รู้จักกับ ‘มาห์เรซ’ : จาก 'คนเดินดิน' สู่ 'ยอดแข้งพีเอฟเอ'
***************************
จากเจ้าหนุ่มมาดเซอร์ที่ไร้ซึ่งผู้คนใส่ใจกระทั่งชื่อเสียงเรียงนามก็ยังมิอยากได้ยิน ให้หลังเพียง 2 ปีเศษ ไม่มีใครไม่รู้จัก “ริยาด มาห์เรซ” อีกต่อไป ...
ถึงตอนนี้ปีกตัวเก่งทีมชาติแอลจีเรียได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของรางวัล 'นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี' ของอังกฤษอย่างเป็นทางการ ..
บางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ...ในวันที่เป็นปุถุชนคนธรรมดาย่อมไม่แปลกที่ใครต่อใครจะหมางเมิน ทว่าในวันที่สปอร์ตไลท์ต่างสาดส่องช่วงชีวิตของเจ้าตัวราวกับ “เซเลป” ที่ทุกสายตาต่างจับจ้องปานจะกลืนกิน
เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวว่า ฮอลลีวูดเตรียมที่จะจับเรื่องราวดั่งนิยายของ เจมี่ วาร์ดี้ มาทำสารคดีชีวิต แต่จะว่าไปแล้ว สตอรี่ของ “ริยาด มาห์เรซ” กับเส้นทางอาชีพค้าแข้งก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ..
กว่าจะมีวันนี้ได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะล่วงรู้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ปีกทีมชาติแอลจีเรียเคยหวิดไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยเหตุเพียง “ตัวเล็กเกินไป”
ใครจะรู้กันเล่าว่า กว่าจะสร้างชื่อจนบิ๊กทีมของยุโรปจับจ้องตาไปมันส์เช่นนี้ เจ้าตัวต้องผ่านความขมขื่นในชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าชีวิตของ “เจมี่ วาร์ดี้” ทำให้ใครต่อใครต่างต้องทึ่งกับความมหัศจรรย์ที่บังเกิด ..
ผมเชื่อว่า เรื่องราวของชายที่ชื่อ “ริยาด มาห์เรซ” ..
ก็น่าทำให้หลายฝ่ายต้อง “อ้าปากค้าง” เช่นกัน
********************
‘ชีวิตที่แสนทรหด’
‘21 กุมภาพันธ์ 1991’ คือวันที่เด็กชาย ‘ริยาด’ ลืมตาดูโลกอย่างเป็นทางการ ..
ก็เหมือนกับเด็กอพยพจากแอฟริกาทั่วไป ในวัยเด็กช่วงชีวิตของ มาห์เรซ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การที่พ่อเป็นแอลจีเรีย-แม่เป็นชาวโมร็อกโกทว่ากลับเกิดที่ฝรั่งเศสย่อมไม่แปลกที่จะทำให้เรื่องราวของเจ้าตัวผิดแผกไปจากผู้อื่นซักหน่อย
แต่ในขณะที่หลายคนมียอดแข้งอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน, โรนัลโด้ เป็นไอดอล .. มาห์เรซ กลับมีเพียง “พ่อของตนเอง” ที่เปรียบดั่ง “แสงนำพา” ให้มาเป็นพ่อค้าแข้งอาชีพดั่งทุกวันนี้ ..
“ พ่อของผมอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด เขาเปรียบดั่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเป็นนักบอลอาชีพ เขาสนับสนุนผมเสมอมา และ การที่ผมมาเป็นพ่อค้าแข้งดั่งทุกวันนี้ก็เพื่อเติมเต็มความฝันให้เขา ”
ทว่าเส้นทางแห่งฝันไม่ได้มาง่ายๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแข้งวัย 25 ปีต้องพบกับอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน พ่อที่เปรียบดั่ง ‘กล่องดวงใจ’ ต้องมาสิ้นชีวิตจากไปด้วยโรคหัวจิตใจ เมื่อตอนอายุ 15 ปี
ครั้นหนทางก็ใช่ว่าจะสวยหรู หลังครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยหวิดปล่อยตัวจากสโมสรท้องถิ่นทางตอนเหนือของปารีสฯ
ด้วยเหตุเพียง “ตัวเล็กเกินไป” ..
“ พวกเขาต่างบอกว่า ผมทั้งตัวเล็ก และ ผอมเกินไป .. แม้ผมจะคิดว่า ผมอาจจะไม่ใช่เด็กที่มีความเร็วแต่ว่ามีเทคนิคเข้ามาทดแทน แต่นั่นก็มิอาจปิดบังความจริงที่ว่า ร่างกายของผม “บอบบาง” เกินกว่าจะเป็นนักบอลอาชีพ”
โลกแห่งความจริงช่างโหดร้ายเสมอ และแล้วในปี 2009 ฝันของปีก “จิ้งจอกสยาม” ก็แทบสลาย ทีมท้องถิ่นอย่าง ซาร์เซลเล่ส์ จัดการไม่ต่อสัญญาเจ้าตัว นั้นทำให้อนาคตของดาวรุ่งวัยกระเตาะสุดเคว้งคว้าง
โมฮาเหม็ด กูลิบาลี่ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของซานเซลเล่ส์ได้บอกครับว่า แม้จะชื่นชอบทัศนคติของ มาห์เรซ มากเพียงใด แต่ก็มิอาจชุบตัวแข้งจากแอฟริการายนี้ได้ ..
