สำนักธรรมกายเป็นองค์กรทางศาสนาซึ่งควรจะต้องมีความสุจริตอย่างยิ่งเป็นพื้นฐาน ทำไมจึงมากระทำการอันไม่สุจริตเช่นนี้เสียเอง

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1051262961634107
ทองย้อย แสงสินชัย (ป.ธ. ๙)
Former ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ at Royal Thai Navy

---------------------

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเล็กๆ เรื่องสำนักธรรมกายขอจัดกิจกรรมตักบาตรสามเณร ๑๐,๐๐๐ รูป ที่จังหวัดราชบุรี ในวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙ แต่ลงท้ายก็ไม่ได้จัด
ในฐานะคนในพื้นที่ ผมขอสรุปเรื่องเพื่อทราบทั่วกันดังนี้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เรื่องก็เป็นอันจบลง ด้วยประการฉะนี้
---------------

ต่อไปนี้เป็นความเห็นของผม และหากความเห็นนี้จะกระทบกระเทือนถึงศรัทธาของชาวธรรมกาย ก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้ด้วย

เบื้องต้นขอให้สังเกตความไม่สุจริตของสำนักธรรมกาย ตรงที่ไปอ้างกับเจ้าของตลาดกอบกุลว่า “ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีเห็นชอบด้วยแล้ว”

เห็นได้ชัดว่า ผู้ขอจัดกิจกรรมของสำนักธรรมกายใช้เล่ห์กะเท่ยกเอาคำเห็นชอบในตอนแรกของท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีขึ้นมาอ้างแบบตีขลุม ทั้งๆ การเห็นชอบในตอนแรกนั้นถูกยกเลิกไปแล้วตามมติของที่ประชุม (อันเป็นเหตุให้ต้องวิ่งหาที่จัดใหม่นั่นเอง)
นี่คือความไม่สุจริต

แต่ถ้าไปอ้างกับเจ้าของตลาดกอบกุลว่า ที่มาขอจัดที่ตลาดกอบกุลนี่ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีก็เห็นชอบด้วยแล้ว-ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คือ มุสาวาทโดยตรง
นี่ก็คือความไม่สุจริตอย่างยิ่ง


ควรจะตั้งข้อสงสัยกันด้วยว่า สำนักธรรมกายเป็นองค์กรทางศาสนาซึ่งควรจะต้องมีความสุจริตอย่างยิ่งเป็นพื้นฐาน ทำไมจึงมากระทำการอันไม่สุจริตเช่นนี้เสียเอง

การจะเข้าใจเรื่องนี้ ก็ต้องเข้าใจสำนักธรรมกายให้ถูกต้องเสียก่อน
สำนักธรรมกายเป็นองค์กรทางศาสนาที่ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ทางพาณิชย์ ที่เรียกกันทั่วไปว่า “พุทธพาณิชย์” คือแสวงหาทรัพย์และความมั่งคั่งเป็นเป้าหมายสูงสุด

นโยบายของสำนักธรรมกายก็คือ เอาทรัพยากรในพระพุทธศาสนาออกมาแปรรูปเป็นเสมือนสินค้าจำหน่ายให้แก่ผู้ต้องการบุญ

ฝ่ายการตลาดของสำนักธรรมกายวิจัยแล้วพบว่า ธรรมชาติของมนุษย์คือตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่อลังการ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่ากิจกรรมของสำนักธรรมกายจะมีขนาดที่มหึมา และมีรูปแบบอภิมหาอลังการเสมอ ใครได้เห็นจะต้องตื่นตะลึง นั่นหมายถึงว่าสามารถก่อให้เกิดศรัทธาได้อย่างท่วมท้น

ขอให้สังเกตด้วยว่า การจัดองค์ประกอบทางกายภาพให้น่าศรัทธาเลื่อมใสนับเป็นคุณสมบัติส่วนที่สำคัญที่สุดของสำนักธรรมกาย
ใครเข้าไปในวัดพระธรรมกายจะต้องตื่นตากับความเรียบร้อยราบรื่น ไม่มีมุมสกปรกรกรุงรัง ไม่มีหมาขี้เรือนหรือแมวป่วยให้พบเห็นเป็นที่น่ารำคาญตาเหมือนวัดทั่วไปในเมืองไทย หลายคนพูดตรงกันว่าห้องน้ำของวัดพระธรรมกายสะอาดกว่าห้องนอนที่บ้านของเขาเสียอีก

ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีเองก็บอกว่า ส่วนดีของธรรมกายเขาก็มี
ผมว่าตรงจุดนี้แหละคือส่วนที่ดีมากๆ ของสำนักธรรมกาย-การจัดองค์ประกอบทางกายภาพได้อย่างเนียนเนี้ยบ

การจัดองค์ประกอบทางกายภาพไม่ได้มีแค่อาคารสถานที่ แต่หมายรวมไปถึงบุคลิกของบุคลากร การนุ่งห่ม ระเบียบในการปรากฏตัวต่อสายตาประชาชน การสร้างหรือ “ปั้น” บุคลากรด้านต่างๆ ระบบการบริหารจัดการ ฯลฯ สำนักธรรมกายทำได้อย่างดีเยี่ยม

........

