ก่อนอื่นเลย เราขออธิบายคำว่า 'สุกี้น้ำ' ก่อน เป็นคำเรียกที่ใช้พูดถึง ภูต ผี วิญญาณต่างๆ ที่ใช้เรียกกันเฉพาะในกลุ่ม เชียร์หลีดเดอร์ทีม ของคณะหนึ่ง
ในมหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย 5555 ซึ่งรุ่นพี่เป็นผู้คิดคำนี้กันมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ซึ่ง..ก็ไม่รู้ว่ารุ่นไหน เป็นการเอ่ยถึงสิ่งที่มองไม่เห็นเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัวว่าเรากำลังพูดถึงพวกเขาอยู่ จะได้ไม่ต้องมาร่วมวงสนทนาด้วยT.T ใช้ตรรกะง่ายๆคือนินทาใครไม่ให้เขารู้ตัวก็ใช้ชื่ออื่นแทนซะเลย คำว่า'สุกี้น้ำ'เลยได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงรุ่นพวกเราและพวกเราเองก็ยังคงใช้คำนี้บอกเล่าต่อไปยังรุ่นน้องเช่นกัน วะฮ่ะฮะฮ่าาา
เริ่มเลยนะ...บอกก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยเชื่อเรื่อง 'สุกี้น้ำ' เลย จนเราได้จากอ้อมอกแม่ เดินทางมาใช้ชีวิตในรั้วมหา'ลัยด้วยตัวเองครั้งแรกโดยปราศจากคุณแม่คอยเตรียมชุดนักเรียนไว้ให้ทุกเช้า และก่อนหน้านี้ช่วง ม.ปลายเราเคยประสบอุบัติเหตุกับเพื่อนสนิท รถชนเสาไฟฟ้าและเพื่อนเราเสียชีวิตคาที่ขณะที่เรารอดมาโดยไม่มีแม้รอยถลอก(แต่แขนหักกระดูกนิ้วมือแตก) ตอนออกจากโรงพยาบาลกลับมานอนที่บ้านวันแรกเราฝันว่าเพื่อนสนิทเราที่เสียไปมาบอกว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยตอนนั้นในฝันก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเพื่อนขนของมาอยู่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้นอกจากครอบครัวเราก็ไม่มีใครรู้อีกเลย เราก็ใช้ชีวิตปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเราคิดว่าเพราะแม่เราเป็นคนชอบเข้าวัด บูชาพระ เจ้าที่ สวดมนต์ให้เราเป็นประจำ เราเลยไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติขณะที่อยู่บ้านเลย จนเป็นคนไม่เชื่อเรื่อง 'สุกี้น้ำ' ไปเลย
ตอนแรกเริ่มเข้าเรียนที่นี่ มีเรื่องเล่ามากมาย ใต้สะพานเอย หน้าหอในหอเอย หอดูดาว สระน้ำ แม้กระทั่งเสาอาคารเรียน สารพัดผีหลากหลายเวอร์ชั่น ก็ฟังเพื่อความเพลิดเพลินกันไป จนกระทั่ง....มีประสบการณ์เป็นของตัวเอง แต่ ด๊านนนนนน ไม่มีเรื่องไหนที่ตรงกับตำนานหรือเรื่องเล่าที่ฟังมาเลย เอาเป็นว่าเรื่องแรกเลย..
