แอแอบรัก ก็ไม่ใช่ จะหลงไหลก็ไม่เชิง
มันคือความประทับใจ + ความเซอร์ไพรส์ให้ใจมันได้กระชุ่มกระชวย นิดๆ
เรื่องของเรื่องคือ.... เมื่อวานในเวลาดึกๆ ของค่ำคืนวันที่ 26/04/16 ผมกะเพื่อนนั่นรู้สึกเบื่อๆ เลยนึกสนุกขับรถจากบ้าน กลับไปที่ ม. เกษตร ศรีราชา ซึ่งปัจจุบันผมกำลังศึกษาอยู่ แต่บ้านกับ ม. นั่นห่างกัน 55 กม. กว่าๆ ซึ่งไม่รู้นึกคิดยังไง หรือมันคงจะว่างจริงๆ ถึงนึกสนุกขับรถไปหาอะไรทำกัน
ขับไปคุยกันไป พอไปถึง อ่าว ( อุทานนะ ไม่ใช่ หมายถึง อ่าวอุดม ) มันก็ประมาณเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ขับรถเพลินไปหน่อย ร้านอาหารที่ให้บริการเครื่องดื่มบริเวณนั้นก็ใกล้ถึงเวลาปิดทำการ เห้อ ไหนๆก็ไหนๆละ ขับมาตั้งไกล แต่อยากชิลซักนิด เราจึงตัดสินใจ ขึ้นไปนั่งเล่นบน " สะพานดาว " สักหน่อย
โดยสถานที่นี้ ผมสามารถนับครั้งการขึ้นมาของผมได้ รวมกันไม่ถึง 5 ครั้งด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับปีการศึกษาอันยาวนานของผม เพราะผมก็ไม่ใช่คนที่ออกแนวใสๆ ซักสักเท่าไหร่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ จะแอบขึ้นมาปาร์ตี้กับเพื่อนซะส่วนใหญ่ ไม่ได้มากับสาวๆ หรือมาปรับทุกข์ แต่อย่างใด
สะพานดาวคือสถานที่ ที่นิสิต ม.เกษตร ทราบกันดี คือที่ที่สุดแสนจะโรแมนติก สามารถมองเห็นวิว ดวงดาวที่ทอดยาวโดย แบล็กกราวเป็น ท้องฟ้าอันมืดยามค่ำคืน และภูเขา ส่วนใหญ่คนที่จะขึ้นกันมา ก็จะมากันเป็นคู่ๆ ชายหญิง นั่งคุย นั่งจีบ กระหนุ่งกระหนิงกัน ดูเป็นความรักที่สดใสดี ส่วนใหญ่จะเป็นนิสิตปีเล็กๆ น้อยๆ เขาจะขึ้นไป กระหนุ่งกระหนิงกัน
แต่ผมกับเพื่อน คือผู้ชายแมนๆ สองคน ที่จะขึ้นไปนั่งชมสะพานดาวอันสุดแสนจะโรแมนติกกัน ไม่รู้ว่าคนบ้าหรือเป็นคนดี ขับรถกันมาไกล๊ไกล ขนลุก....
เอาล่ะ ผมจึงขับรถฝ่าความมืด ขึ้นกันมากับเพื่อน ซึ่งข้างบนเงียบมากกก เงี๊ยบเงียบบบบบ ไม่มีคู่รัก หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ขึ้นมาหาความสุขกันซักหนึ่งอะตอมโมเลกุลกันเลยทีเดียว มีแต่ฝูงสุนัขป่า ผู้หิวโหย อาศัยอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าถิ่นบริเวณนั่น แสงไฟจากไฟซีนอล ทำความตกใจให้ฝูงสุนัขป่า ทำให้มาเดินเขย่งๆ หลบไปนอนที่อื่น
เมื่อได้ จุดที่เราคิดว่าจะปักหลักแล้ว เราสองคนจึงทำการนำ เก้าอี้ที่นำมาจากช่องเก็บสำภาระที่ท้ายรถ มากางนั่งสนธนากัน ซึ่งเป็นการสนธนาที่มาไกลกันซักหน่อย แลัวตลอดระยะทาง 55 กม. ยังคุยกันไม่พอ ?