เนื่องจาก "ความขี้โรค" ของเจ้าตัวนั่นเอง
" เขาเป็นหนุ่มที่มีเลือดนักสู้อยู่ในตัว และ ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา คุณจะเห็นได้จากฟอร์มในสนามว่า เขาไม่เคยกลัวที่จะเลี้ยงฝ่าคู่ต่อสู้เลย"
" อย่างไรก็ตามแม้ผมจะคิดว่า เขามีดีมากกว่าที่มีแค่เทคนิค ทว่าผมก็ไม่อาจให้เขาร่วมทีมได้จริงๆ ณ เวลานั้น มาห์เรซ มักอ่อนแอ และ เจ็บป่วยบอก พูดง่ายๆก็คือ ชายขี้โรค นั่นแหละ"
ราวกับชีวิตช่างสิ้นหวัง มาห์เรซเกือบจะหันเหกลับไปร่ำเรียนต่ออยู่แล้ว กระทั่งเป็น ก็องเปร์ ทีมนอกลีกแดนน้ำหอมที่ตัดสินใจชุบชีวิตเจ้าตัวให้กลับมาเกิดอีกครั้ง
“ พวกเขาบอกกับผมว่า ‘ด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างเล็ก .. ดังนั้นคุณต้องเล่น และ แสดงให้เราเห็นซะก่อนจึงจะได้เซ็นสัญญา’ มันช่างตลกมาก แต่ผมไม่เคยใส่ใจสิ่งที่พวกเขาพูดเลยนะ”
“ ผมเชื่อมั่นในความสามารถของตนเสมอมา ผมเชื่อว่า พระเจ้าให้พรสวรรค์ด้านนี้กับผมมาตั้งแต่เกิด สิ่งสำคัญก็คือ ผมแค่ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก แล้วโชว์ฝีเท้าออกมาให้โลกได้รับรู้”
ก็คงจะจริงอย่างที่ มาห์เรซ ว่า .. ให้หลังไม่ถึงปี แม้ทั่วโลกจะยังไม่ตระหนักถึงความเก่งกาจของเจ้าตัว ทว่าสุดท้ายด้วยพรสวรรค์ที่มีก็ไปเตะตา เลอ อาฟร์ ทีม ลีก เดอซ์ ฝรั่งเศส จนได้
และนั่นก็ทำให้ชีวิตของปีกจากแดนอาหรับ ’เปลี่ยนแปลง’ ไปตลอดกาล ..
********************
‘แจ้งเกิดเต็มตัว’
เราอาจเคยเห็นเรื่องราวชีวิตของเหล่าคนดังที่กว่าจะประสบความสำเร็จ ปูมิหลังของเขาย่อมไม่ได้กระโจนขึ้นมาง่ายๆ กว่าจะมาเป็น สตีฟ จ็อบส์ ย่อมเคยผ่านรสชาติอันขมขื่นของการ “โดนไล่ออก” จากบริษัท กว่าจะมาเป็น “ไอน์สไตน์” ย่อมเคยโดนครูที่โรงเรียนกล่าวขานว่า “เซ่อซ่า” ..
ครับ .. กับ มาห์เรซ เองก็ไม่ต่างกัน กว่าเจ้าตัวจะมีทุกวันนี้ต้องใช้เวลากว่า 3 ปีในการไต่เต้า จากทีมสำรองของ เลอ อาฟร์ มาสู่ “ตัวจริง” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้ง มาร์กเซย์ และ ปารีสฯ ต่างสนไปรับเลี้ยงทว่าก็กลับเป็นเจ้าตัวที่ปฏิเสธ 2 บิ๊กทีมไปแบบ ‘ไม่ใยดี’ ..
“ ผมเริ่มต้นด้วยการเล่นให้กับทีมสำรองของทีมพร้อมซัลโว และ แอสซิสต์ กว่า 15 ลูกแต่ก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแลซักที ในเวลานั้นเพื่อนของผมต่างบอกว่า ‘นายพลาดแล้วที่เลือกมา เลอ อาฟร์ แทนที่จะไปปารีสฯ’ ทว่าในหัวของผมเชื่อสุดใจเสมอว่า ผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว ”
“ ผมเคยทราบมาก่อนว่า เลอ อาฟร์ ชอบให้โอกาสดาวรุ่งนั้นทำให้ผมเลือกพวกเขา บางทีถ้าผมไป มาร์กเซย์ หรือ เปแอสเช กระทั่งทีมสำรองผมอาจจะไม่ได้เล่นก็ได้ใครจะไปรู้ ”
รสชาติของความอดทนช่างหอมหวานเสมอ ในปี 2013 แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง .. หลังโลดแล่นกับทีมสำรองอยู่นานในที่สุด เลอ อาฟร์ ก็ตัดสินใจดันเจ้าตัวขึ้นชุดใหญ่จนได้
อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่เล่นกับทีมกว่า 60 นัด มาห์เรซ กลับสอยตาข่ายให้ชุดใหญ่ได้เพียง 6 ลูกทั้งที่ก่อนหน้านี้ในเยาวชนซัลโวไปถึง 25 ประตู ..