ในขณะที่ความสวยของเราต้องตารุ่นพี่และโดนทาบทามให้ไปเป็นหลีดคณะ (มหา'ลัยเราเรียกสำนักวิชา) ด้วยความที่แอบชอบรุ่นพี่เราเลยยอมไปแต่โดยดี 555 การซ้อมหลีดแต่ละวันผ่านไปด้วยความเหนื่อย ทรมาน แต่แลกกับการได้มองหน้าชายที่ตนชอบ ศรีทนได้ค่ะ!! ช่วงนั้นเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เนื่องจากเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การซ้อมหลีดก็จะทำให้เราเหนื่อยเป็นพิเศษพอร่างกายเราอ่อนเพลีย ..ว่ากันว่า..จะสามารถรับรู้ถึง 'สุกี้น้ำ' ได้ง่ายมากขึ้น ก็เป็นด้ายยยยยยยย!! เราก็เริ่มมีการรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากเราพักอยู่หอใน บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินเสียงเด็กดังจากในห้องน้ำบ้าง เห็นคนนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้องอีกฝากนึงบ้าง แต่ด้วยความที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่อ 'สุกี้น้ำ' บวกกับความเหนื่อยล้าทางร่างกาย การพักผ่อนคือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด แม้ว่ารูมเมทเราจะพิลึกกึกกือแค่ไหนที่ชอบพูดคนเดียวบ้าง เอาขนมน้ำแดงมาวางในห้องบ้าง จุดธูปตรงระเบียงบ้าง แต่ก็มิใช่ปัญหาสำหรับสาวไม่สนใจโลกอย่างเรา จะทำอะไรก็ได้ขออย่ามาเบียดเบียนเราเป็นพอ อ้ออออ!!ลืมบอกไป ... หอพักในจะสำหรับอยู่ 4 คน มีเตียง2 ชั้น 2 เตียง สำหรับ รุ่นพี่ 2 คนและน้องปีหนึ่ง 2 คน พี่เมทเราไม่ค่อยจะสิงห้องเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราจะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนเมทปี 1 ด้วยกันมากกว่า
ในช่วงปี 1 นี่เราค่อนข้างฮอตเลยละ มีเพื่อนต่างคณะมาจีบด้วย แต่นายคนนั้นก็หายไปพร้อมกับประโยคที่ฝากบอกเพื่อนเรามาว่า 'พา..(ชื่อเรา)ไปทำบุญบ้างนะ' แหม๋...ใครจะสนละ !! จีบเราไม่ติดแล้วจะมาหลอกให้เรากลัวหรอ ฝันไปเถอะ !! เราก็ยังใช้ชีวิตปกติของเราไป จนมีเพื่อนที่ซ้อมหลีดด้วยกันมาทักอีกรอบ ' ..(ชื่อเรา) แฟนเรามาเล่าให้ฟัง..ว่า..เอ่อ..เห็นคนมานั่งเฝ้าแกซ้อมหลีดทุกวันเลย' ตอนนั้นตกใจมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงเชื่อยัยเพื่อนคนนี้ไปเกือบ50% แต่มันก็ยังมีคำถามที่เรายังสงสัย ' เฮ้ย.. บ้าหน่าาา ไม่ได้ไปทำไรมาสักหน่อย แล้วแฟนแกรู้ได้ไงว่ามาเฝ้าฉัน อาจจะตามคนอื่นมาก็ได้ ' 'ก็เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งจ้องแต่หน้าแกตลอดเลยอ่ะ.. อี๋ยยย ขนลุก' เมื่อยัยเพื่อนบ้าคนนั้นพูดแบบนั้นเสร็จ คนที่ไม่เชื่อเรื่อง'สุกี้น้ำ' อย่างเราก็ไม่กล้ากลับไปนอนห้องกับรูมเมทที่มีพฤติกรรมแปลกๆด้วยอีกเลย จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงอีก เอาเป็นว่า ไม่กล้านอนบนเตียงคนเดียวดีกว่า เราเลยย้ายสัมโนครัวไปค้างห้องเพื่อนเอกเดียวกันซะเลย เป็นเพื่อนที่ไม่มีเซ้นส์อะไร ไม่กลัวอะไร ก็พลอยทำให้ใจเราสงบด้วย ถึงยังไงเราก็ไม่มีเวลาไปทำบุญอยู่ดี เรียนเช้า-เย็นทุกวัน บวกกับซ้อมหลีดจน 1-5 ทุ่ม กลับมาทำการบ้านต่ออีก แค่นี้ก็ไม่มีเวลาจัดการตัวเองแล้ว เรื่องทำบุญเลยเอาไว้ก่อนละกัน
ด้วยความคิดถึงของเพื่อนโรงเรียนเก่า อุตส่าหาวันหยุดมาเยี่ยมเยือนเพื่อนที่แสนดีอย่างเรา จะเอามาค้างที่ห้องเพื่อนก็ไม่ได้ เอาว๊ะ!! เนรเทสตัวเองกลับห้องสักคืนสองคืนละกัน แต่ใครจะไปรู้หล่ะ แค่คืนสองคืนนั้น ก็เป็นเรื่องเลย!!!