เห้ย!! ..... ผมอุทานในใจ
" เห้ย!!! " อันนี้อุทานจริงๆ " ผู้หญิงสองคนนั้นมากันตอนไหนวะ ? " ผมถามเพื่อน
มีผู้หญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่ พร้อมกับมีรถจักรยานยนต์ parking nearby they . ( นั่งอยู่ตรงยอดทางขึ้นถนนศรีธรรมเกษตร )
ผมจึงนึกขึ้นในใจ ตอนขับรถขึ้นกันมาไม่เห็นมีใครนั่งอยู่นี่นา หรือ ขี่ตามมาตอนไหนอะ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมสองคนไม่ได้สนใจอะไร ผมสนใจแต่สิ่งที่เพื่อนกับผมจดจ่อกันอยู่ในการสนทนา สักครู่หนึ่งเมื่อผมหันไปมองอีกครั้ง ( ผมป่าวสนใจนะจริงๆ ) สาวสองคนนั่นก็นอนลงกับพื้น นอนดูดาวกันดูมีความสุข ผมจึง.......
หันไปแอบนินทาเป็นการสนธนาสั้นๆ " ดูสองคนนั้นดิ ชิลดีเนอะ ว่าเขาไม่กลัวหรอวะ มากันสองคนเอง น่ากลัวว่ะ คนงานก็เยอะ อันตราย ว่าเขาสวยป่าววะ " ผมเกิดคำถามขึ้นมาซึ่งก็ไม่ได้ต้องการคนตอบ " ไม่สวยหรอกมั้ง อันตราย ดึกๆดื้น ไม่ค่อยมีใครเขาขึ้นมาที่แบบนี่กันในตอนกลางคืนกันหรอกห่*** นี่ก็เที่ยงคืนกว่าๆ ละ " " เออ จริง แต่กูว่า เขาคงอกหักกันว่ะ เลยขึ้นมาปรับทุกข์กันสองคน " " เออ กูก็ว่าอย่างนั้น " และนั่นเป็นการจบสนธนา และลบผู้หญิงสองคนนั้นออกจากสารบบในหัว...
" ปะ .. กลับกัน กลับกัน " ได้เวลากลับของพวกผมสองคน ผมกับเพื่อนทำการสต๊าดรถ คะคะคื่น.. ( เสียงสต๊าตรถ ) " อ้าวเห้ย!! มีอีกคู่ว่ะ " เมื่อแสงไฟหน้ารถส่องกราดไปที่ข้างหน้า คราวนี้มากันเป็นคู่ มีหนึ่งคู่ห่างจากหน้ารถไป 3 เมตร ไม่รู้ว่าพวกเขามากันตอนไหน ผมว่าที่นี้มันดูลึกลับดีเนอะ
นึกจะโผล่มา ก็โผล่ ฮ่าๆๆ
เราสองคนทำการกลับรถ.... และขับผ่านสาวสองคนนั้น ระหว่างกำลังขับผ่าน สาวสองคนนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งผมกับเพื่อนคิดว่า เขากลัวเราจะขับไปเหยียบหัวเขาหรือป่าว แต่เราทั้งสองไม่ได้สนใจ และคิดจะหันไปโฟกัสแต่อย่างใด.......
" อ้าว!! ห่***** " " ประตูปิด
จะลงยัง " ซึ่งขณะนั้นเราสองคนซึ่งไม่ได้ขึ้นไปนานจึงลืมเวลาของการปิดประตูไปโดยสนิทใจ
" เอ้า กลับรถดิ " ( โดยประตูตรงนั้น มีช่องแค่พอให้รถจักรยานยนต์รอดผ่าน แต่สำหรับรถยนต์ ไม่พอแน่นอน ) เราจึงกลับรถ เพื่อไปหาช่องทางออกอื่น โดยเราตัดสินใจจะลงที่ถนนศรีธรรมเกษตร ซึ่งมีสองสาวที่เราคิดว่าคงกำลังมีความสุขกับการดูดาวนอนอยู่...
5 min Later
" ถามเหอะๆ " " ถามจริงหรอวะ " " เออกูว่าต้องถาม " ขณะพูดรถของเราหัวทิ่มลงไปที่เนินเกือบ 45 องศา และอีก 100 เมตร ข้างหน้าก็มีประตูกั้นอยู่เช่นเคย ซึ่งถ้าเราไหลลงไปก็คงคล้ายกับ หนัง Fast&furious ที่โทเนตโต้ กับ โอนอนเนอร์ พุ่งทะลุไปได้อย่างง่ายดาย แต่ไอที่นั่งมามันก็แค่ผู้ชายหน้าบ้านๆ สองคน ซึ่งยังไม่ได้แต่งงานเลย ฮ่าๆๆ จะมาพุ้งทะลุไปได้อย่างไร
" ถามเลย " " ถามดิ " " เอ่อ น้องครับ " ........
