษทุกวัน คือก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดหรอกแต่ฟังให้มันผ่านหู เปิดยูทูปฟังเลงฝรั่ง เปิดที่เป็นเนื้อเพลงแล้วร้องตามเพื่อลิ้นจะได้ไม่แข็ง คำไหนไม่รู้ก็เอาไปแปล พยายามสังเกตการใช้คำในเพลงและจากเพื่อฝรั่งที่คุยๆกัน ผ่านไปการสอบไฟนอลก็มาถึง การฟังจะเปิดซ้ำ 2 รอบแต่ sec นี้ไม่จ้าอาจารย์ให้ฟังรอบเดียว จบคือจบ (บรรลัยเกิดแน่ๆ) และในที่สุดเกรดก็ออกมาด้วย D+ เชรรดโด้ มันคืออะไร พอสอบถามจากเพื่อนๆใน sec เดียวกันพบว่ามีแค่คนเดียวที่ได้ A นอกนั้น C, C+, D, D+ จ้าาาา เอาที่อาจารย์สบายใจ
ระหว่างที่เรียนอยู่ช่วงปี 3 นั้นพี่รหัสของเราเขาสอนพิเศษนักเรียน รร สาธิต มก พอดีพี่เขาก็ติดต่อให้เราลองไปสอนนักเรียนชั้น ป.1 ที่นี่เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน เราก็จะเอาไงดีวะ ภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆ แต่ก็สู้ค่ะตัดสินใจโทรไปและนัดเจอกับผู้ปกครองของน้อง คุณแม่น้องก็ให้โอกาสเราก็เลยได้สอนน้องและน้องก็สอนภาษาอังกฤษให้เราบ้างบางที หลายๆครั้งก็ได้เรียนรู้เวลาคุณพ่อคุณแม่น้องมารับ แต่คุณแม่น้องนี่ดีมากคอยช่วยเหลือเราตลอดจนถึงทุกวันนี้
เราเองก็กู้ กยศ ในการเรียนเช่นกันวันนั้นบังเอิญไปที่กองกิจ(กองกิจการนิสิต)เพื่อไปส่งเอกสาร กยศ เลยได้เห็นข่าวทุนว่าบริษัทมิตซูบิชิ จะมอบทุนให้นิสิต มก, ฬ, มธ ในบางคณะซึ่งโชคดีว่ามีคณะสีม่วงของเราด้วย แต่สิ่งที่พีคสุดคือวันนั้นคือวันสุดท้ายการส่งเรียงความและเอกสารขอทุน เรารีบเดินเข้าไปขอเอกสารขอทุนแล้วรีบกลับไปเขียนเรียงความขอทุน(เป็นภาษาอังกฤษ) และจะต้องเอามาส่งก่อน 4 โมงเย็น พยายามเขียนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ กูเกิ้ลทรานสเลทก็มา 5555 แต่ก็ทำเต็มที่แล้วเอาไปส่งที่กองกิจ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์พี่ที่กองกิจก็โทรมาให้เตรียมตัวไปสัมภาษณ์ทุนที่บริษัทมิตซูบิชิ แถวๆสีลม เรานี่ช็อคก็ช็อค ดีใจก็ดีใจ เห้ยยย นี่กรุได้สัมภาษณ์จริงเหรอ
พอถึงวันไปสัมภาณ์ โอ้โห มันแบบเกร็งไปหมด มีคนไทย 2 คน คนญี่ปุ่น 1 คน ก็สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ คำถามไหนที่ฟังไม่ออกรีบยิ้มและส่งสายตาไปหาพี่คนไทยเขาก็พยายามช่วย 5555 พอมาถึงคำถามที่เบรคแตกมากๆคือ ในเอกสารขอทุนเขาถามว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับวิถีชีวิตขิงคนญี่ปุ่น แต่เราแปลผิดค่าคิดว่าเป็น คุณคิดยังไงหากคุณต้องย้ายไปเรียนที่ญี่ปุ่น (ตะลุง ตุ้ง แช่ๆๆๆๆๆ) เขาก็ถามเรามาเลยว่านี่คุณหมายความว่ายังไง เราก็บอกไปตามตรงบอกเป็นภาษาไทยด้วยว่า