เรื่องนี้เจ้าตัวก็ไม่พลาดที่จะแก้ต่างครับว่า เป็นเพราะ “บอลอุด” ของลีก เดอซ์ ที่ทำให้ตนยิงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น..
“ ในลีก เดอซ์ ดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศส พวกเรามักจะเน้นเกมรับกัน ทุกทีมดูราวกับเล่นเพื่อสกอร์ 0-0 มันจึงเป็นเรื่องยากที่ใครซักคนจะทำสกอร์ได้ถล่มทลาย”
ทว่าแม้ผลงานจะไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้าง แต่ขึ้นชื่อว่าเพชรแล้ว .. “อยู่ที่ไหนก็เจิดจรัส” เดือน ม.ค. 2014 ชีวิตของเจ้าตัวถึงคราวพลิกผันอีกรอบหลังถูก เลสเตอร์ ทีมซึ่งนำพา มาห์เรซ ให้โด่งดังเป็นพลุแตกในเวลาต่อมาจัดการเซ็นสัญญา ..
และนั่นทำให้แข้งวัย 25 ปี ต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความฝัน .. ‘ที่ยากจะลืมเลือน’
*******************
‘ ปีที่น่าจดจำ’
ก็เช่นเคยดั่งเมื่อครั้งย้ายสู่ เลอ อาฟร์ ภายหลังย้ายซบ “จิ้งจอกสยาม” ที่กำลังเล่นในชปช. เจ้าตัวก็ต้องเผชิญกับคำท้วงติงมากมาย ด้วยเหตุผลทางด้าน ‘รูปร่าง’ เช่นเดิม ..
“ ชีวิตของผมก็เป็นเช่นนี้ล่ะ .. ค่อยๆก้าวไปทีละสเต็ป” มาห์เรซ์ร่ายความหลัง “ ในตอนที่ผมย้ายมาเลสเตอร์ใหม่ๆผมต้องเผชิญกับคำดูถูกเหมือนเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทุกคนต่างบอกว่า ‘มาห์เรซ .. นายพลาดแล้ว ลีกอังกฤษมักใช้แต่พละกำลัง นายควรไปเล่นสเปนซะมากกว่า แต่เอเย่นต์ยืนกรานกับผมว่า ถ้าอยากแจ้งเกิดก็ให้เลือกไปอังกฤษดีกว่า ”
บางทีดาวเตะตัวจี๊ดน่าไปขอบคุณเอเย่นต์พร้อมจัดเงินให้งามๆ เพราะ ถึงตรงนี้ กับฤดูกาลล่าสุดด้วยผลงานผลงาน 17 ประตูพร้อมแอสซิสต์อีก 11 ครั้ง ย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ‘ริยาด มาห์เรซ’ อีกต่อไป
ถึงตรงนี้พ่อค้าแข้งวัย 24 ปีกลายเป็นดาวเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ นี่คือรางวัลที่ เวย์น รูนีย์ และ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ต่างถวิลหา นี่คือรางวัลที่พ่อค้าแข้งทั้งหลายต่างใครจับจอง
แต่แล้ว "มาห์เรซ" กลับเป็นตัวแทนของเหล่าสามัญชนคนธรรมดาที่ทำสำเร็จ ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังโด่งดังเป็นพลุแตก จากการเปิดเผยของ “เดอะ ซัน” ชื่อของ ‘มาห์เรซ’ กลายเป็นพ่อค้าแข้งอันดับ 2 ของทีมที่แฟนบอล “สุนัขจิ้งจอก” ต่างสกรีนชื่อบนเสื้อด้านหลังประดับพร้อมเบอร์
ทว่าแม้จะโด่งดังจนฉุดไม่อยู่ แต่ มาห์เรซ ก็ไม่ลืมที่จะยกยอให้เครดิตโค้ช รานิเอรี่ รวมถึง ไนเจล เพียร์สัน ที่ทำให้เจ้าตัวมีวันนี้ ..