ในจังหวะที่ถอยรถ ไฟหน้ารถส่องให้ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน.. หึ๊!! ผมอุทานในใจ ไฟส่องไปที่สาวสองคน แต่ผมก็เห็นแค่เพียงลางๆ แต่ในความคิด หึ๊ยย!!!!
ไม่จริงมั้ง ..
ด้านหน้าปรากฎ สาวสวยสองคน เหยด เข้!!! ขอโทษนะครับ ที่หยาบคาย แต่มันต้องอารมณ์นี้จริงๆ สวยยยมาก ผมแทบอยากจะตบปากตัวเอง กับบทสนธนากันก่อนหน้านี้
ผมสองคนจอดรถไปเทียบเพื่อเปิดกระจกสอบถาม .... และผมพร้อมใส่แว่นสายตาเพื่อขยายความชัดเจนอีกระดับ ( กลายเป็น แ
เหี*** ด้านข้างปรากฏเป็นสาวสวยสองคน มาพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้าดูสดใส ว้าววว
...... พร้อมทั้งให้รายละเอียด ( ขอข้ามเรื่องการสนธนา ) ระหว่างสนธนา สาวทั้งสองคนให้คำแนะนำพันพูดไปยิ้มไป ซึ่งเราสองคนขอบคุณมากครับ ซึ่งวินาทีนั่นเราทั้งคู่ แทบจะอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น แต่.................. เรื่องของเรื่องคือ
เมื่อจบการสนธนาเสร็จและพร้อมได้รับคนแนะนำ จึงขับรถออกมาเพื่อจะไปสู่ทางออก เพื่อนผมก็พูดขึ้น " โห!!! โคตรน่ารักเลยว่ะ ไอเห*** น้องเป็นกันเองจริงๆ " จนมาถึงเพื่อนพูดขึ้นมาว่า " แต่ทำไมตอนแรกน้องเขาก็คุยกับเรายิ้มแย้มดีนะ แต่ทำไมหลังๆ น้องเขาไม่ยิ้มวะ แล้วก็ดึงเอาเสื้อคลุมมาปิด ไปทำหน้าเหวอใส่เค้าป่าวเนี่ย ไปดูนมเขาใช่ป่าววะ "
"อ่าว แล้วเขาทำหน้าบึ้งตอนไหนวะ กูก็เห็นยิ้มแย้มดีออก " ซึ่งแปลว่า ณ เวลานั้น ผมไม่ได้สนใจ สิ่งสวยงามที่แสดงบนใบหน้าน้องเลย แล้วผมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ เหยด เข้!!! ?
" อ่าว ไอห่** ไม่เหวอได้ไงอะ " ขอย้อนกลับไป วินาทีความสุขนั้น ข้างหน้าปรากฏเป็นผู้หญิงสวย ขาว สองคน อีกคนหุ่นดี อย่างกับนางแบบ มากับเสื้อกล้ามตอเว้าเปิดอก ออกแนวสปอต บางๆเบาๆ แบบชิลสีขาว ปนเซ็กซี่นิด มาพร้อมกับเสื้อคลุมสีแดง คือเขาสวยจริงๆ ผมยอมรับเลย ถ้าพูดแบบไออายเลยคือ ผมตกหลุมรักเขาได้เลยล่ะ แต่ประเด็นจุดที่ผมดันไปสนใจผิดจุด คือผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษจริง คือน.. น้องเขาใหญ่มาก และมันแทงเข้าตาพอดี เล่นเอาผมอึ้งไปเลย แล้วคือมันมีบางช๊อตที่ผมตกใจ จนแบบติดตาตรึงใจเลย จนอย่าหาว่าผมทะลึ่งเลยจริงๆ ผมไหว้ล่ะ
ผมพูดกับเพื่อน " ไอห่** น้องเขาสวยขนาดนั้น ดูเสื้อเขาดิ กูอึ้งเลย กูอึ้งเลยจริงๆ " " มันจังหวะนึง น้องเขาเผลอมั้งกูเลย... กูเลย... กูไปมองน. เขาอะดิ เพราะกูอึ้งอยู่ หน้ากูเหวอเลยอะห่า แบบ
ช๊อกสั** ๆๆๆ " คือจังหวะนั้นผมจะบอกผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่มันสะดุดตาจริงๆ อ่ะ ใครเห็นหน้าผมตอนนั้น ผมว่าฮาจริง บวกกับการใส่แว่นด้วยนะ ผมว่า กลายเป็นไอโรคจิต ไปเลยมั้งนั่น
"กลับรถๆ" ซึ่งทางที่สาม ที่น้องเขาแนะนำมาก็ปิดเช่นกัน
" ไปบอกน้องเขาดีกว่า " " เอาดิ เขาจะได้รู้ว่าอีกทางเขาก็ปิด " แต่ลึกๆในใจก็คืออยากจะเจอเธออีกครั้ง ..
