[SR] ไปกะแหร่ง กับเด็กกะโหลก ณ กาญฯ ละ ครั้ง หนึ่ง // ช้าง ม้า ป่า และสายน้ำ



    สวัสดีนะฮะ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่แวะเข้ามาชมรีวิวนี้ จริงๆแล้วนี่เป็นการรีวิวทริปการเดินทางของเราครั้งแรก แต่เราก็ตั้งใจและเต็มใจจะพร้อมนำเสนอเนื้อหารีวิวการเดินทางของเราครั้งนี้มากเลยนะ

กะแหร่ง (adj) หมายถึง ตัวอิจฉา, ความเผือก, เสนอหน้า

    เราจะขอเกริ่นถึงตัวผู้เดินทางเองก่อนเลยละกันนะ ถือเป็นการแนะนำตัวด้วยเลย เราเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้ว ทริปนี้ถือเป็นทริปเปิดประสบการณ์ในสถานที่ใหม่ๆที่ทุกคนในกลุ่มไม่คุ้นเคยสมาชิกในทริปนี้ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในการมั่วเส้นทางทั้ง 4 หนึ่งนี้ในเรามีสมาชิกเป็นคนพื้นที่ที่เกิดและมีบ้านอยู่ที่จังหวัดนี้ แต่แล้วมาติดตามกันว่าความเป็นชนพื้นเมืองของเขานั้นจะเป็นประโยชน์หรือไม่มากน้อยประการใด


    คอนเซปของการเดินทางในครั้งนี้ เราตั้งไว้ว่าจะใช้จ่ายให้น้อยที่สุด โดยมีงบจำกัดกันอยู่ที่คนละประมาณ 3,000 บาท ใช้ในระยะเวลาตลอดทริป 3 วัน 2 คืนของเรา รวมทุกสิ่งอย่างแล้ว ลองติดตามกันว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ

    เริ่มต้นด้วยการบอกเส้นทางที่เราจะพาทุกคนไปเที่ยวด้วยกันต่อจากนี้เลยดีกว่า Route วันนี้ที่เราขอเสนอเป็นเส้นทางจากกรุงเทพ(หรือเปล่านะ) สู่เมืองแห่งแร่และน้ำตก นั่นก็คือจังหวัดกาญจนบุรี หรือที่คนนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่าเมืองกาญฯ นั่นหล่ะนะ (หลายคนคงนึกว่าจะเล่นมุก กาญ-น๊ะ-จ๊ะ-บุรี อ๊ะเจ้ย! ไม่นะ เราไม่เล่น)

    หากเปิดดูในแผนที่ประเทศแล้ว กาญจนบุรีก็ถือเป็นจังหวัดที่ไม่ใกล้ และไม่ไกลมากสำหรับการเริ่มเดินทางจากกรุงเทพ ขับรถไประยะทางก็ประมาณ 150 ก.ม. ได้ ขับไปเรื่อยๆ ก็ใช้เวลาตกอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ แต่สำหรับทริปของเราในครั้งนี้ เราเลือกที่จะเดินทางด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การเดินทางด้วยรถส่วนตัว และที่สำคัญต้องประหยัดที่สุดด้วย


    ด้วยความบังเอิญหรืออาจจะเป็นการวางแผนที่ตระเตรียมมาอย่างดีซะมากกว่า ทำให้การเดินทางในเที่ยว “ขาไป” ในครั้งนี้เราเลือกที่จะติดรถของทางค่ายอาสาที่ทางภาควิชาของเราจัดขึ้นโดยมีเป้าหมายไปที่จังหวัดกาญจนบุรีอยู่แล้ว (อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นนะ) เพราะเป็นการเดินทางด้วยรถบัสทำให้ต้องใช้เวลามากพอสมควร เราจะขอข้ามความเมื่อยก้น อ่อนล้าระหว่างการเดินทางไป ข้ามไปเมื่อถึงที่กาญฯเลยละกัน พอรถเริ่มเข้าตัวจังหวัด สิ่งที่เพื่อนที่เป็นคนเมืองกาญฯ ทำคือการชี้ชวนให้เพื่อนๆดูสถานที่ต่างๆตามแล้วแต่ที่ความทรงจำของเขาจะเอื้ออำนวย ชี้ให้ดูโรงเรียนนั้น บ้านนี้ไปพลาง เล่าประสบการณ์ตัวเองไปพลาง นั่นเป็นสิ่งแรกที่เราได้สัมผัสและได้เรียนรู้ นอกเหนือจากแดดที่ร้อนเปรี้ยงสาดส่องอยู่นอกตัวรถ
    ขอข้ามช่วงเวลาและรายละเอียดของทางค่ายไปเลยละกัน เราจะไปต่อกันที่ทริปครั้งสุดท้ายของช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยของพวกเราทั้ง 4 คนที่จะตราตรึงใจไม่มีลืมเลือน ซึ่งมีชื่อทริปว่า “กาญฯ-ละ-ครั้ง-หนึ่ง”