“ กับรานิเอรี่ เขาให้อิสระในการเล่นของผม และ วาร์ดี้ นั่นทำให้เราทั้งสองต่างมีความมั่นใจในทุกครั้งที่ลงเล่น ส่วน ไนเจล เขาเปรียบดั่งพ่อคนที่สองของผม บางครั้งเขาอาจตะโกนด่าผมตามสไตล์ไปบ้าง แต่ทุกคำพูดของเขาล้วนทำให้ผมพัฒนา เขาเป็นคนนำผมมา ณ ที่แห่งนี้ และ ทำให้ผมมีทุกวันนี้”
นับเป็นช่วงเวลาราวกับฝัน .. ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ครับที่จากชายหนุ่มผู้อพยพกำพร้าพ่อมาตั้งแต่วัยเยาว์จะได้เดินตามฝันพร้อมเล่นอยู่กับลีกที่เร้าใจที่สุดในโลกอย่าง ‘พรีเมียร์ลีก’ อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกชนิดที่น้อยคนที่จะทำได้ ..
กระนั้นต่อให้แต้มจะห่างสเปอร์สถึง 8 คะแนน ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงความถ่อมตัวไว้เสมอ พร้อมได้แต่ส่ายหัวอันเป็นการส่งสัญญาณให้เราได้รับทราบว่า “ซีซั่นนี้ยังไม่จบ”
แม้จะเหลืออีกเพียง 3 นัด ทว่าหนทางยังคงอีกไกลกว่าที่จะสรุปได้ว่าทีมใดจะถึงฝั่งฝัน เช่นเดียวกับฟอร์มการเล่นที่เจ้าตัวได้บอกว่า ยังคงมีงานหนักอีกมากที่ต้องทำ ..
เพราะ กับผลงานเท่านี้ “ ยังคงไม่เพียงพอ”
ถึงตรงนี้ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว มหากาพย์ เลสเตอร์ จะจบลงเช่นไร แต่เชื่อได้เลยครับว่า ต่อให้จะสุข หรือ เศร้า ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ ‘น่าจดจำสุด’ ในชีวิตของเจ้าตัว ชื่อของ ริยาด มาห์เรซ จะกลายเป็นประเด็นร้อนตลาดลูกหนังโลกในช่วงซัมเมอร์นี้อย่างแน่นอน
เรื่องราวที่ผ่านมาของแข้งวัย 25 ปี ช่างราวกับนิยาย แต่ถึงกระนั้น มาห์เรซ ก็ยืนยันว่า ในห้วงชีวิตที่ตนเองต้องฝ่าฟันมาทั้งหมดไม่ใช่พรหมลิขิต หรือ เรื่องบังเอิญ มันคือเส้นทางที่ “พระเจ้า” นั้นกำหนดไว้แล้ว ..
“ ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล การสิ้นชีวิตของพ่อทำให้ผมจริงจังกับชีวิตมากขึ้น สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ศรัทธาในทางเลือกของพระเจ้า และ มั่นใจในทุกสิ่งที่ทำ” ..
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วคุณพ่อจะรับรู้ถึงความสำเร็จหรือไม่ แต่เชื่อผมเถอะครับ ถึงวันนี้เจ้าตัวต่างทำให้ครอบครัวที่บ้าน และ คนที่เหลืออยู่นั้นภูมิใจ
แม้ มาห์เรซจะเอ่ยว่า ที่ตนมีวันนี้ก็เพราะพ่อ แต่ถึงตรงนี้ก็นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง เป็นพรสวรรค์ และ ความมุมานะของเจ้าตัวต่างหากที่ทำให้ฝันที่เคยวาดฝันนั้นสำเร็จ ..
และไม่ว่ากับซีซั่นหน้า มาห์เรซ จะอยู่กับเลสเตอร์ ต่อหรือไม่ ผมเชื่อครับว่า เส้นทางของเจ้าตัวจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ..
เพราะ ด้วยศักยภาพที่มี กับที่กำลังร่ายเวทมนตร์ในสนามอยู่ .. ‘นี่ยังไม่ถึงขีดสุด’
และพระเจ้าย่อมเมตตากับคนที่กตัญญูต่อ ‘ผู้มีพระคุณ’ อย่างแน่นอน
และนี่ก็คือ เรื่องราวชีวิตของ ‘ริยาด มาห์เรซ’ ที่น่าเป็นแรงบันดาลใจให้หลายต่อหลายคน ไม่จำเป็นครับที่คนที่เก่งกาจจะอยู่รอดบนโลกใบนี้เสมอไป ..
บางที “พลังแห่งความเชื่อ” และ “ศรัทธา” ก็ทำให้เรามีตัวตนบนโลกใบนี้ได้ ..
เหมือนดั่ง มาห์เรซ .. ‘ชายผู้ไม่เคยย่อท้อต่อ’โชคชะตา
พร้อมมีคุณพ่อ .. ‘เป็นแสงนำพา
- มาสเตอร์ ริท
*************
ฝากเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับฟุตบอลเขียนไปก็ได้รับอรรถรสในการรับชมไป ถ้าชอบสามารถเข้าไปติดตาม หรือ กดถูกใจกันได้นะครับที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/MasterReed.1992/ จะพยายามเอามาลงให้รับชมเรื่อยๆจ้า ติ-ชมกันได้ครับ
รู้จักกับ ‘ริยาด มาห์เรซ’ : 'กว่าจะมีวันนี้'
***************************
จากเจ้าหนุ่มมาดเซอร์ที่ไร้ซึ่งผู้คนใส่ใจกระทั่งชื่อเสียงเรียงนามก็ยังมิอยากได้ยิน ให้หลังเพียง 2 ปีเศษ ไม่มีใครไม่รู้จัก “ริยาด มาห์เรซ” อีกต่อไป ...
ถึงตอนนี้ปีกตัวเก่งทีมชาติแอลจีเรียได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของรางวัล 'นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี' ของอังกฤษอย่างเป็นทางการ ..
บางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ...ในวันที่เป็นปุถุชนคนธรรมดาย่อมไม่แปลกที่ใครต่อใครจะหมางเมิน ทว่าในวันที่สปอร์ตไลท์ต่างสาดส่องช่วงชีวิตของเจ้าตัวราวกับ “เซเลป” ที่ทุกสายตาต่างจับจ้องปานจะกลืนกิน
เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวว่า ฮอลลีวูดเตรียมที่จะจับเรื่องราวดั่งนิยายของ เจมี่ วาร์ดี้ มาทำสารคดีชีวิต แต่จะว่าไปแล้ว สตอรี่ของ “ริยาด มาห์เรซ” กับเส้นทางอาชีพค้าแข้งก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ..
กว่าจะมีวันนี้ได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะล่วงรู้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ปีกทีมชาติแอลจีเรียเคยหวิดไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยเหตุเพียง “ตัวเล็กเกินไป”
ใครจะรู้กันเล่าว่า กว่าจะสร้างชื่อจนบิ๊กทีมของยุโรปจับจ้องตาไปมันส์เช่นนี้ เจ้าตัวต้องผ่านความขมขื่นในชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าชีวิตของ “เจมี่ วาร์ดี้” ทำให้ใครต่อใครต่างต้องทึ่งกับความมหัศจรรย์ที่บังเกิด ..
ผมเชื่อว่า เรื่องราวของชายที่ชื่อ “ริยาด มาห์เรซ” ..
ก็น่าทำให้หลายฝ่ายต้อง “อ้าปากค้าง” เช่นกัน
********************
‘ชีวิตที่แสนทรหด’
‘21 กุมภาพันธ์ 1991’ คือวันที่เด็กชาย ‘ริยาด’ ลืมตาดูโลกอย่างเป็นทางการ ..
ก็เหมือนกับเด็กอพยพจากแอฟริกาทั่วไป ในวัยเด็กช่วงชีวิตของ มาห์เรซ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การที่พ่อเป็นแอลจีเรีย-แม่เป็นชาวโมร็อกโกทว่ากลับเกิดที่ฝรั่งเศสย่อมไม่แปลกที่จะทำให้เรื่องราวของเจ้าตัวผิดแผกไปจากผู้อื่นซักหน่อย
แต่ในขณะที่หลายคนมียอดแข้งอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน, โรนัลโด้ เป็นไอดอล .. มาห์เรซ กลับมีเพียง “พ่อของตนเอง” ที่เปรียบดั่ง “แสงนำพา” ให้มาเป็นพ่อค้าแข้งอาชีพดั่งทุกวันนี้ ..
“ พ่อของผมอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด เขาเปรียบดั่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเป็นนักบอลอาชีพ เขาสนับสนุนผมเสมอมา และ การที่ผมมาเป็นพ่อค้าแข้งดั่งทุกวันนี้ก็เพื่อเติมเต็มความฝันให้เขา ”
ทว่าเส้นทางแห่งฝันไม่ได้มาง่ายๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแข้งวัย 25 ปีต้องพบกับอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน พ่อที่เปรียบดั่ง ‘กล่องดวงใจ’ ต้องมาสิ้นชีวิตจากไปด้วยโรคหัวจิตใจ เมื่อตอนอายุ 15 ปี
ครั้นหนทางก็ใช่ว่าจะสวยหรู หลังครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยหวิดปล่อยตัวจากสโมสรท้องถิ่นทางตอนเหนือของปารีสฯ
ด้วยเหตุเพียง “ตัวเล็กเกินไป” ..
“ พวกเขาต่างบอกว่า ผมทั้งตัวเล็ก และ ผอมเกินไป .. แม้ผมจะคิดว่า ผมอาจจะไม่ใช่เด็กที่มีความเร็วแต่ว่ามีเทคนิคเข้ามาทดแทน แต่นั่นก็มิอาจปิดบังความจริงที่ว่า ร่างกายของผม “บอบบาง” เกินกว่าจะเป็นนักบอลอาชีพ”
โลกแห่งความจริงช่างโหดร้ายเสมอ และแล้วในปี 2009 ฝันของปีก “จิ้งจอกสยาม” ก็แทบสลาย ทีมท้องถิ่นอย่าง ซาร์เซลเล่ส์ จัดการไม่ต่อสัญญาเจ้าตัว นั้นทำให้อนาคตของดาวรุ่งวัยกระเตาะสุดเคว้งคว้าง
โมฮาเหม็ด กูลิบาลี่ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของซานเซลเล่ส์ได้บอกครับว่า แม้จะชื่นชอบทัศนคติของ มาห์เรซ มากเพียงใด แต่ก็มิอาจชุบตัวแข้งจากแอฟริการายนี้ได้ ..