เราสองคนจึงรีบขับรถไปให้ถึงจุดนั้น แต่ขณะเอง สาวทั้งสองคนกำลังขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจ และมุ่งหน้าไปที่ทางออกทางแรก...
" อ่าว เขาจะไปไหนกัน ทางนั้นมันปิดนิ หรือว่าทางนั้นเขาไม่ได้ล๊อค " ซึ่งตอนนั้นผมกะเพื่อนยังไม่ทราบว่ามีช่องเล็กๆ ที่พอให้รถจักรยานยนต์ผ่านไปได้ ในใจคือคิดว่า คงไม่ได้ล๊อค เพราะผมทั้งสองคนก็ไม่ได้ลงไปเช็คดูเช่นเดียวกัน
ไปถึงน้องคนหนึ่งกำลังพยายาม เข็นรถจักรยานยนต์ เพื่อเข้าไปในช่องเล็กๆนั้นด้วยความรวดเร็ว ( ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือป่าว ) ผมเลยเกิดความคิดในใจ น้องเขากลัวเราหรือป่าว โกธรเราหรือป่าวน้า แต่สิ่งที่คิดและทำในเวลาเดียวกันคือ " ปะ เราไปช่วยเขาเปิดประตูดีกว่า เผื่อมันจะไม่ได้ล๊อค "
จึงเปิดประตูลงไปช่วยดูอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นจังหวะที่น้องคนนั้นข้ามไปได้พอดี แต่ก็มีน้องที่น่ารักอีกคน ที่ยังอยู่ฝั่งเดียวกันกับพวกผม เดินมาที่เปิดประตูแล้วพยายามจะดูและเปิดให้ " พี่ค่ะ มันล็อคค่ะ พี่สามารถไปลง.......... " น้องให้คำแนะนำที่เราประทับใจเช่นเคย...
และหลังจากนั้น เราก็กลับรถ และย้อนกลับมาลงทางหฤโหดศรีธรรมเกษตร แล้วก็แอบเปิดประตู ( ซึ่งใันได้ล็อคนิ ) และปิดเก็บไว้ที่เดิมอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่ข้างคาอยู่ที่ไม่สามารถปิดมันลงไปได้ตลอดการเดินทางกลับคือ...
" เธอสองคนนั้นคือใคร เขามาทำอะไร ทำไมเขาถึงน่ารักจริงๆ "
ถ้าเรารู้ว่าประตูนั่นไม่ได้ล็อค แล้วเลืออกที่จะลงมาแล้ว ยิ่งถ้าเป็นแบบนั่น เราคงไม่ได้เจอทั้งคน แต่ถ้าย้อนกลับกลับความรู้สึกตอนนี้ ผมอยากจะเลือกที่จะ
" ลงมาตอนนั้นเลยมากกว่า..... "
ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด ไม่ถึง 24 ชม. ที่ผ่านมา แต่ผมอยากจะขอโทษเขาว่า ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขาด้วยสายตา แต่เป็นเพราะมันประทับใจ เอ้ย ไม่ใช่ ผมเหวอเอง มันอึ้งครับ มันอึ้ง แต่ทั้งหมดนี้ก็อยากจะเล่าให้ฟัง ว่ามันตลกดีที่ขับรถ ไปตั้งไกลโดยไม่คิดว่าจะได้อะไร กลับได้สุดยอดความประทับใจแบบนี้
ดาวสองดวง นี้ มันสดใสยิ่งกว่า ดาวทุกดูในค่ำคืนนั้น ณ สะพานดาว ม. เกษตรเสียอีก
ซึ่งถ้าเราได้เจอกันอีก ผมยินดีเลี้ยงอาหารเย็นนะครับ ฮ่าๆๆ
ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านในสิ่งที่ผมเขียนด้วยใจ