มันเป็นความเข้าใจผิดของหนูเองค่ะ ก็อธิบายให้เขาฟังว่าเราเข้าใจยังไง พอเสร็จปุ๊บเขาก็ถามว่ามีอะไรจะถามมั้ย เราก็ถามไปว่า กรรมการชอบสัตว์อะไรมากที่สุด 3 อันดับแรกคะ พร้อมเหตุผล หลังจากนั้นเราก็เฉลยว่าสัตว์ตัวแรกหมายถึง ลักษณะคนที่คุณอยากได้มาเป็นคู่ครอง สัตว์ตัวที่สองหมายถึงลักษณะของคุณในสายตาคนอื่นๆ และสัตว์ตัวสุดท้ายหมายถึงลักษณะตัวตนที่แท้จริงของคุณ แล้วก็กราบลาด้วยความคิดที่ว่า กรูไม่ได้แน่นอน
หลังจากนั้นสองสัปดาห์พี่ที่กองกิจโทรมาบอกว่าได้รับทุน ให้เตรียมตัวไปพบเจ้าของทุน เชรดดดดดดดดดดดด เห้ยยย กรุได้ ตอนนั้นแบบดีใจสุดๆมือไม้สั่น และพี่ที่กองกิจก็บอกว่าให้เราเป็นตัวแทนนิสิต มก กล่าวขอบคุณบริษัทมิตซูบิชิ ให้เราร่างคำกล่าวขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษไปให้ดู เราก็เขียนร่างๆไปให้คนสวีเดนที่ชอบเราช่วยเกลาให้รอบแรก หลังจากนั้นก็ให้แม่น้องที่เราสอนพิเศษช่วยเกลาให้อย่างสวยงาม เราก้ฝึกอ่านให้คล่อง อัดเสียงให้เพื่อนฝรั่งฟังและช่วยแก้ไขให้ และแล้ววันรับทุนก็มาถึงนิสิตตัวแทนของ ฬ และ มธ ได้กล่าวขอบคุณก่อนส่วนเราปิดท้าย หัวใจแทบจะเต้นออกมาข้างนอก ตุ๊บๆๆๆๆๆ เหมือนมีใครมาตีกลองในอก แต่ในมราสุดเราได้รับคำชมว่าพูดได้ดีมากๆ โอ้โห ปริ่มมากกก ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว 5555 ดีใจค่ะ
พอขึ้นปี 4 ภาษาอังกฤษเราก็เริ่มดีขึ้น แกรมมาก็ดีขึ้นแต่ไม่ perfect สามารถสื่อสารได้ ฟังพูดของเราดีกว่าอ่านกับเขียน เราก็ยังคุยกับเพื่อนฝรั่งอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกับคนสวรเดนคนนั้นแล้วเพราะว่าเขาเสียชีวิต ช่วงนั้นก็ยังคบกับแฟนคนไทยอยู่แต่ก็เหมือนพ่อมากกว่าแฟน จะไปไหนก็ไม่ให้ไป ฝึกภาษากับฝรั่งก็หาว่าอยากได้แฟนใหม่ บอกตรงๆรำคาญมากเลยคิดในใจนี่ถ้าเลิกกับคนนี้นะก็พอกันทีคนไทย จะไม่เอาอีกละ แล้วมันก็เป็นจริง เราเลิกกับเขาและได้คุยกับคนเบลเยี่ยมซึ่งหน้าตาก็โอเค คุยตลกดีรู้จักกัน 4 เดือนก่อนเขามาไทย เขามาไทยช่วงปลายปีเราก็เค้าท์ดาวที่ข้าวสารด้วยกัน อื้มมหืมม ฟินนน จูบรับปีใหม่ แต่เราเขินไง หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวเกาะพีพีด้วยกัน มันเป็นอะไรที่แบบดีมากๆ ได้เรียนรู้กันและกัน 3 เดือนที่เขาอยู่ไทย เราก็เริ่มฝึกเรียนฝรั่งเสสจ้า ขยันไปอีก แต่พอนางกลับไปเบลเยี่ยมนางเริ่มคุยกับเราน้อยลง เราเลยถามนางว่าตกลงว่าเรื่องของเรามันยังไง นางบอกว่า ถ้าเราเจอคนที่ดีกว่าให้เราไปได้เลยไม่ต้องรอนาง นางเองก็ไม่ค่อยชอบรักทางไกลสักเท่าไร เราฟังแล้วน้ำตาร่วงค่ะ แต่พอมาคิดๆดู เขาพูดในสิ่งที่เขาคิดนะ เขาไม่ได้หลอกเรา เขาบอกเราตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าให้เราเสียใจมากกว่านี้ เราก็โอเค เริ่มคุยกับเขาน้อยลง เลิกเรียนฝรั่งเศสไปเลย พอดีรู้จักกับพี่ที่เขามีสามีอยู่ฝรั่งเศสเขาก็บอกมาประโยคหนึ่ง "คนที่ใช่มักจะมาในช่วงเวลาที่เราเจ็บที่สุด"
