สวัสดีครับ ดูจากชื่อกระทู้แลประหนึ่งซีรีย์เกาหลีอย่างไงอย่างงั้น จริงๆก็อยากจะตั้งให้มันดีกว่านี้แต่ไม่รู้จะตั้งอะไรดี เอาง่ายๆห้วนๆแบบนี้แล้วกัน สำหรับกระทู้นี้นะครับเนื้อหาในกระทู้เป็นความจริงทั้งหมดอาจจะมีแต่งเติมบ้างนิดหน่อยเพราะบางทีผมก็จำไม่ค่อยได้ด้วยเลยต้องเรียบเรียงใหม่ แต่เนื้อหาหลักๆนั้นเป็นความจริงครับ
เข้าเรื่องเลยละกันนะครับ
ผมขอแนะนำตัวก่อนเลยนะครับ ผมมีชื่อว่าจุนเปย์ นามสกุลยามาดะ (ชื่อสมมุตินะครับ) ผมเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แม่ผมเป็นไทย พ่อผมเป็นญี่ปุ่น ผมเกิดและโตที่ญี่ปุ่น พอผมเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็คือตอนผมเข้าม.ปลาย แม่ผมก็ส่งผมกับพี่ชายให้มาอยู่ที่ประเทศไทยเพียงลำพังแค่สองคน ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่อยากให้ผมได้ไปรู้จักกับประเทศบ้านเกิดแม่แล้วผมก็อยากลองมาไทยดูสักครั้งด้วย ก่อนหน้าที่ผมกับพี่จะถูกส่งมาที่ไทย ผมกับพี่ก็พูดไทยได้ป๋อเรื่องอ่านเขียนก็ทำได้เพราะมีทั้งแม่และครูมาสอนให้ เพราะงั้นเรื่องการสื่อสารกับคนที่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาของพวกผม เพราะงั้นผมกับพี่ก็เลยถูกส่งให้มาอยู่ที่ไทยกัน ตอนนั้นมันมีเหตุผลหลายๆอย่างที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่สามารถมาอยู่ด้วยได้ ทั้งเรื่องงานแล้วก็อะไรก็ไม่รู้อีกตั้งเยอะแยะ ที่เป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ที่พวกผมสองคนไม่เข้าใจ และด้วยเหตุผลนั้นผมเลยต้องอยู่ไทยกับพี่ที่อายุห่างกับผมเพียงแค่ 3 ปี กันแค่ 2 คน ตอนนั้นผมอายุ 15 พี่ชายผมอายุ 18 (พี่ผมเข้ามหาลัยแล้ว) ตอนนั้นทั้งค่าที่อยู่ ที่กิน ทุกสิ่งทุกอย่างพ่อกับแม่ส่งให้ผมกับพี่ใช้ไม่ขาดมือชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้ลำบากอะไร พวกเขาเตรียมไว้ให้ทุกอย่างยกเว้นเวลาและการดูแลเอาใจใส่อย่างที่พ่อแม่คนอื่นเขาทำให้ลูกกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องนิสัยผม ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างเย็นชา โลกส่วนตัวสูงอยู่พอสมควร ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่สนิทกับพ่อ ผมไม่สนิทกับแม่ ผมไม่สนิทกับใครในบ้าน ผมไม่ชอบการเข้าสังคม ผมไม่เคยมีเพื่อนเลยที่ญี่ปุ่น ผมมีแต่แฟน ผมยอมรับนะว่าตอนนั้นผมคบแค่เอาไว้ทำเรื่องอย่างว่าเท่านั้น นอกจากแฟนก็มีเกมส์กับอนิเมะที่พอจะคุยกับผมรู้เรื่อง ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงไทยผมขอให้พี่พาผมไปเที่ยวผู้หญิงแล้วผมก็ได้เปิดจุกกับสาวไทยเป็นครั้งแรกกับผู้หญิงขายบริการ ถึงแม้ว่าลีลาจะไม่เร้าใจเท่าแฟนญี่ปุ่นคนเก่าของผมแต่ก็พอแก้ขัดอาการอยากได้บ้าง
ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตา ผมเห็นหน้าตัวเองผ่านกระจกมาตั้งแต่เด็ก คิ้วหนาอย่างกับชินจัง ตาชั้นเดียว ตัวขาวซีด สูง 187 ตัวผอม แม่ผมบอกว่าผมหล่อ แต่พ่อผมบอกว่าผมดูไม่มีหน่วยก้านดูอ่อนแอไม่แข็งแรงเหมือนพี่ผมที่เป็นนักกีฬาโรงเรียน
ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นพ่อผมเข้มงวดเอามากๆ ทุกอย่างต้องเป๊ะ เป๊ะ เพราะงั้นการที่ผมกับพี่ได้มาอยู่ที่ไทยมันเหมือนกับนักโทษที่ถูกปล่อยตัว วันแรกที่มาถึงประเทศไทยผมรู้สึกชอบมากๆ ทั้งอาหารไทยและผู้หญิงไทยอะไรก็ดูน่าอร่อยไปหมด แล้วด้วยความที่พวกเราไม่ใช่ลูกแหง่ ติดพ่อติดแม่ ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจมากที่จะได้อยู่กันเอง ไม่ต้องมีใครคอยตามบ่นตามด่า แต่พออยู่ๆนานๆไปก็คิดถึงอาหารฝีมือแม่ขึ้นมา แต่ว่ามันก็แค่นั้น ถ้ามันแลกมาด้วยอิสระ ของแค่นี้มันก็คุ้ม ผมคิดแบบนั้น โดยที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งอิสระของผมในตอนนั้นมันจะทำให้ผมต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายที่สุดในชีวิต
ตอนนั้นผมเข้าเรียน ชั้นม.4 ที่โรงเรียนชายล้วนที่หนึ่ง เป็นโรงเรียนเอกชน ซึ่งถ้าผมบอกชื่อโรงเรียนไป ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักโรงเรียนนี้ ผมเข้าเรียนที่นี่ ถึงแม้ว่าภายนอกจะถูกตราหน้าจากคนอื่นว่าโรงเรียนลูกคนรวยแต่สภาพภายในก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่อื่น จริงอยู่ที่ประชากรในนั้นผิวพรรณดีกันแทบทุกคนแต่เรื่องจิตใจและนิสัยผมว่ามันค่อนข้างที่ย้อนแย้งกันอยู่ มีทั้งเพื่อนติดยา มีทั้งเพื่อนติด he (โรงเรียนข้างๆ) เอาซะเลือกไม่ถูกเลยว่าจะติดอะไรดี
ผมขอเล่าตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนเลยละกัน ตอนนั้นวันเปิดเทอมวันแรกผมก็ประเดิมมาสายตั้งแต่ครั้งแรก (ณ จุดๆนี้ นาฬิกาปลุกไม่ดีเท่าแม่ปลุกจริงๆครับ) ผมก็โดนทำโทษอยู่ข้างล่างในโทษฐานที่มาสายเลยทำให้ขึ้นห้องเรียนช้ากว่าอื่น พอผมเข้าไปในห้อง อาจารย์ประจำชั้นเขาก็ให้ผมแนะนำตัวกับเพื่อนๆในห้องเรียน
ผม : สวัสดีครับผมชื่อ ยามาดะ จุนเปย์ (ตอนนั้นผมลืมไปว่าคนไทยเขาเอานามสุกลไว้ข้างหลังผมก็เลยเผลออุทานเสียมารยาทไป) เอ้ย ขอโทษครับ จุนเปย์ ยามาดะ ชื่อเล่น จุน ครับ
แล้วอาจารย์เขาก็เสริมไปว่าผมมาจากญี่ปุ่นยังไม่ค่อยคุ้นชินกับเมืองไทยเท่าไหร่ แล้วจารย์ก็ชี้นิ้วไปที่ผู้ชายคนนึง บอกว่าให้ผมไปนั่งกับเขา เขาเป็นหัวหน้าห้อง จะคอยแนะนำผมได้ ผมก็โอเค ค่อยๆเดินเข้าไปนั่ง