ขอบคุณ สะพานดาว ชอบคุณระยะทาง 55 กิโลเมตร
ดาวสองดวงที่สดใสกว่าดวงไหนๆ ณ สะพานดาว ม. เกษตร ศรีราชา
มันคือความประทับใจ + ความเซอร์ไพรส์ให้ใจมันได้กระชุ่มกระชวย นิดๆ
เรื่องของเรื่องคือ.... เมื่อวานในเวลาดึกๆ ของค่ำคืนวันที่ 26/04/16 ผมกะเพื่อนนั่นรู้สึกเบื่อๆ เลยนึกสนุกขับรถจากบ้าน กลับไปที่ ม. เกษตร ศรีราชา ซึ่งปัจจุบันผมกำลังศึกษาอยู่ แต่บ้านกับ ม. นั่นห่างกัน 55 กม. กว่าๆ ซึ่งไม่รู้นึกคิดยังไง หรือมันคงจะว่างจริงๆ ถึงนึกสนุกขับรถไปหาอะไรทำกัน
ขับไปคุยกันไป พอไปถึง อ่าว ( อุทานนะ ไม่ใช่ หมายถึง อ่าวอุดม ) มันก็ประมาณเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ขับรถเพลินไปหน่อย ร้านอาหารที่ให้บริการเครื่องดื่มบริเวณนั้นก็ใกล้ถึงเวลาปิดทำการ เห้อ ไหนๆก็ไหนๆละ ขับมาตั้งไกล แต่อยากชิลซักนิด เราจึงตัดสินใจ ขึ้นไปนั่งเล่นบน " สะพานดาว " สักหน่อย
โดยสถานที่นี้ ผมสามารถนับครั้งการขึ้นมาของผมได้ รวมกันไม่ถึง 5 ครั้งด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับปีการศึกษาอันยาวนานของผม เพราะผมก็ไม่ใช่คนที่ออกแนวใสๆ ซักสักเท่าไหร่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สะพานดาวคือสถานที่ ที่นิสิต ม.เกษตร ทราบกันดี คือที่ที่สุดแสนจะโรแมนติก สามารถมองเห็นวิว ดวงดาวที่ทอดยาวโดย แบล็กกราวเป็น ท้องฟ้าอันมืดยามค่ำคืน และภูเขา ส่วนใหญ่คนที่จะขึ้นกันมา ก็จะมากันเป็นคู่ๆ ชายหญิง นั่งคุย นั่งจีบ กระหนุ่งกระหนิงกัน ดูเป็นความรักที่สดใสดี ส่วนใหญ่จะเป็นนิสิตปีเล็กๆ น้อยๆ เขาจะขึ้นไป กระหนุ่งกระหนิงกัน
แต่ผมกับเพื่อน คือผู้ชายแมนๆ สองคน ที่จะขึ้นไปนั่งชมสะพานดาวอันสุดแสนจะโรแมนติกกัน ไม่รู้ว่าคนบ้าหรือเป็นคนดี ขับรถกันมาไกล๊ไกล ขนลุก....
เอาล่ะ ผมจึงขับรถฝ่าความมืด ขึ้นกันมากับเพื่อน ซึ่งข้างบนเงียบมากกก เงี๊ยบเงียบบบบบ ไม่มีคู่รัก หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ขึ้นมาหาความสุขกันซักหนึ่งอะตอมโมเลกุลกันเลยทีเดียว มีแต่ฝูงสุนัขป่า ผู้หิวโหย อาศัยอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าถิ่นบริเวณนั่น แสงไฟจากไฟซีนอล ทำความตกใจให้ฝูงสุนัขป่า ทำให้มาเดินเขย่งๆ หลบไปนอนที่อื่น
เมื่อได้ จุดที่เราคิดว่าจะปักหลักแล้ว เราสองคนจึงทำการนำ เก้าอี้ที่นำมาจากช่องเก็บสำภาระที่ท้ายรถ มากางนั่งสนธนากัน ซึ่งเป็นการสนธนาที่มาไกลกันซักหน่อย แลัวตลอดระยะทาง 55 กม. ยังคุยกันไม่พอ ?