เนื่องจาก "ความขี้โรค" ของเจ้าตัวนั่นเอง
" เขาเป็นหนุ่มที่มีเลือดนักสู้อยู่ในตัว และ ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา คุณจะเห็นได้จากฟอร์มในสนามว่า เขาไม่เคยกลัวที่จะเลี้ยงฝ่าคู่ต่อสู้เลย"
" อย่างไรก็ตามแม้ผมจะคิดว่า เขามีดีมากกว่าที่มีแค่เทคนิค ทว่าผมก็ไม่อาจให้เขาร่วมทีมได้จริงๆ ณ เวลานั้น มาห์เรซ มักอ่อนแอ และ เจ็บป่วยบอก พูดง่ายๆก็คือ ชายขี้โรค นั่นแหละ"
ราวกับชีวิตช่างสิ้นหวัง มาห์เรซเกือบจะหันเหกลับไปร่ำเรียนต่ออยู่แล้ว กระทั่งเป็น ก็องเปร์ ทีมนอกลีกแดนน้ำหอมที่ตัดสินใจชุบชีวิตเจ้าตัวให้กลับมาเกิดอีกครั้ง
“ พวกเขาบอกกับผมว่า ‘ด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างเล็ก .. ดังนั้นคุณต้องเล่น และ แสดงให้เราเห็นซะก่อนจึงจะได้เซ็นสัญญา’ มันช่างตลกมาก แต่ผมไม่เคยใส่ใจสิ่งที่พวกเขาพูดเลยนะ”
“ ผมเชื่อมั่นในความสามารถของตนเสมอมา ผมเชื่อว่า พระเจ้าให้พรสวรรค์ด้านนี้กับผมมาตั้งแต่เกิด สิ่งสำคัญก็คือ ผมแค่ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก แล้วโชว์ฝีเท้าออกมาให้โลกได้รับรู้”
ก็คงจะจริงอย่างที่ มาห์เรซ ว่า .. ให้หลังไม่ถึงปี แม้ทั่วโลกจะยังไม่ตระหนักถึงความเก่งกาจของเจ้าตัว ทว่าสุดท้ายด้วยพรสวรรค์ที่มีก็ไปเตะตา เลอ อาฟร์ ทีม ลีก เดอซ์ ฝรั่งเศส จนได้
และนั่นก็ทำให้ชีวิตของปีกจากแดนอาหรับ ’เปลี่ยนแปลง’ ไปตลอดกาล ..
********************
‘แจ้งเกิดเต็มตัว’
เราอาจเคยเห็นเรื่องราวชีวิตของเหล่าคนดังที่กว่าจะประสบความสำเร็จ ปูมิหลังของเขาย่อมไม่ได้กระโจนขึ้นมาง่ายๆ กว่าจะมาเป็น สตีฟ จ็อบส์ ย่อมเคยผ่านรสชาติอันขมขื่นของการ “โดนไล่ออก” จากบริษัท กว่าจะมาเป็น “ไอน์สไตน์” ย่อมเคยโดนครูที่โรงเรียนกล่าวขานว่า “เซ่อซ่า” ..
ครับ .. กับ มาห์เรซ เองก็ไม่ต่างกัน กว่าเจ้าตัวจะมีทุกวันนี้ต้องใช้เวลากว่า 3 ปีในการไต่เต้า จากทีมสำรองของ เลอ อาฟร์ มาสู่ “ตัวจริง” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้ง มาร์กเซย์ และ ปารีสฯ ต่างสนไปรับเลี้ยงทว่าก็กลับเป็นเจ้าตัวที่ปฏิเสธ 2 บิ๊กทีมไปแบบ ‘ไม่ใยดี’ ..
“ ผมเริ่มต้นด้วยการเล่นให้กับทีมสำรองของทีมพร้อมซัลโว และ แอสซิสต์ กว่า 15 ลูกแต่ก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแลซักที ในเวลานั้นเพื่อนของผมต่างบอกว่า ‘นายพลาดแล้วที่เลือกมา เลอ อาฟร์ แทนที่จะไปปารีสฯ’ ทว่าในหัวของผมเชื่อสุดใจเสมอว่า ผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว ”
“ ผมเคยทราบมาก่อนว่า เลอ อาฟร์ ชอบให้โอกาสดาวรุ่งนั้นทำให้ผมเลือกพวกเขา บางทีถ้าผมไป มาร์กเซย์ หรือ เปแอสเช กระทั่งทีมสำรองผมอาจจะไม่ได้เล่นก็ได้ใครจะไปรู้ ”
รสชาติของความอดทนช่างหอมหวานเสมอ ในปี 2013 แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง .. หลังโลดแล่นกับทีมสำรองอยู่นานในที่สุด เลอ อาฟร์ ก็ตัดสินใจดันเจ้าตัวขึ้นชุดใหญ่จนได้
อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่เล่นกับทีมกว่า 60 นัด มาห์เรซ กลับสอยตาข่ายให้ชุดใหญ่ได้เพียง 6 ลูกทั้งที่ก่อนหน้านี้ในเยาวชนซัลโวไปถึง 25 ประตู ..