เนื่องจากเพื่อนไม่ได้เจอกันนานความคิดถึงก็ทำให้เรามีเรื่องต้องเม้ามอยกันเยอะมาก กว่าจะได้นอน ปาไปตี2 ตี3 ตอนเช้ามาเพื่อนก็ด๊านนนนน!!มาเล่าเรื่องสยองขวัญแก่ข้าพเจ้าด้วยสิ บทสนทนาต่อไปนี้ สมควรใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างแรงงงงงงง
'เฮ้ย..(ชื่อเรา)เมื่อคืนเพื่อนเมทแกน่ารำคาญมากเลยว่ะ'
'ยังไงว๊ะ???-*-'
'ตื่นมาตี 4 มายืนหันหลังอยู่ปลายเตียง โคตรหลอนเลย แล้วไม่รู้จักนอน สักพักขึ้นไปนั่งบนเตียงชั้นบนแกว่งขาจะโดนหน้ากุอยู่แล้วเว้ย'
อย่างที่บอกไปว่าเตียงในห้องเราเป็นเตียงสองสองชั้น แต่สิ่งที่เราไม่ได้บอกก่อนหน้านี้คือ ช่องไฟตรงที่กั้นเตียงชั้นสอง ถึงมันจะไม่เล็ก แต่ขาเพื่อนเมทเราใหญ่มากกกก เพราะเพื่อนเมทเรา น้ำหนักเกือย 100 กิโลนะค่ะพี่น้อง เรานี่รีบหันไปมองช่องไฟพร้อมกับจิตนาการถึงขนาดขาของเพื่อนเมท OMG มันไม่มีทางใส่เข้าไปได้แน่ๆ หรือถ้าหากพาดขาผ่านที่กั้น มันก็ไม่มีทางยาวลงมาอยู่ตรงระดับที่เพื่อนบอกอยู่ดี เราก็ทำหน้าประมาณว่า ' กุว่ามิงเจอดีแล้วหว่ะเพื่อน ^^' เพื่อนเราก็หน้าซีดเลย แต่เพื่อการปลอบใจเพื่อน พอเพื่อนเมทเราเข้ามาเราก็ถามเป็นการตอกย้ำอีกทีว่าเมื่อคืนได้ทำอะไรเหมือนที่เพื่อนเราบอกหรือเปล่า ปรากฏว่าคำตอบคือไม่ แต่แถมด้วยสิ่งที่เราไม่อยากได้ยินมาด้วยอีก 1 เรื่องคือ เราได้รู้ว่าว่าเพื่อนเมทของเราเลี้ยงกุมารอยู่ ที่นางคุยคนเดียวคือคุยกับน้องกึมารของนาง สิ่งที่นางตั้งไว้ก็สำหรับน้องกุมาร แถมนางยังบอกด้วยว่าเมื่อคืนน้องกุมารของนางมาบอกว่ามีคนมาร้องไห้ บอกว่าม่มีคนทำบุญไปให้ โดยที่ลักษณะท่าทาง รวมถึงเสื้อผ้าที่ใส่ ตรงกับที่เพื่อนเราบอกและตรงกับเพื่อนเราที่เสียไปแล้วด้วย โดยที่เราไม่เคยเล่าเรื่องอุบัติเหตุตอน ม.ปลายให้เพื่อนเมทเราฟังแม่แต่น้อง แต่ที่เธอบรรยายมันตรงทุกอย่างจนเราตกใจ ตอนนั้นเรากลัวปนสงสารจนร้องไห้ออกมาเลย
เล่าเรื่อง 'สุกี้น้ำ'.. (ว่ากันว่าอย่าพูดถึงผี เดี๋ยวผีจะรู้ตัว)
ในมหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย 5555 ซึ่งรุ่นพี่เป็นผู้คิดคำนี้กันมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ซึ่ง..ก็ไม่รู้ว่ารุ่นไหน เป็นการเอ่ยถึงสิ่งที่มองไม่เห็นเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัวว่าเรากำลังพูดถึงพวกเขาอยู่ จะได้ไม่ต้องมาร่วมวงสนทนาด้วยT.T ใช้ตรรกะง่ายๆคือนินทาใครไม่ให้เขารู้ตัวก็ใช้ชื่ออื่นแทนซะเลย คำว่า'สุกี้น้ำ'เลยได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงรุ่นพวกเราและพวกเราเองก็ยังคงใช้คำนี้บอกเล่าต่อไปยังรุ่นน้องเช่นกัน วะฮ่ะฮะฮ่าาา
เริ่มเลยนะ...บอกก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยเชื่อเรื่อง 'สุกี้น้ำ' เลย จนเราได้จากอ้อมอกแม่ เดินทางมาใช้ชีวิตในรั้วมหา'ลัยด้วยตัวเองครั้งแรกโดยปราศจากคุณแม่คอยเตรียมชุดนักเรียนไว้ให้ทุกเช้า และก่อนหน้านี้ช่วง ม.ปลายเราเคยประสบอุบัติเหตุกับเพื่อนสนิท รถชนเสาไฟฟ้าและเพื่อนเราเสียชีวิตคาที่ขณะที่เรารอดมาโดยไม่มีแม้รอยถลอก(แต่แขนหักกระดูกนิ้วมือแตก) ตอนออกจากโรงพยาบาลกลับมานอนที่บ้านวันแรกเราฝันว่าเพื่อนสนิทเราที่เสียไปมาบอกว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยตอนนั้นในฝันก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเพื่อนขนของมาอยู่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้นอกจากครอบครัวเราก็ไม่มีใครรู้อีกเลย เราก็ใช้ชีวิตปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเราคิดว่าเพราะแม่เราเป็นคนชอบเข้าวัด บูชาพระ เจ้าที่ สวดมนต์ให้เราเป็นประจำ เราเลยไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติขณะที่อยู่บ้านเลย จนเป็นคนไม่เชื่อเรื่อง 'สุกี้น้ำ' ไปเลย
ตอนแรกเริ่มเข้าเรียนที่นี่ มีเรื่องเล่ามากมาย ใต้สะพานเอย หน้าหอในหอเอย หอดูดาว สระน้ำ แม้กระทั่งเสาอาคารเรียน สารพัดผีหลากหลายเวอร์ชั่น ก็ฟังเพื่อความเพลิดเพลินกันไป จนกระทั่ง....มีประสบการณ์เป็นของตัวเอง แต่ ด๊านนนนนน ไม่มีเรื่องไหนที่ตรงกับตำนานหรือเรื่องเล่าที่ฟังมาเลย เอาเป็นว่าเรื่องแรกเลย..