เห้ย!! ..... ผมอุทานในใจ
" เห้ย!!! " อันนี้อุทานจริงๆ " ผู้หญิงสองคนนั้นมากันตอนไหนวะ ? " ผมถามเพื่อน
มีผู้หญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่ พร้อมกับมีรถจักรยานยนต์ parking nearby they . ( นั่งอยู่ตรงยอดทางขึ้นถนนศรีธรรมเกษตร )
ผมจึงนึกขึ้นในใจ ตอนขับรถขึ้นกันมาไม่เห็นมีใครนั่งอยู่นี่นา หรือ ขี่ตามมาตอนไหนอะ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมสองคนไม่ได้สนใจอะไร ผมสนใจแต่สิ่งที่เพื่อนกับผมจดจ่อกันอยู่ในการสนทนา สักครู่หนึ่งเมื่อผมหันไปมองอีกครั้ง ( ผมป่าวสนใจนะจริงๆ ) สาวสองคนนั่นก็นอนลงกับพื้น นอนดูดาวกันดูมีความสุข ผมจึง.......
หันไปแอบนินทาเป็นการสนธนาสั้นๆ " ดูสองคนนั้นดิ ชิลดีเนอะ ว่าเขาไม่กลัวหรอวะ มากันสองคนเอง น่ากลัวว่ะ คนงานก็เยอะ อันตราย ว่าเขาสวยป่าววะ " ผมเกิดคำถามขึ้นมาซึ่งก็ไม่ได้ต้องการคนตอบ " ไม่สวยหรอกมั้ง อันตราย ดึกๆดื้น ไม่ค่อยมีใครเขาขึ้นมาที่แบบนี่กันในตอนกลางคืนกันหรอกห่*** นี่ก็เที่ยงคืนกว่าๆ ละ " " เออ จริง แต่กูว่า เขาคงอกหักกันว่ะ เลยขึ้นมาปรับทุกข์กันสองคน " " เออ กูก็ว่าอย่างนั้น " และนั่นเป็นการจบสนธนา และลบผู้หญิงสองคนนั้นออกจากสารบบในหัว...
" ปะ .. กลับกัน กลับกัน " ได้เวลากลับของพวกผมสองคน ผมกับเพื่อนทำการสต๊าดรถ คะคะคื่น.. ( เสียงสต๊าตรถ ) " อ้าวเห้ย!! มีอีกคู่ว่ะ " เมื่อแสงไฟหน้ารถส่องกราดไปที่ข้างหน้า คราวนี้มากันเป็นคู่ มีหนึ่งคู่ห่างจากหน้ารถไป 3 เมตร ไม่รู้ว่าพวกเขามากันตอนไหน ผมว่าที่นี้มันดูลึกลับดีเนอะ
นึกจะโผล่มา ก็โผล่ ฮ่าๆๆ
เราสองคนทำการกลับรถ.... และขับผ่านสาวสองคนนั้น ระหว่างกำลังขับผ่าน สาวสองคนนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งผมกับเพื่อนคิดว่า เขากลัวเราจะขับไปเหยียบหัวเขาหรือป่าว แต่เราทั้งสองไม่ได้สนใจ และคิดจะหันไปโฟกัสแต่อย่างใด.......
" อ้าว!! ห่***** " " ประตูปิด จะลงยัง " ซึ่งขณะนั้นเราสองคนซึ่งไม่ได้ขึ้นไปนานจึงลืมเวลาของการปิดประตูไปโดยสนิทใจ
" เอ้า กลับรถดิ " ( โดยประตูตรงนั้น มีช่องแค่พอให้รถจักรยานยนต์รอดผ่าน แต่สำหรับรถยนต์ ไม่พอแน่นอน ) เราจึงกลับรถ เพื่อไปหาช่องทางออกอื่น โดยเราตัดสินใจจะลงที่ถนนศรีธรรมเกษตร ซึ่งมีสองสาวที่เราคิดว่าคงกำลังมีความสุขกับการดูดาวนอนอยู่...
5 min Later
" ถามเหอะๆ " " ถามจริงหรอวะ " " เออกูว่าต้องถาม " ขณะพูดรถของเราหัวทิ่มลงไปที่เนินเกือบ 45 องศา และอีก 100 เมตร ข้างหน้าก็มีประตูกั้นอยู่เช่นเคย ซึ่งถ้าเราไหลลงไปก็คงคล้ายกับ หนัง Fast&furious ที่โทเนตโต้ กับ โอนอนเนอร์ พุ่งทะลุไปได้อย่างง่ายดาย แต่ไอที่นั่งมามันก็แค่ผู้ชายหน้าบ้านๆ สองคน ซึ่งยังไม่ได้แต่งงานเลย ฮ่าๆๆ จะมาพุ้งทะลุไปได้อย่างไร
" ถามเลย " " ถามดิ " " เอ่อ น้องครับ " ........