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทพระวินัยให้พระสงฆ์สาวกปฏิบัติโดยทรงระบุวัตถุประสงค์ไว้แน่ชัดถึง ๑๐ ข้อ ในจำนวนนี้มี ๒ ข้อบอกไว้ว่า
- เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
- เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว

เพราะฉะนั้น ภารกิจที่สำคัญของวัดหรือองค์กรทางศาสนาก็คือ การทำให้ชุมชนเลื่อมใส
แต่ที่ว่ามานั้นคือการขึ้นต้น หรือต้นทางในการสร้างศรัทธา การทำให้ชุมชนเลื่อมใสไม่ใช่ปลายทางของพระพุทธศาสนา ยังจะต้องตามไปดูให้ถึงปลายทางว่า ทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาแล้ว-อะไรต่อไป

ศรัทธาในพระพุทธศาสนามีเป้าหมายอยู่ที่การลงมือปฏิบัติธรรม
หมายความว่า เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นแล้วต้องนำไปสู่ฉันทะวิริยะที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นต่อไปเพื่อบรรลุผลที่ต้องการ
ผลที่ต้องการในพระพุทธศาสนาก็คือฝึกหัดขัดเกลาพัฒนาตนจนอยู่เหนืออำนาจกิเลส จิตเป็นอิสระโปร่งโล่ง กล่าวตรงก็คือบรรลุมรรคผลตามสมควรแก่การปฏิบัติ

คนจะทำอย่างนี้ได้ต้องเริ่มด้วยมีศรัทธา-ศรัทธาในตัวบุคคลและศรัทธาในหลักคำสอน
ที่ต้องจำไว้ไม่ให้พลาดก็คือ พระพุทธศาสนาต้องการให้ผู้ที่มีศรัทธาแล้วลงมือปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของผู้ปฏิบัติเอง มิใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ทำให้เกิดศรัทธา
พูดชัดๆ พระพุทธเจ้าท่านทำให้คนเกิดศรัทธา แล้วมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมเพื่อประโยชน์ของเขาเอง ไม่ใช่ให้เขาเกิดศรัทธาแล้วเอาผลประโยชน์อะไรมาให้พระองค์

พูดเป็นภาพรวมก็คือ-คำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง มิใช่เพื่อประโยชน์ของผู้สอน
เคยมีคนอธิบายว่า พระสอนคนให้ทำบุญตักบาตรก็เพื่อที่พระจะได้มีกินไม่อดตาย
น่าเสียใจที่ผู้อธิบายแบบนี้ก็คือชาวพุทธของเรานี่เอง

เมื่อรู้จักปลายทางที่ถูกต้องของศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว คราวนี้ก็ลองตามไปดูเถิดว่า สำนักธรรมกายใช้ศรัทธานั้นไปเพื่ออะไร
----------------

สำนักธรรมกายเคยจัดกิจกรรมตักบาตรพระสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูปที่ถนนคฑาธรมาแล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ คราวนั้นโฆษณาให้เหตุผลว่าเพื่อกระตุ้นเตือนให้คนไทยใส่บาตรกันให้มากขึ้นเนื่องจากปัจจุบันคนไทยใส่บาตรน้อยลง

ผมเป็นสามเณรมาอยู่วัดมหาธาตุ ราชบุรีเมื่อปี ๒๕๐๖ ไปบิณฑบาตที่ตลาดราชบุรีได้แต่ข้าวเปล่าเป็นพื้น กับข้าวแทบไม่มี ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าบางวันได้ไข่เค็มมาใบหนึ่ง ผ่าซีก ฉันเช้าซีกหนึ่ง เก็บไว้ฉันเพลซีกหนึ่ง อาศัยที่ทางวัดมี “แกงเวร” คือกับข้าวที่ทางวัดมอบหมายให้แม่ชีในสำนักประชุมนารีทำขึ้นวันละ ๑ หม้อใหญ่ มีแกงเป็นพื้นจึงเรียกว่า “แกงเวร” แล้วตักแจกพระเณรรูปละ ๒ ปิ่นโต จึงพอยังอัตภาพให้เป็นไป
เดี๋ยวนี้ของที่คนใส่บาตร พระไปบิณฑบาตหอบหิ้วกันไม่ไหว ต้องใส่รถเข็นกลับวัดทุกวัน
แต่สำนักธรรมกายบอกว่าปัจจุบันคนไทยใส่บาตรน้อยลง
-----------------

