[CR] Slow Life Slow RiDE @Japan #Trip 1 By Toonnycafe

กราบสวัสดีพี่น้อง มิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน ขออนุญาตแนะนำตัวเองนิสนึงนะครับ กระผมมีนามว่า “ตูน” ครับ อ่ะเดี๋ยวๆ!!! ผมไม่ใช่ พี่ตูน บอดี้แสลมนะครับ พี่ตูนคนนั้นเคยพูดว่า “ผมอยากเห็นคนไทยบินได้” แต่ถ้าเป็นผมจะพูดว่า “ผมอยากเห็นคนไทยปั่น(ในต่างแดน)ได้” โดยส่วนตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ปั่นจักรยาน ชนิดที่ว่าว่างเมื่อไหร่ก็จะปั่น ก็มีทั้งปั่นเล่น ปั่นกิน ปั่นชมวิว ปั่นดูสาว ปั่นไปเรื่อย ตามประสา

จนมาวันหนึ่งได้มีโอกาสได้อ่านเพจที่มีคนแชร์กันในเฟสบุ๊ค เป็นเรื่องราวของโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงแรมสำหรับนักปั่นจักรยานเลย คือเราสามารถเอาจักรยานเข้าไปแขวนไว้ในห้องพักได้ด้วย หรือสามารถปั่นจักรยานไปในส่วนต่างๆของโรงแรมได้ เช่น ส่วนของร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อป นอกจากนั้นโรงแรมก็มีส่วนของร้านจักรยานเพื่อเซอร์วิสให้กับแขกผู้ที่เข้าพักอีกด้วย โรงแรมนี้เพื่อนๆหลายคนคงเคยได้รู้จักแล้ว แต่สำหรับบางคนอาจจะยังไม่รู้จักผมขอแนะนำซักนิด

โรงแรมนี้ชื่อว่า ONOMICHI U2 ในเมืองโอะโนะมิชิ จังหวัดฮิโระชิมา (ผมแชร์ลิงค์ให้นะครับ http://www.culturedcreatures.co/onomichi-u2/) นอกจากตัวโรงแรมที่ผมอ่านแล้วรู้สึกประทับใจก็ยังมีเส้นทางสำหรับปั่นจักรยานที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเส้นทางจักรยานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จริงๆในขณะช่วงที่ผมเดินทางไปอาจจะมีหลายคนเริ่มรู้จักเส้นทางนี้จากโฆษณาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่งที่มี พี่ตูน บอดี้แสลมเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วก็ได้ พร้อมกับเปลียนชื่อให้มันเป็น “สะพานพี่ตูน” ไปซะแล้วววว!!!! ซึ่งเส้นทางนี้จริงๆแล้วเรียกกันว่า “เส้นทางชิมะนะมิไคโดะ” โดยไฮไลท์ของเส้นทางนี้คือการปั่นจักรยานบนสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะต่างๆจำนวน 6 สะพานจากเมืองโอะโนะชิมิไปถึงเมืองอิมะบะริ รวมระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร

หลังจากเสพสื่อเป็นที่เรียบร้อยก็เริ่มมโนภาพตัวเองได้ปั่นบนเส้นทางนี้ มันคงจะเท่ห์ดีไม่น้อยเลย ไม่ๆๆๆๆ เราจะไม่แค่มโนเท่านั้นครับพี่น้อง เราต้องไปให้ได้จริงๆ เสร็จสิ้นงานมโน ก็เริ่มหาข้อมูลการนำพาร่างอวบๆของเราไปไปยังจุดนั้น หาไปหามาก็ไปเจอกระทู้ของน้องคนหนึ่งที่เคยเอาจักรยานไปปั่นที่ญี่ปุ่นมาแล้ว อ่านไปอ่านมา ก็อุทานว่า อุ๊ตะ อุ๊ตะ ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรอว่ะโลกนี้ เอาจักรยานขึ้นเครื่องไปปั่นที่ญี่ปุ่นจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง เครดิต http://ppantip.com/topic/31873785  ,  http://ppantip.com/topic/33024707  ต้องบอกเลยว่ากระทู้ของน้องเค้าเป็นตัวจุดประกายการปั่นจักรยานในประเทศญี่ปุ่นของผม ต้องขอบคุณน้องเค้าเลย ณ จุดนี้ เพราะในกระทู้มีข้อมูลหลายๆอย่างที่เป็นประโยชน์มากๆ ภายหลังได้มีโอกาสได้แชททักทายกันบ้างในเฟสบุ๊ค ต้องขอบคุณน้องอีกครั้ง

กลับมาเข้าเรื่องราวการเดินทางของผมกันดีกว่า โดยในการรีวิวครั้งนี้ผมจะ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆนะครับ ประกอบด้วย 1.การเตรียมตัวก่อนเดินทาง , 2.เรื่องราวระหว่างการเดินทาง และ 3.ข้อแนะนำต่างๆ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