    ในกลุ่มของเรามีสมาชิกเป็นคนเมืองกาญฯ แท้คนหนึ่ง อยู่และเติบโตมาตั้งแต่ยังเด็ก นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวความเชื่อของเราได้ดีมากว่าความเป็นคนพื้นที่ของจังหวัดนี้จะช่วยให้ทริปนี้ของเราราบรื่น แต่เราก็ไม่ลืมที่จะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้างในบางครั้งคราว (ไม่ขนาดนั้น) แต่ด้วยความที่เราลืมไปว่าเพื่อนนั้นถึงจะเป็นคนกาญฯ แท้ๆก็จริง แต่จังหวัดนี้ก็ไม่ใช่เล็กๆนะ และพี่ท่านก็บังเอิญอยู่แต่ในตำบลตัวเอง ไม่ค่อยได้เดินทางในไหนในเมืองกาญฯบ่อยนัก การจะหวังเป็นที่พึ่งทางใจให้เป็นไกด์พาทัวร์ จึงตัดทิ้งไป ทำให้ความสนุกแบบไร้แบบแผนจึงเริ่มขึ้น

    แต่จะว่าไร้แบบแผนเลยทีเดียวก็ไม่ใช้ ก่อนหน้านี้เราได้วางแผนเรื่องงบประมาณสำหรับตลอดทริปนี้ เรื่องที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เราจะไปบุกตะลุยกันเอาไว้แล้ว เราจากลารถของทางค่ายอาสาที่ตลาดพลอยบริเวณทางรถไฟซึ่งเป็นแหล่งซื้อของฝากและจุดพักของพื้นที่บริเวณนั้น และเดินทางต่อไปที่ที่พักที่เราได้ติดต่อไว้แล้ว ที่พักที่เราเลือกถือว่าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีเลย เพราะอยู่ใกล้กับตัวตลาดสดแถวนั้นและบริเวณสุสานทหารสัมพันธมิตร ดอนรักด้วย ที่ที่เราพูดถึงนี้คือ “บ้านมะเฟือง” โรงแรมขนาดกะทัดรัดและพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ไกลจากวิทายาลัยอาชีวะฯ กาญจนบุรีมากนัก


    ด้านหน้าอาคารอยู่ติดกับถนนเส้นแสงชูโตเลยเลย มี front สำหรับติดต่อห้องพักอยู่ด้านหน้า ภายในเป็นบาร์ร้านน้ำเล็กๆ โดยมีคุณพี่เจ้าของที่ใจดี คอยดูแลต้อนรับอยู่ ราคาค่าบริการถือว่าคุ้มค่าเลย ด้วยบริการและการตกแต่งรวมถึงที่ตั้งของโรงแรมด้วย


ด้านข้างจะมีซอยทางเข้าสำหรับเข้าไปในโซนห้องพักมีจำนวนหลายห้องพอสมควร


บรรยากาศในห้องถือว่าดีเลย เหมาะแก่การพักผ่อนจากการเดินทางมาเหนื่อยๆมาก ไหนๆก็ขอลองเตียงสักหน่อยเลย


    พอจัดแจงเรื่องที่พักเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มต้นด้วยการหาพาหนะสำหรับการไปตะลอนต่อกันก่อนเลย นั่นคือการเช่ามอเตอร์ไซค์สำหรับขับชมเมืองเกร๋ๆกันนั่นเอง การหาเช่ามอเตอร์ไซค์ในจังหวัดนี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากเมืองท่องเที่ยวที่อื่นๆคือ ที่นี่มักไม่นิยมให้คนไทยเช่ามอเตอร์ไซค์กันเท่าไหร่นัก เหตุผลที่ถามๆมาคือ มันค่อนข้างหายบ่อย ตอนที่เราไปตระเวนหากันก็พบว่ามันหาเช่ายากจริงอย่างที่ว่า ราคาของมอเตอร์ไซค์ในรูปแบบรายวันมีตั้งแต่ราคา 200 ขึ้นไป ถึงหลักพัน แหล่งที่จะพบร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ก็จะเป็นซอยที่มีร้านอาหารมีบาร์เยอะๆ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินกันทั่วไป หาไม่ยากเท่าไหร่ ถามคนแถวนั้นดูได้เลย