ด้วยความที่ผมไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มคุยยังไง ผมทำตัวไม่ถูกก็เลยได้แต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร เข้าช่วงพักเที่ยงดีหน่อยที่พวกเพื่อน ชวนผมไปกินข้าว ผมก็โอเคไปกินกับพวกมัน ด้วยความที่อยากจะรู้ว่าคนไทยมีนิสัยเป็นไงด้วยก็เลยตอบตกลง ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวมาเหยียบที่เมืองไทยรู้สึกชอบที่นี่มากๆ เพราะอาหารอร่อยน่าทาน ผู้หญิงก็สวยถูกใจจนต้องเหลียวมอง จนถึงตอนนั้นที่ได้สัมผัสกับคนไทยและคุยกับคนไทยแบบเพื่อนเป็นครั้งแรกก็ยิ่งชอบ ผมว่าทุกคนเป็นกันเองดี สนิทกันได้ไว แล้วผมก็มีเพื่อนเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาผิดกับตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น พอเริ่มคุยกันสนิทพูดคำหยาบกัน (ตอนนั้นสับสนกับคำหยาบและคำด่าบางคำเพิ่งเคยได้ยิน ไม่รู้ว่าเป็นคำด่าได้ไงก็งงๆกันไป) ตอนนั้นเองพวกมันก็ชวนผมไปที่ๆหนึ่งซึ่งเป็นที่ลับตาคน
"สูบป๊ะ"
มันพูดแล้วก็ยื่นบุหรี่มาให้ผม
ผมรับมันมาทันที แบบง่ายๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
แล้วนั่นก็เป็นการสูบบุหรี่ครั้งแรกของผม
ตอนนั้นมันเหมือนกับเป็นก้าวแรกของทุกอย่าง ...
อย่างที่ผมบอกไปว่าที่โรงเรียนนี้มั้งทั้งเด็กติดยาและเด็กติด he พอผมเข้าไปผมก็ติดอย่างแรกไปแล้วเพียงแค่ไม่กี่วัน
หลังจากวันนั้นผมก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นโดยปริยาย จากสูบบุหรี่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันยิ่งกว่านั้นทั้งเหล้า กัญชาและเค แต่ไอที่ผมชอบที่สุดก็คือกัญชา เพราะมันทำให้ผมผ่อนคลายและอารมณ์ดีจนรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่ตัวผม พอเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งลงลึกลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีพ่อแม่คอยจู้จี้ ผมกลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง นอนบ้านเพื่อนบ้าง โรงเรียนไม่ไปบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยโทษว่ามันเป็นความผิดของเพื่อนผมที่นำพาผม หรือความผิดของพ่อแม่ที่ไม่ดูแลผม ผมไม่ได้จะโทษพี่ชายของผมที่เป็นคนที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ เห็นแก่ตัว ไม่สนใจ ไม่เป็นห่วง ทำตัวต่างคนต่างอยู่กับผม ผมไม่เคยโทษ ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในชีวิตของผมมันเอื้ออำนวยให้ผม here แต่ผมก็รู้ว่าทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวของผมเองทั้งหมด ชีวิตของผมเริ่มเดินเข้าสู่ช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต
นอกจากเรื่องยาก็ยังมีเรื่องผู้หญิง เวลาเมาๆจากการเสพแล้วผมมีความต้องการทางเพศสูง ต้องหาที่ลง ก็เลยต้องหาผู้หญิงสักคนไว้เพื่อแก้อยาก แต่ถึงจะอยากยังไงผมก็เลือก คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้เครื่องระบายอารมณ์ที่ดูแล้วไม่มีอารมณ์แน่ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไรสำหรับผมที่จะหาผู้หญิงหน้าตาดีๆสักคนมาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ เนื่องจากว่าผมหน้าตาไม่ได้แย่อะไร ดูจากภายนอกคงไม่มีใครรู้ว่าผมมีสันดานแบบนี้ คนเราส่วนมากก็ดูคนที่ภายนอกกันทั้งนั้น เห็นหล่อๆ ท่าทางมีตัง มีรถดีๆขี่ ก็วิ่งขาขวิดจนแทบจะกระโจนจับเหยื่อ ผมไม่รู้สึกหรอกนะว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดหรืออาจเพราะระบบศีลธรรมในตัวของผมมันเสื่อม อันนี้ผมก็ไม่รู้ ผมว่ามันแฟร์ เขามองผมที่ภายนอก ผมก็มองเขาที่ภายนอกเหมือนกัน แค่หน้ากับนมเท่านั้น ก่อนผมจะตกลงไปเยกับใครผมบอกเสมอว่าผมต้องการอะไร แล้วผมไม่ต้องการอะไร รูปแบบความสัมพันธ์ของผมมันเป็นแบบไหน แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความรักแต่เป็นเรื่องของความใคร่ล้วนๆ คนส่วนมากสามารถมี sex ได้แม้ไม่ได้รัก เรื่องรักกับ sex มันคนละเรื่องกัน ในเมื่อผมตกลง เขาตกลง ทั้งสองโอเค เราก็ไปเยกัน
ชีวิตในไทยของผมมันก็เป็นอย่างนั้น เรื่องผู้หญิง เรื่องยา เรื่องเพื่อน ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับ 3 สิ่งนี้ ทั้งๆที่เป็นวัยเรียนแต่ผมตอนนั้นแทบไม่มีเรื่องเรียนอยู่ในหัวสมองเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นเนื่องด้วยความประพฤติที่เลวทรามของผม ทำให้ครูต้องติดต่อไปหาพ่อ เล่าถึงวีรกรรมเรื่องต่างๆ พ่อผมเขาไม่พูดอะไรมากเขาบอกแค่ว่า ถ้าผมเรียนไม่จบเขาจะเรียกผมกลับ ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกกลัวพ่อผมเลยสักนิดแต่ผมกลัวว่าผมต้องกลับญี่ปุ่น อะไรหลายๆอย่างที่ผมได้มาเรียนรู้ที่นี่ ความอิสระที่ผมเพิ่งได้มันมา ผมไม่ยอมเสียมันไปแน่ ผมก็เลยได้แต่เรียนๆเอาแค่ผ่านๆพอ ติด 0 ก็แก้ ติด ร ก็แก้ ติด มส ก็แก้ โชคดีที่ผมเป็นพวกชอบแก้ จนสุดท้ายผมก็สามารถถูๆไถๆจนจบ ม.4 ไปได้
เวลา 1 ปีที่ผมอยู่กับเพื่อนที่ไทยมา เพื่อนทุกคนรับรู้ถึงความ here ของผมเป็นอย่างดี จุนเปย์สายเย ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย จากพฤติกรรมความเหงี่ยนล้วนๆ (ไอตอนแรกไม่รู้จักคำนี้อะไรวะ เหงี่ยนๆ ชอบด่ากูจัง พอมารู้ที่หลัง ก็อ๋อ อืม อือ กันไป) ผมเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างภาพลักษณ์ว่าผมเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดีมาจุติยังโลก ในกลุ่มเพื่อนผมไม่มีใครดีสักคน ทุกคนต่างรู้สันดานของตัวเองกันดีว่าแต่ละคนมันเป็นยังไง ในกลุ่มของผมมีกันหลายคนแต่ผมมีเพื่อนคนนึงที่ผมสนิทที่สุด ผมขอเรียกมันว่าไอแบงค์ละกัน ผมกับไอแบงค์สนิทกันมากจนถึงขั้นเคยร่วมสวิงกิงด้วยกัน ชาย 2 หญิง 1 (ขอบอกก่อนครับว่าตอนนั้นไม่ใช่การบังคับขืนใจแต่อย่างใด ทางฝ่ายหญิงยินยอมแล้วพร้อมใจรับในข้อตกลงครับ) พูดง่ายๆว่าในกลุ่มนั้น ถ้าจะมีใครรับรู้ถึงความ here ของผมได้ดีที่สุด ตั้งแต่ไส้ติ่งยันไส้อั่วก็คงมีแต่ไอแบงค์นี่ล่ะ แล้วสำหรับไอแบงค์ ถ้าพูดถึงความ here ก็ไม่เป็นสองรองผมแค่เรื่องยาเพราะไอแบงค์ไม่เคยแตะยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมีก็แต่เรื่องผู้หญิง ผมกับไอแบงค์ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาหลายๆเรื่อง จนผมไว้ใจ ยกให้มันเป็นเพื่อนตายเลยก็ว่าได้