EP 1.ก่อนเดินทาง

เมื่อเริ่มหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปั่นจักรยานในประเทศญี่ปุ่นจากในอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมจึงเริ่มหาเส้นทางการปั่นในครั้งนี้ พร้อมกับเล็งวันคราวๆที่จะเดินทาง ดูปฏิทินไปก็เหลือบมองมองหน้าเจ้านายไป เห็นว่าช่วงเดือนเมษาน่าจะดีเพราะมีวันหยุดเยอะ  สามารถลางานเพิ่มจะได้สล๊อตยาวๆ พอได้วันที่หมายใจไว้แล้วก็ย้อนกลับมาวนเวียนคิดเรื่องเส้นทางที่จะปั่นว่าจะเริ่มที่ไหน ไปจบที่ไหนดี วนไปเวียนมา แก้เส้นทางอยู่หลายครั้ง ปล่อยเวลาอยู่นานหลายเดือนเหมือนกัน กว่าจะสรุปได้ ในขณะเดียวกันผมก็รอโปรโมชั่นของสายการบินด้วย จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจจองขาไปก่อนโดยเลือกนั่งเครื่องไปลงที่โตเกียว ด้วยเหตุผลที่เป็นเมืองหลวงน่าจะเหมาะแก่การเป็นจุดเริ่มต้น ส่วนจะปั่นไปไหน ปั่นกี่วัน ไปกับใครเดี๋ยวค่อยว่ากัน

ผมแนะนำเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินที่เราต้องนำจักรยานไปด้วยนั้น จะต้องทำการซื้อน้ำหนักสัมภาระเพิ่มกับสายการบินนะครับ และต้องเลือกสัมภาระที่อุปกรณ์กีฬานะครับ ไม่ใช่สัมภาระที่เป็นกระเป๋า ถ้ามาซื้อที่หน้าเคาน์เตอร์รับรองงานเข้าแน่นอน สำหรับสัมภาระที่เป็นอุปกรณ์กีฬาของแต่ละสายการบินก็จะมีข้อกำหนดแตกต่างกันนะครับต้องศึกษากันอีกทีแล้วแต่ว่าต้องการจะบินสายการบินไหน สำหรับทริปนี้ผมเลือกใช้บริการของสายการบินหางแดง และเลือกซื้อน้ำหนักสัมภาระเพิ่มเป็นอุปกรณ์กีฬาจำนวน 20 กิโล โดยผมนำจักรยานใส่กระเป๋าจักรยานไปครับ........ใส่กระเป๋าจักรยาน........ใส่กระเป๋าจักรยาน.......ใส่กระเป๋าจักรยาน อ่าววววววววว เห้ยยยยย!!!! แล้วกระเป๋าจักรยานล่ะจะทำไง??? จะเอาไปด้วยตลอดทางหรอ??? มันช่ายยยหรอว่ะ??? หรือว่าจะฝากโรงแรมไว้แล้วกลับมาเอา ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นเราก็ต้องกลับมาที่โตเกียวอ่ะดิ ไม่เวิร์คอ่ะ ปั่นเป็นไปแล้วปั่นกลับมาจุดเริ่มต้น ฉันไม่ได้มาปั่น Audax นะที่ต้องปั่นกลับมาจุดเดิม คิดอยู่นาน ในที่สุดก็มีเสียงมาจาก ผบทบ. (เป็นตัวย่อที่น่าเกรงขามมาก) บอกว่าใช้บริการ “แมวดำคาบลูก” ซิย่ะ แมวดำคาบลูก?? แมวดำคาบลูก??.....แมวมันเป็นสัตว์ตัวนิสเดียวมันจะคาบกระเป๋าจักรยานได้หรอว่ะ?? ถึงคาบได้มันจะว่างคาบหรอ ก็มันคาบลูกอยู่นิ?? แต่ถ้ามันว่างจริงจะคุยกับมันยังไง?? ผมก็ทำหน้างง หันไปสบตาท่าน ผบทบ.ก่อนจะทำเสียงอ่อยๆ ปนกลิ่นไร้เดียงสา มันคืออะหยั่งอ่ะท่าน ในที่สุดก็ได้คำตอบว่ามันคือบริษัทขนส่งสิ่งของในประเทศญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “yamato transport” ที่เรียกว่าแมดำคาบลูกเพราะว่าโลโก้มันเป็นอย่างนี้