เสร็จเรื่องการเช่ายืมพาหนะแล้ว เรามาเริ่มอาหารมื้อแรกของจังหวัดนี้กันที่ร้านห้องอาหารสบายจิต ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่พักเราไม่ไกลมากนัก ขับรถมาเลยแยกสุสานอีกซักพักแล้วกลับรถไปอีกฝั่งถนนก็จะเจอแล้ว ร้านนี้ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะเปิดมานอนพอสมควร สิ่งที่จะการันตรีให้ร้านนี้อยู่ได้นานนั้น เราเดาว่าคงต้องเป็นรสชาติอาหารแน่เลย ซึ่งเราก็เดาถูกนะ ที่นี่มีอาหารให้เลือกทานหลากหลาย ทั้งก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ติ่มซำ ยำนู่นนี่ แต่ที่ทางร้านแนะนำคือก๋วยเตี๋ยวเป็ดเลย เราก็เลยอยากลองให้ถึงที่ ไหนๆก็ได้มาเจ๋อถึงนี่แล้ว ไม่นานนักอาหารก็มาตั้งอยู่เต็มโต๊ะ บ่งบอกได้ถึงความหิวโหยของผู้ร่วมทริปทั้งหลาย และเราไม่ลืมที่จะปิด job ด้วยติ่มซำที่เขานำเสนอเราไว้



รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นแล้วมื้อนี้ก็ตกอยู่ประมาณ 600 บาท ถือว่าไม่ค่อยตรงกับคอนเซปที่วางไว้ตอนต้นเท่าไหร่ แต่เราก็เน้นตอบสนองความต้องการตัวเองซะส่วนใหญ่

ต่อจากการรับประทานแล้ว เรามุ่งหน้ากันต่อไปที่สถานที่ขึ้นชื่ออีกที่หนึ่งในเมืองกาญฯ นั่นคือเราจะไปดู “ต้นก้ามปูยักษ์” หรืออีกชื่อเรียกคูลๆ อีกชื่อหนึ่งว่า ต้นจามจุรียักษ์นั่นเอง ต้นก้ามปูยักษ์นี้มีอายุยืนยาวมากว่าร้อยปี เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่เราอยากไปเห็นด้วยตาซักครั้งว่าจะยักษ์ขนาดไหนกันนะ

และก่อนจะถึงที่เป้าหมายเราก็หลงงงๆกันอยู่ซักพัก จึงไปจอดพักกันที่คอกม้าบริเวณนั้น และตัดสินใจว่าถ้าเข้าไปดูต้นก้ามปูเสร็จจะออกมาดูตรงคอกม้านี้ต่อ


แต่เส้นทางที่เราต้องไปต้องเข้าไปในศูนย์กองการสัตว์ และเกษตรกรรมที่ 1พอดี ซึ่งในนั้นมีการเลี้ยงม้าแบบปล่อยให้ม้าเดินอยู่ในคอกกว้างๆอยู่เยอะมาก เป็นพื้นที่ในค่ายทหาร เราก็ไม่พลาดที่จะแวะถ่ายรูปกับพวกพี่ม้ากันตามระเบียบ ระหว่างที่เราจอดรถลงไปเก็บภาพก็มีกลุ่มอื่นจอดแวะลงมาถ่ายด้วยเช่นกัน ขอบอกว่าม้าเยอะจริงจัง หลายสีหลายขนาด ม้า ม้า ม้า มาก


ขับไปต่ออีกนิดก็จะเห็นแลนด์มาร์กที่เราตั้งใจไว้แต่ไกล ตอนแรกพอเห็นต้นไม้ต้นแรกที่ใหญ่ๆ ใจก็คิดไปแล้วว่าคงเป็นต้นนี้แน่ๆเลย เลยรีบดีใจไปหน่อย แต่พอขับเข้าไปใกล้อีกหน่อย เราก็พอกับภาพอลังการงานสร้างของธรรมชาติกับขนาดของต้นและกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทางของต้นก้ามปูยักษ์นี้
เรามองอยู่ซักพักแล้วจึงวนรถไปจอดบริเวณที่ให้จอดแล้วรีบลงมาถ่ายรูปเก็บความทรงจำที่น่าตื่นตาตื่นใจในครั้งนี้กัน ความใหญ่ของต้นคือแค่เดินถือกล้องถ่ายวนรอบแบบเดินชิดติดขอบต้นด้านในยังเหนื่อยเลย ด้วยรากที่เบิ้มมาก ทำให้กลายเป็นที่นั่งพักผ่อนของผู้คน และนักท่องเที่ยวในบริเวณนั้น