เดี๋ยวผมมาต่อนะครับ
(18+) เธอคือโลกทั้งใบของนายยามาดะ จุนเปย์
เข้าเรื่องเลยละกันนะครับ
ผมขอแนะนำตัวก่อนเลยนะครับ ผมมีชื่อว่าจุนเปย์ นามสกุลยามาดะ (ชื่อสมมุตินะครับ) ผมเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แม่ผมเป็นไทย พ่อผมเป็นญี่ปุ่น ผมเกิดและโตที่ญี่ปุ่น พอผมเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็คือตอนผมเข้าม.ปลาย แม่ผมก็ส่งผมกับพี่ชายให้มาอยู่ที่ประเทศไทยเพียงลำพังแค่สองคน ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่อยากให้ผมได้ไปรู้จักกับประเทศบ้านเกิดแม่แล้วผมก็อยากลองมาไทยดูสักครั้งด้วย ก่อนหน้าที่ผมกับพี่จะถูกส่งมาที่ไทย ผมกับพี่ก็พูดไทยได้ป๋อเรื่องอ่านเขียนก็ทำได้เพราะมีทั้งแม่และครูมาสอนให้ เพราะงั้นเรื่องการสื่อสารกับคนที่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาของพวกผม เพราะงั้นผมกับพี่ก็เลยถูกส่งให้มาอยู่ที่ไทยกัน ตอนนั้นมันมีเหตุผลหลายๆอย่างที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่สามารถมาอยู่ด้วยได้ ทั้งเรื่องงานแล้วก็อะไรก็ไม่รู้อีกตั้งเยอะแยะ ที่เป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ที่พวกผมสองคนไม่เข้าใจ และด้วยเหตุผลนั้นผมเลยต้องอยู่ไทยกับพี่ที่อายุห่างกับผมเพียงแค่ 3 ปี กันแค่ 2 คน ตอนนั้นผมอายุ 15 พี่ชายผมอายุ 18 (พี่ผมเข้ามหาลัยแล้ว) ตอนนั้นทั้งค่าที่อยู่ ที่กิน ทุกสิ่งทุกอย่างพ่อกับแม่ส่งให้ผมกับพี่ใช้ไม่ขาดมือชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้ลำบากอะไร พวกเขาเตรียมไว้ให้ทุกอย่างยกเว้นเวลาและการดูแลเอาใจใส่อย่างที่พ่อแม่คนอื่นเขาทำให้ลูกกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องนิสัยผม ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างเย็นชา โลกส่วนตัวสูงอยู่พอสมควร ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่สนิทกับพ่อ ผมไม่สนิทกับแม่ ผมไม่สนิทกับใครในบ้าน ผมไม่ชอบการเข้าสังคม ผมไม่เคยมีเพื่อนเลยที่ญี่ปุ่น ผมมีแต่แฟน ผมยอมรับนะว่าตอนนั้นผมคบแค่เอาไว้ทำเรื่องอย่างว่าเท่านั้น นอกจากแฟนก็มีเกมส์กับอนิเมะที่พอจะคุยกับผมรู้เรื่อง ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงไทยผมขอให้พี่พาผมไปเที่ยวผู้หญิงแล้วผมก็ได้เปิดจุกกับสาวไทยเป็นครั้งแรกกับผู้หญิงขายบริการ ถึงแม้ว่าลีลาจะไม่เร้าใจเท่าแฟนญี่ปุ่นคนเก่าของผมแต่ก็พอแก้ขัดอาการอยากได้บ้าง
ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตา ผมเห็นหน้าตัวเองผ่านกระจกมาตั้งแต่เด็ก คิ้วหนาอย่างกับชินจัง ตาชั้นเดียว ตัวขาวซีด สูง 187 ตัวผอม แม่ผมบอกว่าผมหล่อ แต่พ่อผมบอกว่าผมดูไม่มีหน่วยก้านดูอ่อนแอไม่แข็งแรงเหมือนพี่ผมที่เป็นนักกีฬาโรงเรียน
ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นพ่อผมเข้มงวดเอามากๆ ทุกอย่างต้องเป๊ะ เป๊ะ เพราะงั้นการที่ผมกับพี่ได้มาอยู่ที่ไทยมันเหมือนกับนักโทษที่ถูกปล่อยตัว วันแรกที่มาถึงประเทศไทยผมรู้สึกชอบมากๆ ทั้งอาหารไทยและผู้หญิงไทยอะไรก็ดูน่าอร่อยไปหมด แล้วด้วยความที่พวกเราไม่ใช่ลูกแหง่ ติดพ่อติดแม่ ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจมากที่จะได้อยู่กันเอง ไม่ต้องมีใครคอยตามบ่นตามด่า แต่พออยู่ๆนานๆไปก็คิดถึงอาหารฝีมือแม่ขึ้นมา แต่ว่ามันก็แค่นั้น ถ้ามันแลกมาด้วยอิสระ ของแค่นี้มันก็คุ้ม ผมคิดแบบนั้น โดยที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งอิสระของผมในตอนนั้นมันจะทำให้ผมต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายที่สุดในชีวิต
ตอนนั้นผมเข้าเรียน ชั้นม.4 ที่โรงเรียนชายล้วนที่หนึ่ง เป็นโรงเรียนเอกชน ซึ่งถ้าผมบอกชื่อโรงเรียนไป ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักโรงเรียนนี้ ผมเข้าเรียนที่นี่ ถึงแม้ว่าภายนอกจะถูกตราหน้าจากคนอื่นว่าโรงเรียนลูกคนรวยแต่สภาพภายในก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่อื่น จริงอยู่ที่ประชากรในนั้นผิวพรรณดีกันแทบทุกคนแต่เรื่องจิตใจและนิสัยผมว่ามันค่อนข้างที่ย้อนแย้งกันอยู่ มีทั้งเพื่อนติดยา มีทั้งเพื่อนติด he (โรงเรียนข้างๆ) เอาซะเลือกไม่ถูกเลยว่าจะติดอะไรดี
ผมขอเล่าตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนเลยละกัน ตอนนั้นวันเปิดเทอมวันแรกผมก็ประเดิมมาสายตั้งแต่ครั้งแรก (ณ จุดๆนี้ นาฬิกาปลุกไม่ดีเท่าแม่ปลุกจริงๆครับ) ผมก็โดนทำโทษอยู่ข้างล่างในโทษฐานที่มาสายเลยทำให้ขึ้นห้องเรียนช้ากว่าอื่น พอผมเข้าไปในห้อง อาจารย์ประจำชั้นเขาก็ให้ผมแนะนำตัวกับเพื่อนๆในห้องเรียน
ผม : สวัสดีครับผมชื่อ ยามาดะ จุนเปย์ (ตอนนั้นผมลืมไปว่าคนไทยเขาเอานามสุกลไว้ข้างหลังผมก็เลยเผลออุทานเสียมารยาทไป) เอ้ย ขอโทษครับ จุนเปย์ ยามาดะ ชื่อเล่น จุน ครับ
แล้วอาจารย์เขาก็เสริมไปว่าผมมาจากญี่ปุ่นยังไม่ค่อยคุ้นชินกับเมืองไทยเท่าไหร่ แล้วจารย์ก็ชี้นิ้วไปที่ผู้ชายคนนึง บอกว่าให้ผมไปนั่งกับเขา เขาเป็นหัวหน้าห้อง จะคอยแนะนำผมได้ ผมก็โอเค ค่อยๆเดินเข้าไปนั่ง
ด้วยความที่ผมไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มคุยยังไง ผมทำตัวไม่ถูกก็เลยได้แต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร เข้าช่วงพักเที่ยงดีหน่อยที่พวกเพื่อน ชวนผมไปกินข้าว ผมก็โอเคไปกินกับพวกมัน ด้วยความที่อยากจะรู้ว่าคนไทยมีนิสัยเป็นไงด้วยก็เลยตอบตกลง ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวมาเหยียบที่เมืองไทยรู้สึกชอบที่นี่มากๆ เพราะอาหารอร่อยน่าทาน ผู้หญิงก็สวยถูกใจจนต้องเหลียวมอง จนถึงตอนนั้นที่ได้สัมผัสกับคนไทยและคุยกับคนไทยแบบเพื่อนเป็นครั้งแรกก็ยิ่งชอบ ผมว่าทุกคนเป็นกันเองดี สนิทกันได้ไว แล้วผมก็มีเพื่อนเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาผิดกับตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น พอเริ่มคุยกันสนิทพูดคำหยาบกัน (ตอนนั้นสับสนกับคำหยาบและคำด่าบางคำเพิ่งเคยได้ยิน ไม่รู้ว่าเป็นคำด่าได้ไงก็งงๆกันไป) ตอนนั้นเองพวกมันก็ชวนผมไปที่ๆหนึ่งซึ่งเป็นที่ลับตาคน
"สูบป๊ะ"
มันพูดแล้วก็ยื่นบุหรี่มาให้ผม
ผมรับมันมาทันที แบบง่ายๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
แล้วนั่นก็เป็นการสูบบุหรี่ครั้งแรกของผม
ตอนนั้นมันเหมือนกับเป็นก้าวแรกของทุกอย่าง ...
อย่างที่ผมบอกไปว่าที่โรงเรียนนี้มั้งทั้งเด็กติดยาและเด็กติด he พอผมเข้าไปผมก็ติดอย่างแรกไปแล้วเพียงแค่ไม่กี่วัน
หลังจากวันนั้นผมก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นโดยปริยาย จากสูบบุหรี่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันยิ่งกว่านั้นทั้งเหล้า กัญชาและเค แต่ไอที่ผมชอบที่สุดก็คือกัญชา เพราะมันทำให้ผมผ่อนคลายและอารมณ์ดีจนรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่ตัวผม พอเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งลงลึกลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีพ่อแม่คอยจู้จี้ ผมกลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง นอนบ้านเพื่อนบ้าง โรงเรียนไม่ไปบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยโทษว่ามันเป็นความผิดของเพื่อนผมที่นำพาผม หรือความผิดของพ่อแม่ที่ไม่ดูแลผม ผมไม่ได้จะโทษพี่ชายของผมที่เป็นคนที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ เห็นแก่ตัว ไม่สนใจ ไม่เป็นห่วง ทำตัวต่างคนต่างอยู่กับผม ผมไม่เคยโทษ ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในชีวิตของผมมันเอื้ออำนวยให้ผม here แต่ผมก็รู้ว่าทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวของผมเองทั้งหมด ชีวิตของผมเริ่มเดินเข้าสู่ช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต
นอกจากเรื่องยาก็ยังมีเรื่องผู้หญิง เวลาเมาๆจากการเสพแล้วผมมีความต้องการทางเพศสูง ต้องหาที่ลง ก็เลยต้องหาผู้หญิงสักคนไว้เพื่อแก้อยาก แต่ถึงจะอยากยังไงผมก็เลือก คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้เครื่องระบายอารมณ์ที่ดูแล้วไม่มีอารมณ์แน่ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไรสำหรับผมที่จะหาผู้หญิงหน้าตาดีๆสักคนมาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ เนื่องจากว่าผมหน้าตาไม่ได้แย่อะไร ดูจากภายนอกคงไม่มีใครรู้ว่าผมมีสันดานแบบนี้ คนเราส่วนมากก็ดูคนที่ภายนอกกันทั้งนั้น เห็นหล่อๆ ท่าทางมีตัง มีรถดีๆขี่ ก็วิ่งขาขวิดจนแทบจะกระโจนจับเหยื่อ ผมไม่รู้สึกหรอกนะว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดหรืออาจเพราะระบบศีลธรรมในตัวของผมมันเสื่อม อันนี้ผมก็ไม่รู้ ผมว่ามันแฟร์ เขามองผมที่ภายนอก ผมก็มองเขาที่ภายนอกเหมือนกัน แค่หน้ากับนมเท่านั้น ก่อนผมจะตกลงไปเยกับใครผมบอกเสมอว่าผมต้องการอะไร แล้วผมไม่ต้องการอะไร รูปแบบความสัมพันธ์ของผมมันเป็นแบบไหน แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความรักแต่เป็นเรื่องของความใคร่ล้วนๆ คนส่วนมากสามารถมี sex ได้แม้ไม่ได้รัก เรื่องรักกับ sex มันคนละเรื่องกัน ในเมื่อผมตกลง เขาตกลง ทั้งสองโอเค เราก็ไปเยกัน
ชีวิตในไทยของผมมันก็เป็นอย่างนั้น เรื่องผู้หญิง เรื่องยา เรื่องเพื่อน ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับ 3 สิ่งนี้ ทั้งๆที่เป็นวัยเรียนแต่ผมตอนนั้นแทบไม่มีเรื่องเรียนอยู่ในหัวสมองเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นเนื่องด้วยความประพฤติที่เลวทรามของผม ทำให้ครูต้องติดต่อไปหาพ่อ เล่าถึงวีรกรรมเรื่องต่างๆ พ่อผมเขาไม่พูดอะไรมากเขาบอกแค่ว่า ถ้าผมเรียนไม่จบเขาจะเรียกผมกลับ ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกกลัวพ่อผมเลยสักนิดแต่ผมกลัวว่าผมต้องกลับญี่ปุ่น อะไรหลายๆอย่างที่ผมได้มาเรียนรู้ที่นี่ ความอิสระที่ผมเพิ่งได้มันมา ผมไม่ยอมเสียมันไปแน่ ผมก็เลยได้แต่เรียนๆเอาแค่ผ่านๆพอ ติด 0 ก็แก้ ติด ร ก็แก้ ติด มส ก็แก้ โชคดีที่ผมเป็นพวกชอบแก้ จนสุดท้ายผมก็สามารถถูๆไถๆจนจบ ม.4 ไปได้
เวลา 1 ปีที่ผมอยู่กับเพื่อนที่ไทยมา เพื่อนทุกคนรับรู้ถึงความ here ของผมเป็นอย่างดี จุนเปย์สายเย ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย จากพฤติกรรมความเหงี่ยนล้วนๆ (ไอตอนแรกไม่รู้จักคำนี้อะไรวะ เหงี่ยนๆ ชอบด่ากูจัง พอมารู้ที่หลัง ก็อ๋อ อืม อือ กันไป) ผมเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างภาพลักษณ์ว่าผมเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดีมาจุติยังโลก ในกลุ่มเพื่อนผมไม่มีใครดีสักคน ทุกคนต่างรู้สันดานของตัวเองกันดีว่าแต่ละคนมันเป็นยังไง ในกลุ่มของผมมีกันหลายคนแต่ผมมีเพื่อนคนนึงที่ผมสนิทที่สุด ผมขอเรียกมันว่าไอแบงค์ละกัน ผมกับไอแบงค์สนิทกันมากจนถึงขั้นเคยร่วมสวิงกิงด้วยกัน ชาย 2 หญิง 1 (ขอบอกก่อนครับว่าตอนนั้นไม่ใช่การบังคับขืนใจแต่อย่างใด ทางฝ่ายหญิงยินยอมแล้วพร้อมใจรับในข้อตกลงครับ) พูดง่ายๆว่าในกลุ่มนั้น ถ้าจะมีใครรับรู้ถึงความ here ของผมได้ดีที่สุด ตั้งแต่ไส้ติ่งยันไส้อั่วก็คงมีแต่ไอแบงค์นี่ล่ะ แล้วสำหรับไอแบงค์ ถ้าพูดถึงความ here ก็ไม่เป็นสองรองผมแค่เรื่องยาเพราะไอแบงค์ไม่เคยแตะยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมีก็แต่เรื่องผู้หญิง ผมกับไอแบงค์ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาหลายๆเรื่อง จนผมไว้ใจ ยกให้มันเป็นเพื่อนตายเลยก็ว่าได้
เดี๋ยวผมมาต่อนะครับ