ในจังหวะที่ถอยรถ ไฟหน้ารถส่องให้ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน.. หึ๊!! ผมอุทานในใจ ไฟส่องไปที่สาวสองคน แต่ผมก็เห็นแค่เพียงลางๆ แต่ในความคิด หึ๊ยย!!!! ไม่จริงมั้ง ..
ด้านหน้าปรากฎ สาวสวยสองคน เหยด เข้!!! ขอโทษนะครับ ที่หยาบคาย แต่มันต้องอารมณ์นี้จริงๆ สวยยยมาก ผมแทบอยากจะตบปากตัวเอง กับบทสนธนากันก่อนหน้านี้
ผมสองคนจอดรถไปเทียบเพื่อเปิดกระจกสอบถาม .... และผมพร้อมใส่แว่นสายตาเพื่อขยายความชัดเจนอีกระดับ ( กลายเป็น แ
เหี*** ด้านข้างปรากฏเป็นสาวสวยสองคน มาพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้าดูสดใส ว้าววว ...... พร้อมทั้งให้รายละเอียด ( ขอข้ามเรื่องการสนธนา ) ระหว่างสนธนา สาวทั้งสองคนให้คำแนะนำพันพูดไปยิ้มไป ซึ่งเราสองคนขอบคุณมากครับ ซึ่งวินาทีนั่นเราทั้งคู่ แทบจะอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น แต่.................. เรื่องของเรื่องคือ
เมื่อจบการสนธนาเสร็จและพร้อมได้รับคนแนะนำ จึงขับรถออกมาเพื่อจะไปสู่ทางออก เพื่อนผมก็พูดขึ้น " โห!!! โคตรน่ารักเลยว่ะ ไอเห*** น้องเป็นกันเองจริงๆ " จนมาถึงเพื่อนพูดขึ้นมาว่า " แต่ทำไมตอนแรกน้องเขาก็คุยกับเรายิ้มแย้มดีนะ แต่ทำไมหลังๆ น้องเขาไม่ยิ้มวะ แล้วก็ดึงเอาเสื้อคลุมมาปิด ไปทำหน้าเหวอใส่เค้าป่าวเนี่ย ไปดูนมเขาใช่ป่าววะ "
"อ่าว แล้วเขาทำหน้าบึ้งตอนไหนวะ กูก็เห็นยิ้มแย้มดีออก " ซึ่งแปลว่า ณ เวลานั้น ผมไม่ได้สนใจ สิ่งสวยงามที่แสดงบนใบหน้าน้องเลย แล้วผมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ เหยด เข้!!! ?
" อ่าว ไอห่** ไม่เหวอได้ไงอะ " ขอย้อนกลับไป วินาทีความสุขนั้น ข้างหน้าปรากฏเป็นผู้หญิงสวย ขาว สองคน อีกคนหุ่นดี อย่างกับนางแบบ มากับเสื้อกล้ามตอเว้าเปิดอก ออกแนวสปอต บางๆเบาๆ แบบชิลสีขาว ปนเซ็กซี่นิด มาพร้อมกับเสื้อคลุมสีแดง คือเขาสวยจริงๆ ผมยอมรับเลย ถ้าพูดแบบไออายเลยคือ ผมตกหลุมรักเขาได้เลยล่ะ แต่ประเด็นจุดที่ผมดันไปสนใจผิดจุด คือผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษจริง คือน.. น้องเขาใหญ่มาก และมันแทงเข้าตาพอดี เล่นเอาผมอึ้งไปเลย แล้วคือมันมีบางช๊อตที่ผมตกใจ จนแบบติดตาตรึงใจเลย จนอย่าหาว่าผมทะลึ่งเลยจริงๆ ผมไหว้ล่ะ
ผมพูดกับเพื่อน " ไอห่** น้องเขาสวยขนาดนั้น ดูเสื้อเขาดิ กูอึ้งเลย กูอึ้งเลยจริงๆ " " มันจังหวะนึง น้องเขาเผลอมั้งกูเลย... กูเลย... กูไปมองน. เขาอะดิ เพราะกูอึ้งอยู่ หน้ากูเหวอเลยอะห่า แบบช๊อกสั** ๆๆๆ " คือจังหวะนั้นผมจะบอกผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่มันสะดุดตาจริงๆ อ่ะ ใครเห็นหน้าผมตอนนั้น ผมว่าฮาจริง บวกกับการใส่แว่นด้วยนะ ผมว่า กลายเป็นไอโรคจิต ไปเลยมั้งนั่น
"กลับรถๆ" ซึ่งทางที่สาม ที่น้องเขาแนะนำมาก็ปิดเช่นกัน
" ไปบอกน้องเขาดีกว่า " " เอาดิ เขาจะได้รู้ว่าอีกทางเขาก็ปิด " แต่ลึกๆในใจก็คืออยากจะเจอเธออีกครั้ง ..
