การเดินทางครั้งนี้..เริ่มจากการลงทะเบียนเรียน
วิชา การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน
ด้วยคอนเซปต์ของการอยากให้นักศึกษาออกหาประสบการณ์จากการเดินทาง
แต่...จะไปกับเพื่อนหรอ? ธรรมดาไปมั้ง..งั้นไปแบบไม่รู้จักกันก็แล้วกัน
ยินดีต้อนรับสู่ทริปสั้นๆ 1 วันครึ่งกับอีก 1 คืน ของคนแปลกหน้า 6 คน
"STRANGER!! IN TRANG"
เอาล่ะมาเริ่มกันที่หาช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากคนละภาคคนละคณะจะว่างตรงกันก็ลำบาก ทำไงดีเอาเป็นว่าเอาเท่าที่ได้ละกัน
สรุปออกมาได้ว่าก่อนสงกรานต์ทริปจะต้องเกิดขึ้น เราก็เลยลองคุยกันว่าจะมีที่ไหนเหมาะให้เราไปดี เริ่มจากให้แต่ละคนโหวตมา
แล้วก็มีความคิดของหนึ่งหนุ่มขึ้นมาว่า
"ไหนๆเราจะไปเที่ยวแบบคนแปลกหน้าแล้ว ทำไมเราไม่ไปในที่ๆไม่รู้จักด้วยหล่ะ"
คิดอยู่ตั้งนานว่าที่ไหนที่เราไม่รูจัก สุดท้ายเราก็เลยเริ่มจากดูว่าแต่ละคนมาจากจังหวัดไหน ภาคไหน เราก็จะไม่ไปที่นั่น
สรุปว่าภาคใต้เป็นภาคเดียวที่ไม่มีบ้านเกิดของทีมเรา เอ้างั้นไปจังหวัดที่คนไม่ค่อยพูดถึงด้วยละกัน..หวั๊ดดีเมืองตรัง
ซึ่งจากการเดินทางไปตรังจริงๆแล้วนั้นสามารถเลือกการเดินทางได้หลายแบบตามความสะดวกของเวลาและงบในกระเป๋า
ถ้าใครชอบความสะดวกสบาย 1 ชั่วโมงกว่าก็ถึงยอมเสียแพงหน่อยให้กับสายการบินนกแอร์หรือแอร์เอเชีย อีกหน่อยจะมีไทยไลอ้อนแอร์แล้วด้วย หรือใครจะชอบใช้ชีวิตช้า ตามประสาฮิปส์เตอร์ การรถไฟแห่งประเทศไทยคงเป็นคำตอบของคุณ แต่ถ้ากึ่งรีบร้อนแต่อยากไปรอบไหนก็ได้รถทัวร์ก็คงเป็นคำตอบของคุณเช่นเดียวกันกับพวกเรา เริ่มต้นกันที่เย็นวันเสาร์หลังเลิกเรียน เราออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถทัวร์ของบขส โดยจองตั๋วจากเวปไซต์
http://booking.busticket.in.th/
ซึ่งจะมีหลายเวลาให้เลือก จากสถานีต้นทาง สถานีขนส่งผู้โดยสารกรงเทพ(ถนนบรมราชชนนี) ปลายทาง สถานีขนส่งผู้โดยสารตรัง ทุกคันเป็นรถแอร์สองชั้น และจะจอดพักกลางทางเพื่อให้เราลงไปรับประทานอาหาร ซึ่งก็ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้นเคยสำหรับคนเคยนั่งอยู่แล้ววว เราออกเดินทางตั้งแต่เวลา 18.30 น. และแล้วก็ถึงปลายทางของเรา ตรังงง!!! ในเช้าวันอาทิตย์ เวลา 7 โมงกว่าๆ ซึ่งเราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมแผนต่างๆว่าเวลาที่เรามีเนี๊ยย วันเสาร์ทั้งวันถึงวันอาทิตย์ 11 โมงจะทำอะไรให้คุ้มค่าที่สุด แล้วเหมือนสวรรค์ก็เป็นใจบนรถที่เรานั่งมามีพี่สาวใจดี ซึ่งพี่เค้าเป็นคนในพื้นที่ บ้านอยู่ไม่ไกลเมืองและกำลังกลับบ้าน ซึ่งพี่เค้าก็ให้คำปรึกษาและช่วยเราวางแผนเที่ยวอย่างดี
หลังจากลงรถแล้วเราก็ยังไม่ได้แยกกับพี่มิวทันทีหรอก เพราะพี่มิวชวนเราไปกินข้าวที่บ้านก่อนและอาสาจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือ
แค่เริ่มทริปก็รู้สึกถึงความน่ารักของคนตรังที่มีต่อเด็กตาดำๆอย่างพวกเรามากจริงๆ ไปดูกันดีกว่าว่าเช้านี้จะได้กินอะไร
และแล้ววว เมนูสุดยอดความอร่อยของเราเช้านี้ก็คือ.....ขนมหนมมหนมมมหนมมมจีนน้ำยาใต้ แต่เอ๊ะถ้าเป็นบ้านเรามันก็ต้องกินตอนกลางวันหรือตอนเย็นมั้ยยคงไม่ใช่มื้อเช้าเป็นแน่ แต่ที่นี่..เมืองตรัง ขนมจีนถือเป็นอาหารเช้าอีกหย่างที่คนตรังนิยมทานในตอนเช้า