หลังจากนั้นเราก็ขึ้น ปี 5 ฝึกสอนที่ รร ม.ปลาย ชื่อดังย่านพญาไท ก็มีฝรั่งสวีเดนส่งข้อความมาในเว็บ www.thaikissies ซึ่งเราก็สมัครไว้เฉยๆแทบไม่ค่อยได้เล่นเลยล่ะ แต่วันนั้นเราเข้าไปเช็คก็อ่านข้อความของเขาสรุปว่าเขาจะมาเที่ยวในเอเชียกับออสเตรเลีย 3 เดือนเลยอยากหาเพื่อนในประเทศนั้นๆไว้ เราก็คุยกับเขาในฐานะเพื่อนเพราะยังเฮิร์ทๆอยู่ ก็เล่าให้เขาฟังเรื่องเรากับไอ้เบลเยี่ยม เขาก็บอกว่าไม่ต้องรอเขาหรอกชีวิตคุณยังต้องเจอคนอีกมากมาย คุยกับคนนี้ไปๆมาๆรู้สึกถูกคอกัน ความคิดและทัศนคติก็คล้ายๆกัน เขาเลยเปลี่ยนแผนจากกว่าจะมาไทยช่วงปลายปี 57 มาเป็น ต้นตุลา 57 เพื่อมาเจอเราก่อนเลย ก็เลยคบกันมาเรื่อยๆพาเขาไปเที่ยว พาไปบ้านเราด้วยจ้าา คืออยากให้ที่บ้านได้รู้จักเพราะอะไรเหรอ เพราะเขาเป็นคนดีเราเลยพาเขาไป ขนาดอิแฟนคนไทยคบกันมาหลายปียังไม่เคยพาไปบ้านเลย แต่ฝรั่งสวีเดนคนนี้เรามั่นใจว่าเขาดีเลยจัดเลยค่ะ พอช่วงตุลาคมปิดเทอมเล็ก เราไม่มีฝึกสอนก็ไปเที่ยวกับเขาที่ภูเก็ตด้วยกัน สนุกมากๆ เขาไม่หล่อนะแต่ยืนยันได้ว่า มหา ที่วัดยังยอมต่อความใจเย็นและความคิดบวกของเขา 555
พอเราเรียนจบก็ตัดสินใจไปสวีเดน 3 เดือน ไปเรียนรู้ชีวิตและรู้จักครอบครัวของเขาด้วยเช่นกัน มันเป็นอะไรที่แบบใช่อ่ะ ครอบครัวของเขาน่ารักมาก เพื่อนๆของเขาก็นิสัยดีเป็นกันเอง เราก็หัดเรียนภาษาสวีดิชไปด้วย พอกลับมาไทยเราก็ได้งานทำเป็นครูที่หัวหิน แฟนเราก็เป็นครูเหมือนกันแต่สอนออนไลน์เลยขอหัวหน้ามาทำงานออนไลน์ที่ไทย 5 เดือน เราก็เลยเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน พาฝรั่งไปเยี่ยมบ้านเราบ่อยๆ แต่พอปิดเทอมเล็กช่วงตุลา เราไปเที่ยวชุมพรเลยไม่ได้กลับบ้าน ยายเราเขาหัวโบราณเขาไม่พอใจที่เราไม่กลับบ้านและเขามารู้ว่าเราอยู่กับฝรั่ง เลยไปกันใหญ่เพราะเขาไม่ชอบการอยู่ก่อนแต่ง บอกเลยว่ายายกริ้ววววววว มากระดับ 100 ฉะนั้นแม่ของแฟนเราเลยมาจากสวีเดนเพื่อมางานรับปริญญาของเราและเลยมาคุยเรื่องงานแต่งงานของเราด้วย ยายเราเขาไม่เคยห้ามหรอกนะว่าจะคบกันแต่เขาแค่อยากให้ทำให้ถูกต้องตามประเพณีก็เท่านั้น และงานแต่งของเราก็มีขึ้นในวันนี่ 29 พ.ย. 58 ค่ะ
ขอบคุณที่อดทนอ่านกันมานะคะ ยาวมากแต่ก็พยายามกระชับสุดแล้วค่ะ ขอบคุณค่าาา