ตักบาตรพระ ๑,๐๐๐ รูปครั้งนั้นอลังการมาก เหลืองอร่ามไปทั้งถนนคฑาธร ผมไปสังเกตการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่สะดุดตาคือ “ไม้สวรรค์” เดินสะพัดไปทั้งสองฟากถนน แบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อย แม้กระทั่งแบงก์พันโบกไสวไกวแกว่งด้วยแรงศรัทธาอันเต็มเปี่ยม รวมกันแล้วไม่มีรายงานว่าเป็นเงินมหาศาลขนาดไหน สำนักธรรมกายจัดกิจกรรมตักบาตรขนาดมหึมาแบบนี้ในหลายๆ จังหวัด ลองคูณกันเอาเอง
ไม่มีรายงานเช่นเดียวกันว่า หลังจากจัดกิจกรรมตักบาตรครั้งนั้นแล้วคนไทยใส่บาตรกันมากขึ้นแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ความมั่งคั่งของสำนักธรรมกายเพิ่มขึ้นอีกมาก


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การตักบาตรสามเณร ๑๐,๐๐๐ รูป ในวันที่ ๙ เมษายน ที่ผ่านมาถ้าจัดขึ้นได้ตามแผน ไม่ว่าจะเป็นที่ถนนคฑาธรอันเป็นที่ซึ่งเคยดูดทรัพย์อันเกิดจากศรัทธาไปได้เป็นจำนวนมากมาแล้ว หรือที่สนามกีฬากลาง หรือแม้แต่ที่ตลาดกอบกุล เราก็จะได้เห็นความอลังการมหึมายิ่งกว่าเมื่อคราวตักบาตรพระ ๑,๐๐๐ รูปครั้งนั้นเพิ่มขึ้นอีก ๑๐ เท่า และนั่นหมายความว่าจำนวนทรัพย์อันเกิดจากศรัทธาก็จะถูกดูดไปได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐ เท่าเช่นกัน
พอจะมองเห็นคำตอบไหมครับว่า ทำไมสำนักธรรมกายจึงพยายามนักหนาที่จะจัดกิจกรรมตักบาตรสามเณร ๑๐,๐๐๐ รูปให้จงได้ แม้จะต้องใช้วิธีที่ไม่สุจริตก็ตาม

-----------------
คราวนี้มาพิจารณาถึงหลักการกันบ้าง
การทำบุญในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา หรือบุญอื่นใดอีกก็ตามท่านทำกันเป็นกิจวัตร คือทำในชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่ใช่จัดกิจกรรมเป็นครั้งคราวเพื่อถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก

จะมีใครเห็นหรือไม่เห็น จะมีใครถ่ายรูปหรือไม่ถ่าย ท่านก็ทำกันเป็นประจำ

ทีนี้การบิณฑบาตนี้คืออะไร

การบิณฑบาตเป็น “นิสัย” คือวิธีครองชีพของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งมี ๔ อย่าง คือ เที่ยวบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล อยู่โคนไม้ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตร นี่ก็คือที่เรารู้จักกันดีว่า ปัจจัย ๔ นั่นเอง (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค)

ตามหลักแล้ว อาหารที่ใช้ดำรงชีวิตของพระเณรต้องได้มาจากการออกบิณฑบาต ดังนั้นพระเณรจึงมีกิจที่จะต้องออกบิณฑบาตทุกวัน มีข้อยกเว้นได้บ้าง เช่นได้รับนิมนต์ไปฉันเป็นครั้งคราว หรือได้รับนิตยภัตเป็นต้น

หลักในเรื่องนี้ก็คือ การออกบิณฑบาตเป็น “กิจวัตร” คือกิจที่ต้องทำเป็นประจำ ไม่ใช่ “กิจกรรม” คือกิจที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว

พูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ พระเณรออกบิณฑบาตต้องเป็นของจริง ทำจริง ทำเป็นประจำวัน ไม่ใช่จัดฉากเป็นครั้งคราวอย่างที่สำนักธรรมกายขอจัด

ลองตั้งคำถามดูก็ได้ สามเณร ๑๐,๐๐๐ รูป ที่สำนักธรรมกายจะเอามาเข้าฉากบิณฑบาตนั้น ณ เวลานั้นอยู่ที่ไหน และ ณ เวลานี้กำลังอยู่ที่ไหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่