ว่าแล้วก็ลงมือกันเลยยย ซึ่งน้ำยาของทางใต้จะเป็นน้ำยากระทิที่มีสีเหลือง ไม่เหมือนภาคกลางที่มีสีส้ม ใช้ปลาทะเลต้มแล้วก็มาตำให้ละเอียดให้เนื้อมันเนียนและฟู จากนั้นจะละลายพริกแกงซึ่งเป็นสูตรของทางใต้โดยเฉพาะกับหางกระทิตามด้วยหัวกระทิและเนื้อปลาจากนั้นปรุงรสตามใจชอบ ซึ่งตอนเคี่ยวเนี่ยต้องระวังกระทิแตกฟองด้วยนะคะ อีกถ้วยสีส้มๆคือน้ำยาน้ำพริกมีรสชาติหวานๆผสมกับถั่ว อีกหนึ่งน้ำยาทีเด็ดเลยคือ "น้ำยาแกงพุงปลาา" หรือแกงไตปลาที่เราเรียกกันนั่นเอง โอ้โห้ววหรอยแรงจนตกยกนิ้วให้เลยทีเดียว โดยคนที่นี่จะเน้นกินเส้นน้อยๆน้ำเยอะๆ ผสมกับผักดองต่างๆ เช่น ถั่วงอกหัวโต อาจาดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้จะต้องมีทุกมื้อคือผักสด อิ่มอร่อยไปแบบสไตล์อาหารเช้าวิถีคนตรังแล้ว ต่อจากนี้เราก็พร้อมที่จะลุยเราก็ตัดสินใจที่จะลาพี่มิวและครอบครัวเพื่อไปตามทางแต่สุดท้ายพี่แกก็บอกว่า ข้างๆบ้านลุงที่รู้จักกันมีรถรับจ้าง จะไปไหนเวลาน้อยไปโบกรถมันรอนานเดี๋ยวได้เที่ยวน้อย ถ้าจะตามแผนก็ไปจ้างลุงมั้ย
โอ้วพระเจ้าตาลุกวาว เอาสิ๊รอไรล่ะคะ คุณลุงก็ตกลงราคากับเราว่าเป็นนักศึกษาลุงพาเที่ยวคิด 500 ทั้งวันทั้งคืนไปไหนก็ได้นั่งหลังกระบะ !
เอาล่ะ คนพร้อม รถพร้อม แพลนพร้อม .....ออกเที่ยวกันเลย สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ "ท่าเทียบเรือควนตุ้งกู" ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าที่ใช้ในการไปทัวร์เกาะต่างๆในจังหวัดตรัง แต่ในตอนนี้ได้ย้ายไปขึ้นกันที่ท่าเรือหาดปากเมงแล้ว เหตุผลที่เราเลือกที่นี่เพราะชาวบ้านบอกว่ายังมีบริการอยู่แต่ไม่ได้ขายทัวร์ จะราคาถูกกว่า ซึ่งตอนเข้าไปคุยทีแรกพี่เค้าคิดเหมาลำราคา 4,000 บาท แต่ด้วยความโชคดีมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหลุดมา 4 คนเราจึงตกลงรวมกับเค้าเป็น 10 คนพอดี จึงได้ค่าเรือมาตกคนละ 400 บาท เย้ๆๆ
ซึ่งโปรแกรมเช้านี้ก็จะไปแวะดำน้ำที่ จุดดำน้ำถ้ำใหญ่ เข้าไปชมความงามของถ้ำมรกต และสัมผัสธรรมชาติสุดฟินบนเกาะกระดาน ว่าแล้วววไปกันเลยย
ใช้เวลาเพียง 25 นาที ก็มาถึงที่จุดแรกก็คือ ถ้ำใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะมุก ที่เรียกว่าถ้ำใหญ่ก็เพราะลักษณะ
ของถ้ำมีขนาดใหญ่และเมื่อก่อนเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำรังของนก ซึ่งน้ำก็มีสีเขียวใสสวยงามมากทีเดียว
ณ.จุดนี้เราสามารถดำน้ำตื้นเพื่อชมความงามของประการังนานาชนิดที่รายล้อมอยู่ทั่วบริเวณขอบๆซึ่งถ้าใครว่ายน้ำเก่งสวมอุปกรณ์และไปตามที่ต้องการเลย แต่ถ้าใครกลัวจม เจ้าหน้าที่ที่ไปกับเรือก็จะพาเกาะห่วงยางไปและได้ชมความงามของประการังเช่นกัน ซึ่งในแถบนี้ประการังยังคงสวยงาม ถ้าใครมีโอกาสได้แวะมาเยี่ยมเยียนก็อย่าลืมที่จะช่วยกันรักษาความงามของธรรมชาติไว้ด้วยนะคะ ดูประการังกันเต็มอิ่มก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางต่อไปยังจุดต่อไปนั่นคือ ถ้ำมรกตนั่นเองง.... พร้อมแล้ววไปกันเล้ยยยยยย!!!!!!!!!!!