ซึ่งตามข้อมูลแล้ว ต้นก้ามปูยักษ์นี้มีขนาดใหญ่ขนาดไหนดูรูปเอาน่าจะพอรู้สึกได้ว่าใหญ่มาก มีความใหญ่ของลำต้นเท่า 10 คนโอบ พุ่มที่ยื่นยาวออกไปกว่า 26 เมตร และสูงจากพื้นถึงยอดอีก 20 เมตร พื้นที่ที่วัดจากพุ่มวัดได้ประมาณ 1 ไร่ 2 งานกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าขึ้นไปปลูกบ้านอยู่ได้หลังนึงสบายๆเลยหล่ะ ส่วนพิกัดที่ชัดเจนของต้นก้ามปูนี้ต้องตามนี้เลย อยู่ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย บ้านกสิกรรม หมู่ 5 ตำบลเกาะสำโรง


หลังจากที่เก็บภาพกันตามความพอใจแล้ว ก็จะเดินทางกลับเข้าเมืองกัน แต่ก็ต้องมาโดนเข้ากับรถเข็นขายของแถวนี้ บริเวณนี้จะมีร้านขายน้ำและของทานเล่นต่างๆ เราเลยลองเลือกที่จะซื้อน้ำมะพร้าวมาลองดู ไม่ต้องใช้ล้างหน้าใครนะ ใช้สำหรับดื่มเถอะ

ขากลับก็ไม่ลืมที่จะและลงมาถ่ายรูปกับคอกม้าคอกแรกที่สัญญาว่าจะลงมาถ่ายกันไว้ เท่าที่สอบถามมาแถวนี้เขามีบริการให้ลองขี่ม้าด้วย จะเป็นสมาชิกหรือนักท่องเที่ยวก็ว่าไป และยังมีบริการให้ล่องเรืออีก แต่เราจะคงคอนเซปของเราเอาไว้ จึงได้แต่ถ่ายรูปบริเวณข้างนอก


ขอข้ามมาตอนกลับถึงที่พักเลย พอกลับมาก็จัดแจงธุระส่วนตัวกันสักพัก และเตรียมตัวสำหรับออกเดินทางต่อไปในค่ำคืนนี้อย่างรวดเร็ว ตกเย็นก็เริ่มหิว เราจึงออกไปกันที่ตลาด JJ เมืองกาญฯ ที่คุณน้าที่ดูแลที่พักเขาแนะนำให้ลองไปดู เราดันมาวันที่เขามีตลาดกันพอดี บังเอิญสุด ทีนี้ก็เลยลองไปเยือนดูสักหน่อย ตอนแรกแอบมีหลงเล็กน้อย แต่ด้วยสกิลการเดินป่าและการจับทิศทางที่ฝึกปรือมาในสมัยเป็นลูกเสือสำรอง กับการฝึกฝนการเชื่อมโยงข้อมูลจากการสอบ GAT ทำให้เราก็มาถึงได้ในที่สุด ตั้งอยู่ก็เยื้องกับแถวสุสานดอนรักพอสมควร

บรรยากาศตลาด JJ นับว่าคึกคักกันมากเลย อาจจะไม่ได้ใหญ่โตเหมือน JJ ในกรุงเทพ แต่ก็มีสีสันในสไตล์ของที่นี่


เรามาต่อกันที่ตลาดโต้รุ่ง บริเวณดงร้านอาหารริมทางที่ใหญ่โตมาก ต้องเรียกว่าเป็นแหล่งร้านอาหารชั้นดีเลย เพราะมีให้เลือกเยอะมาก ทั้งอาหารก็ยังหลากหลายอีกด้วย แต่ยังไม่ทันได้จอดรถดีเลย เราก็ไปเจอกับสายตาวิงวอนของเด็กน้อยคนหนึ่ง เราจึงลองถามเขาดูว่าร้านไหนอร่อย ช่วยแนะนำเราหน่อย น้องตอบด้วยความมั่นใจเลยว่า “ร้านหนูซิพี่” พอเท่านั้นแหละ เราเลยกลายเป็นเหยื่อการตลาดของน้องคนนั้นไปโดยปริยาย เรื่องรสชาตินั้นขอไม่ลงละเอียดละกัน ถือว่าพอทานได้ แต่ก็หายอยากกับยำปลาสลิดได้พักหนึ่ง


เหมือนจะไม่อิ่ม เราเลยลองเดินสำรวจแถวนั้นกันอีกนิด แล้วจึงกลับที่พัก ระหว่างที่กลับก็ดันไปเจอเข้ากับงานวัดประจำปี ที่ทางวัดถาวรวรารามจัดขึ้น เลยลองแวะเข้าไปดูหน่อย


สำหรับวันแรกขอพักการรีวิวไว้เท่านี้ก่อนนะ
ชื่อสินค้า:   แม่น้ำแคว เมืองกาญจน์
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่