เรื่องนี้เจ้าตัวก็ไม่พลาดที่จะแก้ต่างครับว่า เป็นเพราะ “บอลอุด” ของลีก เดอซ์ ที่ทำให้ตนยิงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น..
“ ในลีก เดอซ์ ดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศส พวกเรามักจะเน้นเกมรับกัน ทุกทีมดูราวกับเล่นเพื่อสกอร์ 0-0 มันจึงเป็นเรื่องยากที่ใครซักคนจะทำสกอร์ได้ถล่มทลาย”
ทว่าแม้ผลงานจะไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้าง แต่ขึ้นชื่อว่าเพชรแล้ว .. “อยู่ที่ไหนก็เจิดจรัส” เดือน ม.ค. 2014 ชีวิตของเจ้าตัวถึงคราวพลิกผันอีกรอบหลังถูก เลสเตอร์ ทีมซึ่งนำพา มาห์เรซ ให้โด่งดังเป็นพลุแตกในเวลาต่อมาจัดการเซ็นสัญญา ..
และนั่นทำให้แข้งวัย 25 ปี ต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความฝัน .. ‘ที่ยากจะลืมเลือน’
*******************
‘ ปีที่น่าจดจำ’
ก็เช่นเคยดั่งเมื่อครั้งย้ายสู่ เลอ อาฟร์ ภายหลังย้ายซบ “จิ้งจอกสยาม” ที่กำลังเล่นในชปช. เจ้าตัวก็ต้องเผชิญกับคำท้วงติงมากมาย ด้วยเหตุผลทางด้าน ‘รูปร่าง’ เช่นเดิม ..
“ ชีวิตของผมก็เป็นเช่นนี้ล่ะ .. ค่อยๆก้าวไปทีละสเต็ป” มาห์เรซ์ร่ายความหลัง “ ในตอนที่ผมย้ายมาเลสเตอร์ใหม่ๆผมต้องเผชิญกับคำดูถูกเหมือนเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทุกคนต่างบอกว่า ‘มาห์เรซ .. นายพลาดแล้ว ลีกอังกฤษมักใช้แต่พละกำลัง นายควรไปเล่นสเปนซะมากกว่า แต่เอเย่นต์ยืนกรานกับผมว่า ถ้าอยากแจ้งเกิดก็ให้เลือกไปอังกฤษดีกว่า ”
บางทีดาวเตะตัวจี๊ดน่าไปขอบคุณเอเย่นต์พร้อมจัดเงินให้งามๆ เพราะ ถึงตรงนี้ กับฤดูกาลล่าสุดด้วยผลงานผลงาน 17 ประตูพร้อมแอสซิสต์อีก 11 ครั้ง ย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ‘ริยาด มาห์เรซ’ อีกต่อไป
ถึงตรงนี้พ่อค้าแข้งวัย 24 ปีกลายเป็นดาวเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ นี่คือรางวัลที่ เวย์น รูนีย์ และ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ต่างถวิลหา นี่คือรางวัลที่พ่อค้าแข้งทั้งหลายต่างใครจับจอง
แต่แล้ว "มาห์เรซ" กลับเป็นตัวแทนของเหล่าสามัญชนคนธรรมดาที่ทำสำเร็จ ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังโด่งดังเป็นพลุแตก จากการเปิดเผยของ “เดอะ ซัน” ชื่อของ ‘มาห์เรซ’ กลายเป็นพ่อค้าแข้งอันดับ 2 ของทีมที่แฟนบอล “สุนัขจิ้งจอก” ต่างสกรีนชื่อบนเสื้อด้านหลังประดับพร้อมเบอร์
ทว่าแม้จะโด่งดังจนฉุดไม่อยู่ แต่ มาห์เรซ ก็ไม่ลืมที่จะยกยอให้เครดิตโค้ช รานิเอรี่ รวมถึง ไนเจล เพียร์สัน ที่ทำให้เจ้าตัวมีวันนี้ ..