สำหรับถ้ำมรกต ชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำน้ำ ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำกลางทะเลและเส้นทางเข้า – ออกของถ้ำจะเปิดกว้างออกหรือหุบแคบลงจนกระทั่งปิดตามระดับน้ำทะเลที่ขึ้นลงระหว่างวัน ถามาถ้ำมรกตในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้ไม่สามรว่ายเข้าไปชมความงามภายในถ้ำได้ถ้ำมรกตถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยกลุ่มราษฎรท้องถิ่นซึ่งว่ายน้ำเข้ามาหารังนกนางแอ่น ต่อมาถ้ำแห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสถานที่ซุกซ่อนสมบัติซึ่งเหล่าบรรดาโจรสลัดปล้นสะดมมาได้อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่พอมีคนไปเที่ยวเยอะขึ้นทำให้โจรสลัดต้องย้ายที่ซ่อนสมบัติออกไปในที่สุด
และที่นี่ก็คือภายในถ้ำมรกต ซึ่งการเข้ามานั้นจะต้องค่อยๆเกาะเชือกหรือหลังเพื่อนเข้ามา ว่ายทวนกระแสน้ำผ่านถ้ำที่มืดมิดเข้ามาถ้ำมรกตระยะทางยาวกว่า80เมตร เป็นถ้ำกลางท้องทะเลซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของเกาะมุกในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ถ้ำแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของ จ.ตรัง ขณะที่เราเข้าไปนั้นมันสายมากแล้วทำให้น้ำลง แต่คนเรือบอกว่าถ้าเรามาเช้าๆน้ำจะขึ้นเต็มหาดและสะท้อนแสงมรกตสวยงามมากทีเดียว แล้วแบบนี้ไม่ให้กลับมาใหม่ได้ไง ผ่านไปแล้วกับสองที่ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับพวกเราเด็กออกทะเลครั้งแรกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ไปกันต่อ ณ.ที่สุดท้ายคือเกาะกระดาน
ระหว่างทางสมาชิกก็เกิดหิวขึ้นมา ดีที่แม่ของพี่มิวให้บะจ่างเรามากันคนละลูก ซึ่งบะจ่างที่ตรังนั้นมีความแตกต่างจากที่เราเคยกินโดยสิ้นเชิง โดยภาษาพื้นเมืองจะเรียกว่า ฉั่ง ซึ่งไส้จะมีสองแบบคือหมูชิ้นและหมูสับ หมักกับเครื่องพะโล้มีรสหวานเค็ม และใส่ไข่ด้วย ซึ่งอีกหนึ่งความพิเศษคือ ข้าวเหนียวที่ใช้จะนึ่งกับกะิก่อนแล้วนำมาห่อ โดยจะมีสองขนาด คือ เล็ก และใหญ่ แต่ใหญ่เนื้อแยะและฟินกว่า 5555
ทำให้เมื่อกัดแล้วรู้สึกอร่อยแบบไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน มาตรังต้องลองนะ!! ลืมบอกไปว่า ฉั่ง หรือ บะจ่าง ก็เป็นอีกหนึ่งอาหารเช้าที่คนตรังนิยมทานคู่กับกาแฟเหมือนกันน้าจ้ะ เม้าเรื่องกินกันจนเพลิน ขณะที่เรือก็ยังคงเดินต่อไปแล้วก็มาหยุดอยู่ที่เกาะกระดานนนน