หลังจากบรรจุความรู้ใหม่ใส่สมองก็ช่วยปลดล๊อคเรื่องข้อจำกัดการเดินทางโดยที่ไม่ต้องเอากระเป๋าจักรยานไปด้วยตลอดทาง และไม่ต้องวนกลับมาเอากระเป๋าที่จุดเริ่มต้นอีก ส่วนวิธีการใช้บริการเดี๋ยวผมจะเขียนไว้ในช่วงของการเดินทางนะครับ ขอกลับมาที่เรื่องของเส้นทางก่อน สรุปผมสามารถลางานได้หลายวันครับ (เจ้านายใจดี) ทำให้แผนการเดินทางผมคือเดินทางวันที่ 1 (ช่วงกลางคืน) แล้วกลับวันที่ 12 (ช่วงเช้า) โดยผมเลือกที่จะปั่นจากโตเกียวและกลับทางฟุกุโอกะ ซึ่งผมจะมีเวลาปั่น 9 วันเต็ม กับระยะทางเกือบ 1,000 กิโล เมื่อหารออกมาเป็นวันก็ตกวันละ 110 กว่าคิดในใจโหยย!!! สบายย!!! ปั่นวัดใจ 100 กิโล ผมยังปั่นไม่ถึง 4 ชั่วโมงเลย ชิล งานนี้ชิล กินนิ่ม (ตอนนั้นคิดว่าจะลืมชิมะนะมิไคโดะไปก่อน เดี๋ยวกลับมาเก็บคราวหลังกับเพื่อนๆ) แต่หารู้ไม่ว่าการที่ผมคิดว่ามันชิลเป็นการคิดที่..........งดสปอยเดี๋ยวค่อยเฉลยใน EP.2 ของการเดินทางนะครับ

เมื่อได้เส้นทางที่จะปั่นโดยจากการเทียบบัญญัติไตรยางค์ไว้ว่าปั่นวันละประมาณ 110+ กิโล ที่นี้เราจะปั่นถนนเส้นไหนล่ะงานนี้ มีเครื่องมืออะไรที่จะนำทางเราได้บ้างไหม?? แผนที่หรอ?? ปั่นๆไปเปิดแผนที่ไป มันก็คงจะไม่สะดวกนะพี่น้อง ใช้โหลดแผนที่ใส่ Garminดีม่ะ?? อืมมม อันนี้ก็น่าสนใจ แต่ก็ลองดูแหละมันก็มาเวิร์คจอมันเล็กไปดูยาก สุดท้ายก็มาจบที่ STRAVA ครับ โดยผมใช้วิธีที่น้องเจ้าของกระทู้ที่เคยไปแนะนำไว้ก็คือเปิด Google Map แล้วเลือกจุดเริ่มต้นและจุดสุดหมาย และเลือกเส้นทางเป็นแบบคนเดินนะครับ ตามรูปตัวอย่าง

หลังจากนั้นก็เปิด STRAVA โดยเปิดจากเครื่องคอมพิวเตอร์นะครับ แล้วก็เข้าไปสร้างเส้นทางโดยลากเส้นทางการปั่นตาม Google Map บอก ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยนะครับ บางจุดเราก็ต้องดูให้ละเอียดเพราะ Google Map จะใช้วิธีค้าหาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดบางทีมันอาจจะเป็นการเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องลากเส้นทางตาม Google Map ก็ได้ครับ บางจุดที่เราไม่แน่ใจว่าจะใช้เป็นเส้นทางปั่นได้ไหมให้เราใช้ Street View เข้าไปดูอีกที่นะครับ

เมื่อสร้างเส้นทางเสร็จแล้วเราก็จะได้น่าตาแบบนี้ครับ มีบอกความชันด้วยนะครับ เผื่อใครจะหลีกเลี่ยงทางขึ้นเขา (แต่จะบอกว่าเลี่ยงไม่พ้นหรอก ยังไงก็ต้องเจอไม่มากก็น้อยครับ) จริงๆถ้าเอาเมาส์ไปชี้แถวกราฟระดับความชันมันจะบอกเกรดของความชันด้วย

คราวนี้เรื่องเส้นทางก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ พอถึงวันปั่นจริงก็แค่เปิดแอพ STRAVA บนมือถือแล้วก็ปั่นตามทางที่เราสร้างไว้เท่านั้นเองครับ    ขอกลับมาเรื่องกระเป๋านิดนึงนะครับผมลืมบอกไปว่าเวลาเราต้องขึ้นรถไฟ JR หรือ ชินคันเซ็น หรือแม้แต่จะขึ้นรถเมล์ก็ตาม เราจะต้องนำจักรยานใส่ถุงด้วยนะครับ แต่จะเป็นถุงแบบที่เป็นผ้าร่มแบบนี้

ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เราเอาจักรยานขึ้นรถนะครับ ในเมืองไทยผมไม่แน่ใจว่าที่ไหนมีขายบ้างแต่ผมใช้วิธีสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์เอาครับ หรือใครมีคนรู้จักอยู่ที่ญี่ปุ่นก็สามารถฝากซื้อได้นะครับ ตามร้านจักรยานจะมีขายอยู่ ถ้าผมจำราคาไม่ผิดก็คิดเป็นเงินไทยประมาณ 500 บาทครับมีทั้งแบบถอด 2 ล้อและล้อเดียวครับ
    