ในขณะที่ความสวยของเราต้องตารุ่นพี่และโดนทาบทามให้ไปเป็นหลีดคณะ (มหา'ลัยเราเรียกสำนักวิชา) ด้วยความที่แอบชอบรุ่นพี่เราเลยยอมไปแต่โดยดี 555 การซ้อมหลีดแต่ละวันผ่านไปด้วยความเหนื่อย ทรมาน แต่แลกกับการได้มองหน้าชายที่ตนชอบ ศรีทนได้ค่ะ!! ช่วงนั้นเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เนื่องจากเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การซ้อมหลีดก็จะทำให้เราเหนื่อยเป็นพิเศษพอร่างกายเราอ่อนเพลีย ..ว่ากันว่า..จะสามารถรับรู้ถึง 'สุกี้น้ำ' ได้ง่ายมากขึ้น ก็เป็นด้ายยยยยยยย!! เราก็เริ่มมีการรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากเราพักอยู่หอใน บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินเสียงเด็กดังจากในห้องน้ำบ้าง เห็นคนนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้องอีกฝากนึงบ้าง แต่ด้วยความที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่อ 'สุกี้น้ำ' บวกกับความเหนื่อยล้าทางร่างกาย การพักผ่อนคือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด แม้ว่ารูมเมทเราจะพิลึกกึกกือแค่ไหนที่ชอบพูดคนเดียวบ้าง เอาขนมน้ำแดงมาวางในห้องบ้าง จุดธูปตรงระเบียงบ้าง แต่ก็มิใช่ปัญหาสำหรับสาวไม่สนใจโลกอย่างเรา จะทำอะไรก็ได้ขออย่ามาเบียดเบียนเราเป็นพอ อ้ออออ!!ลืมบอกไป ... หอพักในจะสำหรับอยู่ 4 คน มีเตียง2 ชั้น 2 เตียง สำหรับ รุ่นพี่ 2 คนและน้องปีหนึ่ง 2 คน พี่เมทเราไม่ค่อยจะสิงห้องเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราจะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนเมทปี 1 ด้วยกันมากกว่า
ในช่วงปี 1 นี่เราค่อนข้างฮอตเลยละ มีเพื่อนต่างคณะมาจีบด้วย แต่นายคนนั้นก็หายไปพร้อมกับประโยคที่ฝากบอกเพื่อนเรามาว่า 'พา..(ชื่อเรา)ไปทำบุญบ้างนะ' แหม๋...ใครจะสนละ !! จีบเราไม่ติดแล้วจะมาหลอกให้เรากลัวหรอ ฝันไปเถอะ !! เราก็ยังใช้ชีวิตปกติของเราไป จนมีเพื่อนที่ซ้อมหลีดด้วยกันมาทักอีกรอบ ' ..(ชื่อเรา) แฟนเรามาเล่าให้ฟัง..ว่า..เอ่อ..เห็นคนมานั่งเฝ้าแกซ้อมหลีดทุกวันเลย' ตอนนั้นตกใจมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงเชื่อยัยเพื่อนคนนี้ไปเกือบ50% แต่มันก็ยังมีคำถามที่เรายังสงสัย ' เฮ้ย.. บ้าหน่าาา ไม่ได้ไปทำไรมาสักหน่อย แล้วแฟนแกรู้ได้ไงว่ามาเฝ้าฉัน อาจจะตามคนอื่นมาก็ได้ ' 'ก็เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งจ้องแต่หน้าแกตลอดเลยอ่ะ.. อี๋ยยย ขนลุก' เมื่อยัยเพื่อนบ้าคนนั้นพูดแบบนั้นเสร็จ คนที่ไม่เชื่อเรื่อง'สุกี้น้ำ' อย่างเราก็ไม่กล้ากลับไปนอนห้องกับรูมเมทที่มีพฤติกรรมแปลกๆด้วยอีกเลย จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงอีก เอาเป็นว่า ไม่กล้านอนบนเตียงคนเดียวดีกว่า เราเลยย้ายสัมโนครัวไปค้างห้องเพื่อนเอกเดียวกันซะเลย เป็นเพื่อนที่ไม่มีเซ้นส์อะไร ไม่กลัวอะไร ก็พลอยทำให้ใจเราสงบด้วย ถึงยังไงเราก็ไม่มีเวลาไปทำบุญอยู่ดี เรียนเช้า-เย็นทุกวัน บวกกับซ้อมหลีดจน 1-5 ทุ่ม กลับมาทำการบ้านต่ออีก แค่นี้ก็ไม่มีเวลาจัดการตัวเองแล้ว เรื่องทำบุญเลยเอาไว้ก่อนละกัน
ด้วยความคิดถึงของเพื่อนโรงเรียนเก่า อุตส่าหาวันหยุดมาเยี่ยมเยือนเพื่อนที่แสนดีอย่างเรา จะเอามาค้างที่ห้องเพื่อนก็ไม่ได้ เอาว๊ะ!! เนรเทสตัวเองกลับห้องสักคืนสองคืนละกัน แต่ใครจะไปรู้หล่ะ แค่คืนสองคืนนั้น ก็เป็นเรื่องเลย!!!
เนื่องจากเพื่อนไม่ได้เจอกันนานความคิดถึงก็ทำให้เรามีเรื่องต้องเม้ามอยกันเยอะมาก กว่าจะได้นอน ปาไปตี2 ตี3 ตอนเช้ามาเพื่อนก็ด๊านนนนน!!มาเล่าเรื่องสยองขวัญแก่ข้าพเจ้าด้วยสิ บทสนทนาต่อไปนี้ สมควรใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างแรงงงงงงง
'เฮ้ย..(ชื่อเรา)เมื่อคืนเพื่อนเมทแกน่ารำคาญมากเลยว่ะ'
'ยังไงว๊ะ???-*-'
'ตื่นมาตี 4 มายืนหันหลังอยู่ปลายเตียง โคตรหลอนเลย แล้วไม่รู้จักนอน สักพักขึ้นไปนั่งบนเตียงชั้นบนแกว่งขาจะโดนหน้ากุอยู่แล้วเว้ย'
อย่างที่บอกไปว่าเตียงในห้องเราเป็นเตียงสองสองชั้น แต่สิ่งที่เราไม่ได้บอกก่อนหน้านี้คือ ช่องไฟตรงที่กั้นเตียงชั้นสอง ถึงมันจะไม่เล็ก แต่ขาเพื่อนเมทเราใหญ่มากกกก เพราะเพื่อนเมทเรา น้ำหนักเกือย 100 กิโลนะค่ะพี่น้อง เรานี่รีบหันไปมองช่องไฟพร้อมกับจิตนาการถึงขนาดขาของเพื่อนเมท OMG มันไม่มีทางใส่เข้าไปได้แน่ๆ หรือถ้าหากพาดขาผ่านที่กั้น มันก็ไม่มีทางยาวลงมาอยู่ตรงระดับที่เพื่อนบอกอยู่ดี เราก็ทำหน้าประมาณว่า ' กุว่ามิงเจอดีแล้วหว่ะเพื่อน ^^' เพื่อนเราก็หน้าซีดเลย แต่เพื่อการปลอบใจเพื่อน พอเพื่อนเมทเราเข้ามาเราก็ถามเป็นการตอกย้ำอีกทีว่าเมื่อคืนได้ทำอะไรเหมือนที่เพื่อนเราบอกหรือเปล่า ปรากฏว่าคำตอบคือไม่ แต่แถมด้วยสิ่งที่เราไม่อยากได้ยินมาด้วยอีก 1 เรื่องคือ เราได้รู้ว่าว่าเพื่อนเมทของเราเลี้ยงกุมารอยู่ ที่นางคุยคนเดียวคือคุยกับน้องกึมารของนาง สิ่งที่นางตั้งไว้ก็สำหรับน้องกุมาร แถมนางยังบอกด้วยว่าเมื่อคืนน้องกุมารของนางมาบอกว่ามีคนมาร้องไห้ บอกว่าม่มีคนทำบุญไปให้ โดยที่ลักษณะท่าทาง รวมถึงเสื้อผ้าที่ใส่ ตรงกับที่เพื่อนเราบอกและตรงกับเพื่อนเราที่เสียไปแล้วด้วย โดยที่เราไม่เคยเล่าเรื่องอุบัติเหตุตอน ม.ปลายให้เพื่อนเมทเราฟังแม่แต่น้อง แต่ที่เธอบรรยายมันตรงทุกอย่างจนเราตกใจ ตอนนั้นเรากลัวปนสงสารจนร้องไห้ออกมาเลย