ซึ่งเกาะกระดานถือได้ว่าเป็นเกาะที่มีความสวยงามที่สุดในบรรดาเกาะของตรังเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่มาของชื่อนั้นก็เกิดจากเมื่อก่อนมีการเดินเรือสำเภาซึ่งนายลิบงได้ขึ้นไปอยู่ในเรือลำหนึ่งและต่อมาเมื่อเจ้าของตายตนเองก็ขึ้นเป็นใหญ่แทน วันหนึ่งก็ได้เดินเรือมายังเกาะบ้านเกิดตนเองแต่ด้วยความที่ฐานะเดิมจนจึงอาย นางมุกผู้เป็นภรรยาและลูกน้อง จึงไม่ให้พ่อแม่ของตนกอดและแสดงตัวและรีบเดินเรืออกไปจากเกาะ ทำให้ผู้เป็นพ่อออกเรือตามไปแล้วพูดว่า หากนั่นคือลูกชายตนจริงแล้วทำแบบนี้ขอให้เรืออัปปาง ซึ่งไม่นานกลางสมุทรก็เกิดพายุใหญ่ขึ้นทำให้เรือแตกและเกิดเป็นชื่อเกาะต่างๆ เกาะกระดานก็มาจากท้องเรือ เกาะมุก ก็คือภรรยานายลิบงที่กำลังท้อง ทำให้เกาะมีลักษณะคล้ายคนท้อง
ซึ่งที่นี่ก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มากทีเดียว หาดทรายขาวไม่มีสิ่งสกปรก น้ำใส และมีปลามากมายมารายล้อมตัวเรา ซึ่งเราก็ได้พักทานข้าวและพักผ่อนกันที่หาดกระดาน ก่อนที่จะออกมาดำน้ำต่อที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อชมประการังบริเวณเกาะกระดาน แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อขณะจะดำน้ำ มีสมาชิกคนหนึ่งที่กำลังก้าวขาลงไปเพื่อที่จะดำน้ำถูกหอยเม่นตำ ก็ทำให้พวกเราหวาดกลัวกันเล็กน้อย
แต่พี่ลูกเรือก็ได้ให้คำแนะนำและทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ ทำให้เพื่อนเราได้ลงไปดำดูหอยเม่นอีกนับพันตัว สำหรับพื้นที่ดำน้ำบริเวณเกาะกระดานจะเป็นลักษณะตื้นๆก่อนที่จะเป็นเหวลึกลงไป บริเวณตื้นๆจะมีปะการังหลากหลายชนิดทั้ง ปะการังสี ปะการรังสมอง หอยมือเสือ และ หอยเม่นตัวดี ซึ่งมีเยอะมากก พี่ลูกเรือก็แนะนำให้ลอยตัวขณะลงไปห้ามปล่อยให้เท้าลงไปแตะพื้นเด็ดขาด ก็จะปลอดภัย แต่ถ้าโดนหอยเม่นแล้วหลังจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็อย่าลืมที่จะกลับไปหาแพทย์เพื่อทำการรักษาให้หายเร็วขึ้นด้วยนะคะ เอาล่ะเจ็บตัวขนาดนี้แล้ว ไปต่อคงหมดสนุกพักสักหน่อยดีกว่า แล้วขึ้นฝั่งเพื่อไปต่อกันดีกว่าาาจ้าา บ๊ายยบายยยนะเจ้าเกาะ
จากนั้นเราก็ใช้เวลานั่ง ไม่สิ หลับบนเรือด้วยความเหนื่อยอ่อนมาเป็นเวลา 45 นาที ก็กลับสู่ท่าเทียบเรือควนตุ้งกูเรียบร้อย ก็ไม่ลืมที่จะโทรหาคุณลุงใจดี เพื่อให้มารับพวกเรา ซึ่งระหว่างรอด้วยความที่ตัวเปียกและยังไม่เคยได้อาบน้ำจืดตั้งแต่เมื่อวานเย็นพวกเราก็เลยอาศัยที่แห่งนี้เสียค่าบริการกันไปชิวๆคนละ 15 บาทเท่าน้านนน
ต่อแถวอาบน้ำเสร็จ ก็เสิชดูข้อมูลว่ามีที่ไหนที่เราพจะแวะไปก่อนที่จะเข้าไปในเมืองต่อได้บ้าง แล้ววก็มีคำนี้โผล่ขึ้นมา..บ่อน้ำร้อน?
เห้ยยยยได้ไง ตรังเนี่ยนะมีบ่อน้ำร้อนนด้วยย เอ้ารอไรละไปกันเลยยย ดังนั้นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ วณอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง
[CR] Stranger!! in TRANG โตแล้วไปไหนก็ได้ แต่ไม่ไปตรังไม่ด้ายยย:6คนแปลกหน้า 1วันครึ่งกับ1คืน กินเที่ยวเต็มอิ่มที่"ตรัง"
วิชา การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน
ด้วยคอนเซปต์ของการอยากให้นักศึกษาออกหาประสบการณ์จากการเดินทาง
แต่...จะไปกับเพื่อนหรอ? ธรรมดาไปมั้ง..งั้นไปแบบไม่รู้จักกันก็แล้วกัน
ยินดีต้อนรับสู่ทริปสั้นๆ 1 วันครึ่งกับอีก 1 คืน ของคนแปลกหน้า 6 คน
"STRANGER!! IN TRANG"
สรุปออกมาได้ว่าก่อนสงกรานต์ทริปจะต้องเกิดขึ้น เราก็เลยลองคุยกันว่าจะมีที่ไหนเหมาะให้เราไปดี เริ่มจากให้แต่ละคนโหวตมา
แล้วก็มีความคิดของหนึ่งหนุ่มขึ้นมาว่า "ไหนๆเราจะไปเที่ยวแบบคนแปลกหน้าแล้ว ทำไมเราไม่ไปในที่ๆไม่รู้จักด้วยหล่ะ"
คิดอยู่ตั้งนานว่าที่ไหนที่เราไม่รูจัก สุดท้ายเราก็เลยเริ่มจากดูว่าแต่ละคนมาจากจังหวัดไหน ภาคไหน เราก็จะไม่ไปที่นั่น
สรุปว่าภาคใต้เป็นภาคเดียวที่ไม่มีบ้านเกิดของทีมเรา เอ้างั้นไปจังหวัดที่คนไม่ค่อยพูดถึงด้วยละกัน..หวั๊ดดีเมืองตรัง
ซึ่งจากการเดินทางไปตรังจริงๆแล้วนั้นสามารถเลือกการเดินทางได้หลายแบบตามความสะดวกของเวลาและงบในกระเป๋า
ถ้าใครชอบความสะดวกสบาย 1 ชั่วโมงกว่าก็ถึงยอมเสียแพงหน่อยให้กับสายการบินนกแอร์หรือแอร์เอเชีย อีกหน่อยจะมีไทยไลอ้อนแอร์แล้วด้วย หรือใครจะชอบใช้ชีวิตช้า ตามประสาฮิปส์เตอร์ การรถไฟแห่งประเทศไทยคงเป็นคำตอบของคุณ แต่ถ้ากึ่งรีบร้อนแต่อยากไปรอบไหนก็ได้รถทัวร์ก็คงเป็นคำตอบของคุณเช่นเดียวกันกับพวกเรา เริ่มต้นกันที่เย็นวันเสาร์หลังเลิกเรียน เราออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถทัวร์ของบขส โดยจองตั๋วจากเวปไซต์ http://booking.busticket.in.th/
ซึ่งจะมีหลายเวลาให้เลือก จากสถานีต้นทาง สถานีขนส่งผู้โดยสารกรงเทพ(ถนนบรมราชชนนี) ปลายทาง สถานีขนส่งผู้โดยสารตรัง ทุกคันเป็นรถแอร์สองชั้น และจะจอดพักกลางทางเพื่อให้เราลงไปรับประทานอาหาร ซึ่งก็ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้นเคยสำหรับคนเคยนั่งอยู่แล้ววว เราออกเดินทางตั้งแต่เวลา 18.30 น. และแล้วก็ถึงปลายทางของเรา ตรังงง!!! ในเช้าวันอาทิตย์ เวลา 7 โมงกว่าๆ ซึ่งเราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมแผนต่างๆว่าเวลาที่เรามีเนี๊ยย วันเสาร์ทั้งวันถึงวันอาทิตย์ 11 โมงจะทำอะไรให้คุ้มค่าที่สุด แล้วเหมือนสวรรค์ก็เป็นใจบนรถที่เรานั่งมามีพี่สาวใจดี ซึ่งพี่เค้าเป็นคนในพื้นที่ บ้านอยู่ไม่ไกลเมืองและกำลังกลับบ้าน ซึ่งพี่เค้าก็ให้คำปรึกษาและช่วยเราวางแผนเที่ยวอย่างดี
หลังจากลงรถแล้วเราก็ยังไม่ได้แยกกับพี่มิวทันทีหรอก เพราะพี่มิวชวนเราไปกินข้าวที่บ้านก่อนและอาสาจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือ
แค่เริ่มทริปก็รู้สึกถึงความน่ารักของคนตรังที่มีต่อเด็กตาดำๆอย่างพวกเรามากจริงๆ ไปดูกันดีกว่าว่าเช้านี้จะได้กินอะไร