ต่อไปก็เป็นเรื่องของที่พัก สำหรับผมเองผมจองวันแรกกับวันสุดท้ายไว้ครับ วันแรกผมจะเลือกจองที่พักที่สามารถเดินทางออกมาจากสนามบินได้สะดวกและใกล้สถานีรถไฟฟ้าเนื่องจากผมต้องแบกจักรยานด้วยถ้าเดินไกลๆจะไม่สะดวก โดยของผมเลือกพักแถวย่านวัดอะซะกุสะครับ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเมื่อไปถึงแล้วเราจะต้องเติมลมยางอาศัยที่สูบลมแบบพกพาก็คงจะเติมลมได้ไม่ถึงระดับที่เราต้องการ ผมจึงทำการปักหมุดร้านจักรยานไว้ทุกเมืองที่ผมผ่านเพื่อทำการเช็คลมยางตลอดทาง (หากใครต้องการให้ผมช่วยปักหมุดร้านจักรยานก็อินบ๊อกมาได้นะครับ) กลับมาเรื่องที่พักผมใช้วิธีจองแบบวันต่อวันครับอาศัยอยู่ 2 แอพคือ Booking.com กับ Agoda แต่ส่วนใหญ่ผมจะใช้ Booking.com มากกว่าเพราะเราจะจ่ายตังค์ตอนเราเข้าพักครับ
    
มาที่เรื่องสัมภาระกันบ้างครับ เรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะถ้าบ้าหอบฟาง (แบบผม) สัมภาระจะกลายเป็นภาระครับ ในทริปนี้ผมใช้กระเป๋าเป้แบบสะพายหลังครับ แต่ถ้าใครจะใช้กระเป๋าจักรยานแบบทัวร์ริ่งก็ตามสะดวกครับ ที่นี้เรามาดูกันว่าในกระเป๋าผมมีอะไรบ้าง

1.เสื้อจักรยาน 2 ตัว , 2.เสื้อยืด 2 ตัว , 3.กางเกงวอร์มขายาว 1 ตัว , 4.กางเกงขาสั้น 1 ตัว , 5.เอี๊ยมปั่นจักรยาน 1 ตัว , 6.รองเท้าปั่นจักรยาน , 7.รองเท้าผ้าใบ 1 คู่ , 8.ชุดชั้นในบุรุษ (แถวบ้านเรียกกางเกงใน) 12 ตัว >> อันนี้ผมใช้แล้วทิ้งเลยครับ , 9.ไฟจักรยาน 1 ชุด , 10.ปลั๊กไฟแบบยูนิเวอร์แซล 1 อัน , 11.Power bank 2000mah 1 อัน , 12.PocketWifi  1 อัน , 13.กล้อง Action Camarra 1 อัน , 14.Computer Notebook  1 เครื่อง (อาจจะสงสัยว่าผมเอาไปทำไม คือ...ผมทำงานสาย IT อ่ะครับมันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว) , 15.กระเป๋าจักรยานแบบผ้าร่ม 1 ชุด , 16.ที่ล๊อคจักรยาน 1 อัน , 17.เครื่องมือจักรยานต่างๆ เช่น ยางใน ที่งัดยาง สูบพกพา ชุดไขควง (ชุดไขควงที่มีประแจ 4 แฉกห้ามนำขึ้นเครื่องนะครับ) , 18.ของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัง ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เสื้อกันฝน

สรุปแล้วไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้หนักรวมกัน 10 กิโลครับ หนักไม่ล่ะ?? ถ้าถามผม ผมตอบเลยฮะ หนักมากกก!!!! (แค่ Notebook + ที่ชาร์จก็หนักเกือบ 2 กิโลแล้วครับ แต่ทำไงได้ล่ะครับของมันจำเป็น)

แลกเงินไปเท่าไหร่?? ของผมเอาเงินเยนไป 144,000 ผมโชคดีอย่างนึงคือผมแลกเงินเยนเก็บไว้หลายบาท ตั้งแต่ค่าเงินเยน 100 เยน = 27 บาท หุหุ ปัจจุบันในขนะนี้ค่าเงินเยนไปประมาณ 33 บาทกว่าๆแล้ว  จริงๆผมก็ใช้ไม่หมดนะครับเหลือเงินเยนเอาไปใช้ต่อทริปต่อไปได้สบายๆ

เมื่อกระเป๋าพร้อม เส้นทางพร้อม อุปกรณ์พร้อม งบประมาณพร้อม ร่างกาย(อันอวบๆ)พร้อม ก็ถึงเวลาเดินทางกัน R U Ready Go Go Goooo!!
ชื่อสินค้า:   ปั่นจักรยาน เที่ยวญี่ปุ่น
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่