“ กับรานิเอรี่ เขาให้อิสระในการเล่นของผม และ วาร์ดี้ นั่นทำให้เราทั้งสองต่างมีความมั่นใจในทุกครั้งที่ลงเล่น ส่วน ไนเจล เขาเปรียบดั่งพ่อคนที่สองของผม บางครั้งเขาอาจตะโกนด่าผมตามสไตล์ไปบ้าง แต่ทุกคำพูดของเขาล้วนทำให้ผมพัฒนา เขาเป็นคนนำผมมา ณ ที่แห่งนี้ และ ทำให้ผมมีทุกวันนี้”
นับเป็นช่วงเวลาราวกับฝัน .. ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ครับที่จากชายหนุ่มผู้อพยพกำพร้าพ่อมาตั้งแต่วัยเยาว์จะได้เดินตามฝันพร้อมเล่นอยู่กับลีกที่เร้าใจที่สุดในโลกอย่าง ‘พรีเมียร์ลีก’ อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกชนิดที่น้อยคนที่จะทำได้ ..
กระนั้นต่อให้แต้มจะห่างสเปอร์สถึง 8 คะแนน ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงความถ่อมตัวไว้เสมอ พร้อมได้แต่ส่ายหัวอันเป็นการส่งสัญญาณให้เราได้รับทราบว่า “ซีซั่นนี้ยังไม่จบ”
แม้จะเหลืออีกเพียง 3 นัด ทว่าหนทางยังคงอีกไกลกว่าที่จะสรุปได้ว่าทีมใดจะถึงฝั่งฝัน เช่นเดียวกับฟอร์มการเล่นที่เจ้าตัวได้บอกว่า ยังคงมีงานหนักอีกมากที่ต้องทำ ..
เพราะ กับผลงานเท่านี้ “ ยังคงไม่เพียงพอ”
ถึงตรงนี้ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว มหากาพย์ เลสเตอร์ จะจบลงเช่นไร แต่เชื่อได้เลยครับว่า ต่อให้จะสุข หรือ เศร้า ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ ‘น่าจดจำสุด’ ในชีวิตของเจ้าตัว ชื่อของ ริยาด มาห์เรซ จะกลายเป็นประเด็นร้อนตลาดลูกหนังโลกในช่วงซัมเมอร์นี้อย่างแน่นอน
เรื่องราวที่ผ่านมาของแข้งวัย 25 ปี ช่างราวกับนิยาย แต่ถึงกระนั้น มาห์เรซ ก็ยืนยันว่า ในห้วงชีวิตที่ตนเองต้องฝ่าฟันมาทั้งหมดไม่ใช่พรหมลิขิต หรือ เรื่องบังเอิญ มันคือเส้นทางที่ “พระเจ้า” นั้นกำหนดไว้แล้ว ..
“ ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล การสิ้นชีวิตของพ่อทำให้ผมจริงจังกับชีวิตมากขึ้น สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ศรัทธาในทางเลือกของพระเจ้า และ มั่นใจในทุกสิ่งที่ทำ” ..
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วคุณพ่อจะรับรู้ถึงความสำเร็จหรือไม่ แต่เชื่อผมเถอะครับ ถึงวันนี้เจ้าตัวต่างทำให้ครอบครัวที่บ้าน และ คนที่เหลืออยู่นั้นภูมิใจ
แม้ มาห์เรซจะเอ่ยว่า ที่ตนมีวันนี้ก็เพราะพ่อ แต่ถึงตรงนี้ก็นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง เป็นพรสวรรค์ และ ความมุมานะของเจ้าตัวต่างหากที่ทำให้ฝันที่เคยวาดฝันนั้นสำเร็จ ..
และไม่ว่ากับซีซั่นหน้า มาห์เรซ จะอยู่กับเลสเตอร์ ต่อหรือไม่ ผมเชื่อครับว่า เส้นทางของเจ้าตัวจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ..
เพราะ ด้วยศักยภาพที่มี กับที่กำลังร่ายเวทมนตร์ในสนามอยู่ .. ‘นี่ยังไม่ถึงขีดสุด’
และพระเจ้าย่อมเมตตากับคนที่กตัญญูต่อ ‘ผู้มีพระคุณ’ อย่างแน่นอน
และนี่ก็คือ เรื่องราวชีวิตของ ‘ริยาด มาห์เรซ’ ที่น่าเป็นแรงบันดาลใจให้หลายต่อหลายคน ไม่จำเป็นครับที่คนที่เก่งกาจจะอยู่รอดบนโลกใบนี้เสมอไป ..
บางที “พลังแห่งความเชื่อ” และ “ศรัทธา” ก็ทำให้เรามีตัวตนบนโลกใบนี้ได้ ..
เหมือนดั่ง มาห์เรซ .. ‘ชายผู้ไม่เคยย่อท้อต่อ’โชคชะตา
พร้อมมีคุณพ่อ .. ‘เป็นแสงนำพา
- มาสเตอร์ ริท
*************
ฝากเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับฟุตบอลเขียนไปก็ได้รับอรรถรสในการรับชมไป ถ้าชอบสามารถเข้าไปติดตาม หรือ กดถูกใจกันได้นะครับที่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ จะพยายามเอามาลงให้รับชมเรื่อยๆจ้า ติ-ชมกันได้ครับ