และแล้ววว เมนูสุดยอดความอร่อยของเราเช้านี้ก็คือ.....ขนมหนมมหนมมมหนมมมจีนน้ำยาใต้ แต่เอ๊ะถ้าเป็นบ้านเรามันก็ต้องกินตอนกลางวันหรือตอนเย็นมั้ยยคงไม่ใช่มื้อเช้าเป็นแน่ แต่ที่นี่..เมืองตรัง ขนมจีนถือเป็นอาหารเช้าอีกหย่างที่คนตรังนิยมทานในตอนเช้า
ว่าแล้วก็ลงมือกันเลยยย ซึ่งน้ำยาของทางใต้จะเป็นน้ำยากระทิที่มีสีเหลือง ไม่เหมือนภาคกลางที่มีสีส้ม ใช้ปลาทะเลต้มแล้วก็มาตำให้ละเอียดให้เนื้อมันเนียนและฟู จากนั้นจะละลายพริกแกงซึ่งเป็นสูตรของทางใต้โดยเฉพาะกับหางกระทิตามด้วยหัวกระทิและเนื้อปลาจากนั้นปรุงรสตามใจชอบ ซึ่งตอนเคี่ยวเนี่ยต้องระวังกระทิแตกฟองด้วยนะคะ อีกถ้วยสีส้มๆคือน้ำยาน้ำพริกมีรสชาติหวานๆผสมกับถั่ว อีกหนึ่งน้ำยาทีเด็ดเลยคือ "น้ำยาแกงพุงปลาา" หรือแกงไตปลาที่เราเรียกกันนั่นเอง โอ้โห้ววหรอยแรงจนตกยกนิ้วให้เลยทีเดียว โดยคนที่นี่จะเน้นกินเส้นน้อยๆน้ำเยอะๆ ผสมกับผักดองต่างๆ เช่น ถั่วงอกหัวโต อาจาดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้จะต้องมีทุกมื้อคือผักสด อิ่มอร่อยไปแบบสไตล์อาหารเช้าวิถีคนตรังแล้ว ต่อจากนี้เราก็พร้อมที่จะลุยเราก็ตัดสินใจที่จะลาพี่มิวและครอบครัวเพื่อไปตามทางแต่สุดท้ายพี่แกก็บอกว่า ข้างๆบ้านลุงที่รู้จักกันมีรถรับจ้าง จะไปไหนเวลาน้อยไปโบกรถมันรอนานเดี๋ยวได้เที่ยวน้อย ถ้าจะตามแผนก็ไปจ้างลุงมั้ย
โอ้วพระเจ้าตาลุกวาว เอาสิ๊รอไรล่ะคะ คุณลุงก็ตกลงราคากับเราว่าเป็นนักศึกษาลุงพาเที่ยวคิด 500 ทั้งวันทั้งคืนไปไหนก็ได้นั่งหลังกระบะ !
เอาล่ะ คนพร้อม รถพร้อม แพลนพร้อม .....ออกเที่ยวกันเลย สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ "ท่าเทียบเรือควนตุ้งกู" ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าที่ใช้ในการไปทัวร์เกาะต่างๆในจังหวัดตรัง แต่ในตอนนี้ได้ย้ายไปขึ้นกันที่ท่าเรือหาดปากเมงแล้ว เหตุผลที่เราเลือกที่นี่เพราะชาวบ้านบอกว่ายังมีบริการอยู่แต่ไม่ได้ขายทัวร์ จะราคาถูกกว่า ซึ่งตอนเข้าไปคุยทีแรกพี่เค้าคิดเหมาลำราคา 4,000 บาท แต่ด้วยความโชคดีมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหลุดมา 4 คนเราจึงตกลงรวมกับเค้าเป็น 10 คนพอดี จึงได้ค่าเรือมาตกคนละ 400 บาท เย้ๆๆ
ซึ่งโปรแกรมเช้านี้ก็จะไปแวะดำน้ำที่ จุดดำน้ำถ้ำใหญ่ เข้าไปชมความงามของถ้ำมรกต และสัมผัสธรรมชาติสุดฟินบนเกาะกระดาน ว่าแล้วววไปกันเลยย
ใช้เวลาเพียง 25 นาที ก็มาถึงที่จุดแรกก็คือ ถ้ำใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะมุก ที่เรียกว่าถ้ำใหญ่ก็เพราะลักษณะ
ของถ้ำมีขนาดใหญ่และเมื่อก่อนเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำรังของนก ซึ่งน้ำก็มีสีเขียวใสสวยงามมากทีเดียว
ณ.จุดนี้เราสามารถดำน้ำตื้นเพื่อชมความงามของประการังนานาชนิดที่รายล้อมอยู่ทั่วบริเวณขอบๆซึ่งถ้าใครว่ายน้ำเก่งสวมอุปกรณ์และไปตามที่ต้องการเลย แต่ถ้าใครกลัวจม เจ้าหน้าที่ที่ไปกับเรือก็จะพาเกาะห่วงยางไปและได้ชมความงามของประการังเช่นกัน ซึ่งในแถบนี้ประการังยังคงสวยงาม ถ้าใครมีโอกาสได้แวะมาเยี่ยมเยียนก็อย่าลืมที่จะช่วยกันรักษาความงามของธรรมชาติไว้ด้วยนะคะ ดูประการังกันเต็มอิ่มก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางต่อไปยังจุดต่อไปนั่นคือ ถ้ำมรกตนั่นเองง.... พร้อมแล้ววไปกันเล้ยยยยยย!!!!!!!!!!!