เราสองคนจึงรีบขับรถไปให้ถึงจุดนั้น แต่ขณะเอง สาวทั้งสองคนกำลังขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจ และมุ่งหน้าไปที่ทางออกทางแรก...
" อ่าว เขาจะไปไหนกัน ทางนั้นมันปิดนิ หรือว่าทางนั้นเขาไม่ได้ล๊อค " ซึ่งตอนนั้นผมกะเพื่อนยังไม่ทราบว่ามีช่องเล็กๆ ที่พอให้รถจักรยานยนต์ผ่านไปได้ ในใจคือคิดว่า คงไม่ได้ล๊อค เพราะผมทั้งสองคนก็ไม่ได้ลงไปเช็คดูเช่นเดียวกัน
ไปถึงน้องคนหนึ่งกำลังพยายาม เข็นรถจักรยานยนต์ เพื่อเข้าไปในช่องเล็กๆนั้นด้วยความรวดเร็ว ( ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือป่าว ) ผมเลยเกิดความคิดในใจ น้องเขากลัวเราหรือป่าว โกธรเราหรือป่าวน้า แต่สิ่งที่คิดและทำในเวลาเดียวกันคือ " ปะ เราไปช่วยเขาเปิดประตูดีกว่า เผื่อมันจะไม่ได้ล๊อค " จึงเปิดประตูลงไปช่วยดูอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นจังหวะที่น้องคนนั้นข้ามไปได้พอดี แต่ก็มีน้องที่น่ารักอีกคน ที่ยังอยู่ฝั่งเดียวกันกับพวกผม เดินมาที่เปิดประตูแล้วพยายามจะดูและเปิดให้ " พี่ค่ะ มันล็อคค่ะ พี่สามารถไปลง.......... " น้องให้คำแนะนำที่เราประทับใจเช่นเคย...
และหลังจากนั้น เราก็กลับรถ และย้อนกลับมาลงทางหฤโหดศรีธรรมเกษตร แล้วก็แอบเปิดประตู ( ซึ่งใันได้ล็อคนิ ) และปิดเก็บไว้ที่เดิมอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่ข้างคาอยู่ที่ไม่สามารถปิดมันลงไปได้ตลอดการเดินทางกลับคือ...
" เธอสองคนนั้นคือใคร เขามาทำอะไร ทำไมเขาถึงน่ารักจริงๆ "
ถ้าเรารู้ว่าประตูนั่นไม่ได้ล็อค แล้วเลืออกที่จะลงมาแล้ว ยิ่งถ้าเป็นแบบนั่น เราคงไม่ได้เจอทั้งคน แต่ถ้าย้อนกลับกลับความรู้สึกตอนนี้ ผมอยากจะเลือกที่จะ
" ลงมาตอนนั้นเลยมากกว่า..... "
ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด ไม่ถึง 24 ชม. ที่ผ่านมา แต่ผมอยากจะขอโทษเขาว่า ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขาด้วยสายตา แต่เป็นเพราะมันประทับใจ เอ้ย ไม่ใช่ ผมเหวอเอง มันอึ้งครับ มันอึ้ง แต่ทั้งหมดนี้ก็อยากจะเล่าให้ฟัง ว่ามันตลกดีที่ขับรถ ไปตั้งไกลโดยไม่คิดว่าจะได้อะไร กลับได้สุดยอดความประทับใจแบบนี้
ดาวสองดวง นี้ มันสดใสยิ่งกว่า ดาวทุกดูในค่ำคืนนั้น ณ สะพานดาว ม. เกษตรเสียอีก
ซึ่งถ้าเราได้เจอกันอีก ผมยินดีเลี้ยงอาหารเย็นนะครับ ฮ่าๆๆ
ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านในสิ่งที่ผมเขียนด้วยใจ
ขอบคุณ สะพานดาว ชอบคุณระยะทาง 55 กิโลเมตร