สำหรับถ้ำมรกต ชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำน้ำ ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำกลางทะเลและเส้นทางเข้า – ออกของถ้ำจะเปิดกว้างออกหรือหุบแคบลงจนกระทั่งปิดตามระดับน้ำทะเลที่ขึ้นลงระหว่างวัน ถามาถ้ำมรกตในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้ไม่สามรว่ายเข้าไปชมความงามภายในถ้ำได้ถ้ำมรกตถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยกลุ่มราษฎรท้องถิ่นซึ่งว่ายน้ำเข้ามาหารังนกนางแอ่น ต่อมาถ้ำแห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสถานที่ซุกซ่อนสมบัติซึ่งเหล่าบรรดาโจรสลัดปล้นสะดมมาได้อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่พอมีคนไปเที่ยวเยอะขึ้นทำให้โจรสลัดต้องย้ายที่ซ่อนสมบัติออกไปในที่สุด
และที่นี่ก็คือภายในถ้ำมรกต ซึ่งการเข้ามานั้นจะต้องค่อยๆเกาะเชือกหรือหลังเพื่อนเข้ามา ว่ายทวนกระแสน้ำผ่านถ้ำที่มืดมิดเข้ามาถ้ำมรกตระยะทางยาวกว่า80เมตร เป็นถ้ำกลางท้องทะเลซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของเกาะมุกในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ถ้ำแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของ จ.ตรัง ขณะที่เราเข้าไปนั้นมันสายมากแล้วทำให้น้ำลง แต่คนเรือบอกว่าถ้าเรามาเช้าๆน้ำจะขึ้นเต็มหาดและสะท้อนแสงมรกตสวยงามมากทีเดียว แล้วแบบนี้ไม่ให้กลับมาใหม่ได้ไง ผ่านไปแล้วกับสองที่ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับพวกเราเด็กออกทะเลครั้งแรกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ไปกันต่อ ณ.ที่สุดท้ายคือเกาะกระดาน
ระหว่างทางสมาชิกก็เกิดหิวขึ้นมา ดีที่แม่ของพี่มิวให้บะจ่างเรามากันคนละลูก ซึ่งบะจ่างที่ตรังนั้นมีความแตกต่างจากที่เราเคยกินโดยสิ้นเชิง โดยภาษาพื้นเมืองจะเรียกว่า ฉั่ง ซึ่งไส้จะมีสองแบบคือหมูชิ้นและหมูสับ หมักกับเครื่องพะโล้มีรสหวานเค็ม และใส่ไข่ด้วย ซึ่งอีกหนึ่งความพิเศษคือ ข้าวเหนียวที่ใช้จะนึ่งกับกะิก่อนแล้วนำมาห่อ โดยจะมีสองขนาด คือ เล็ก และใหญ่ แต่ใหญ่เนื้อแยะและฟินกว่า 5555
ทำให้เมื่อกัดแล้วรู้สึกอร่อยแบบไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน มาตรังต้องลองนะ!! ลืมบอกไปว่า ฉั่ง หรือ บะจ่าง ก็เป็นอีกหนึ่งอาหารเช้าที่คนตรังนิยมทานคู่กับกาแฟเหมือนกันน้าจ้ะ เม้าเรื่องกินกันจนเพลิน ขณะที่เรือก็ยังคงเดินต่อไปแล้วก็มาหยุดอยู่ที่เกาะกระดานนนน
ซึ่งเกาะกระดานถือได้ว่าเป็นเกาะที่มีความสวยงามที่สุดในบรรดาเกาะของตรังเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่มาของชื่อนั้นก็เกิดจากเมื่อก่อนมีการเดินเรือสำเภาซึ่งนายลิบงได้ขึ้นไปอยู่ในเรือลำหนึ่งและต่อมาเมื่อเจ้าของตายตนเองก็ขึ้นเป็นใหญ่แทน วันหนึ่งก็ได้เดินเรือมายังเกาะบ้านเกิดตนเองแต่ด้วยความที่ฐานะเดิมจนจึงอาย นางมุกผู้เป็นภรรยาและลูกน้อง จึงไม่ให้พ่อแม่ของตนกอดและแสดงตัวและรีบเดินเรืออกไปจากเกาะ ทำให้ผู้เป็นพ่อออกเรือตามไปแล้วพูดว่า หากนั่นคือลูกชายตนจริงแล้วทำแบบนี้ขอให้เรืออัปปาง ซึ่งไม่นานกลางสมุทรก็เกิดพายุใหญ่ขึ้นทำให้เรือแตกและเกิดเป็นชื่อเกาะต่างๆ เกาะกระดานก็มาจากท้องเรือ เกาะมุก ก็คือภรรยานายลิบงที่กำลังท้อง ทำให้เกาะมีลักษณะคล้ายคนท้อง
ซึ่งที่นี่ก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มากทีเดียว หาดทรายขาวไม่มีสิ่งสกปรก น้ำใส และมีปลามากมายมารายล้อมตัวเรา ซึ่งเราก็ได้พักทานข้าวและพักผ่อนกันที่หาดกระดาน ก่อนที่จะออกมาดำน้ำต่อที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อชมประการังบริเวณเกาะกระดาน แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อขณะจะดำน้ำ มีสมาชิกคนหนึ่งที่กำลังก้าวขาลงไปเพื่อที่จะดำน้ำถูกหอยเม่นตำ ก็ทำให้พวกเราหวาดกลัวกันเล็กน้อย
แต่พี่ลูกเรือก็ได้ให้คำแนะนำและทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ ทำให้เพื่อนเราได้ลงไปดำดูหอยเม่นอีกนับพันตัว สำหรับพื้นที่ดำน้ำบริเวณเกาะกระดานจะเป็นลักษณะตื้นๆก่อนที่จะเป็นเหวลึกลงไป บริเวณตื้นๆจะมีปะการังหลากหลายชนิดทั้ง ปะการังสี ปะการรังสมอง หอยมือเสือ และ หอยเม่นตัวดี ซึ่งมีเยอะมากก พี่ลูกเรือก็แนะนำให้ลอยตัวขณะลงไปห้ามปล่อยให้เท้าลงไปแตะพื้นเด็ดขาด ก็จะปลอดภัย แต่ถ้าโดนหอยเม่นแล้วหลังจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็อย่าลืมที่จะกลับไปหาแพทย์เพื่อทำการรักษาให้หายเร็วขึ้นด้วยนะคะ เอาล่ะเจ็บตัวขนาดนี้แล้ว ไปต่อคงหมดสนุกพักสักหน่อยดีกว่า แล้วขึ้นฝั่งเพื่อไปต่อกันดีกว่าาาจ้าา บ๊ายยบายยยนะเจ้าเกาะ
จากนั้นเราก็ใช้เวลานั่ง ไม่สิ หลับบนเรือด้วยความเหนื่อยอ่อนมาเป็นเวลา 45 นาที ก็กลับสู่ท่าเทียบเรือควนตุ้งกูเรียบร้อย ก็ไม่ลืมที่จะโทรหาคุณลุงใจดี เพื่อให้มารับพวกเรา ซึ่งระหว่างรอด้วยความที่ตัวเปียกและยังไม่เคยได้อาบน้ำจืดตั้งแต่เมื่อวานเย็นพวกเราก็เลยอาศัยที่แห่งนี้เสียค่าบริการกันไปชิวๆคนละ 15 บาทเท่าน้านนน
ต่อแถวอาบน้ำเสร็จ ก็เสิชดูข้อมูลว่ามีที่ไหนที่เราพจะแวะไปก่อนที่จะเข้าไปในเมืองต่อได้บ้าง แล้ววก็มีคำนี้โผล่ขึ้นมา..บ่อน้ำร้อน?
เห้ยยยยได้ไง ตรังเนี่ยนะมีบ่อน้ำร้อนนด้วยย เอ้ารอไรละไปกันเลยยย ดังนั้นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ วณอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง