...สุวิทย์ "จากเกลียดกลายเป็นศรัทธา" ผู้แตกฉานด้านพระวินัยในสายตาของพระพยอม กัลยาโณ...

กระทู้คำถาม
ในบรรดาพระที่มืชื่อเสียงในเมืองไทยล้วนมี “ฐานเสียง” จากความจากแนวทางการปฏิบัติของพระรูปนั้นๆ ที่อยู่ในวงทีเรียกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ  ปฏิเวธ....นอกเหนือจากสามแนวทางนี้  เป็นต้นว่า  ปลุกเสก   ลงอาคม  สร้างพระเครื่อง  หรือแม้แต่การเข้าไปก้าวก่ายการบ้านการเมือง   ใครจะเรียกบุคคลที่โกนหัวแล้วห่มผ้าเหลืองว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ศรัทธาและการเข้าใจหลักพระพุทธศาสนา
สำหรับนายสุวิทย์ หรือที่เรียกตัวเองว่า “หลวงปู่พุทธอิสระ” นั้นดูเหมือนจะสับสนในแนวทางของตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้น  หลังออกบวชเขาไม่นานเขาก็ประกาศต่อสาธารณะว่าเขาปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต (ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด)   แต่การพูดหรือประกาศต่อสาธารณะในทำนองนี้หมิ่นเหม่ต่อการก้าวล่วงต่อพระวินัยบัญญัติไม่น้อย   และที่สำคัญเวลาที่พระภิกษุสงฆ์พูดอะไรที่เลียบๆ เคียงๆ เกี่ยวกับสถานะของพระพุทธเจ้าและการบรรลุอรหันต์แล้วโยงเข้าหาตัวเอง   ผลที่ได้รับก็คือ “ศรัทธา” อย่างล้นหลามจากพุทธศาสนิกชน   เป็นต้นว่า  การไปถวายภัตตาหารพระพุทธเจ้าที่ขอบพระนิพพาน(การโฆษณาชวนเชื่อจากสำนักแห่งหนึ่งแถวๆ ปทุมธานี)   การบอกว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่กลับมาเกิด(การโฆษณาชวนเชื่อของ “สามเณร” รูปหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าหลวงปู่เณร...)  การบอกว่าตัดภพตัดชาติได้แล้ว(คำพูดของหลวงตารูปหนึ่งแถวอุดรฯ ) หรือแม้แต่การบอกว่าปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตของสุวิทย์


ในมุมมองของผม  ทางเดินของสุวิทย์ในนาม “หลวงปู่พุทธอิสระ” ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การเดินทางเพื่อแสวงหาโมกขธรรมเพื่อการหลุดพ้น   หากแต่กำลังนำตัวเองเดินเข้าหาเครื่องร้อยรัดจิตใจแห่งโลกิยะเพื่อให้ได้มาซึ่ง “บารมี” “เชื่อเสียง” และ “ศรัทธา”  อย่างเช่น ความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง “พระครู” เขายอมโกงพรรษาที่ตัวเองบวช  และเมื่อความจริงปรากฏเขาก็ไม่ได้ยี่หระมีหิริ/โอตัปปะแต่อย่างใด   เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้ชื่อ “หลวงปู่พุทธอิสระ” ของเขาให้ “ติดลม” ในกระแสสังคมไม่ว่าวิถีใดๆ แม้ผิดแผกไปจากแนวทางพุทธก็ยอม    ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระเครื่องผสมโลหิตของตัวเอง   การติดป้ายโฆษณาที่มีชื่อตัวเองเทียบเคียงพระอรหันต์พุทธสาวกไม่ว่าจะเป็นท่านสารีบุตร  โมคัลลาน์ ฯลฯ     การข้ามขั้นตอนและไปก้าวก่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกรณี “เณรคำ” (ได้เท่ ออกรายการสรยุทธ์ ลงข่าวหนังสือพิมพ์ไปหลายวัน)   การเตะสกัด “ดาวรุ่ง” อย่างหลวงพ่อเกษม (ท้าดวลสนทนาธรรม ประมาณว่าที่ไหน? เมื่อไหร่? ได้เลย) หลวงพ่อเกษมรับคำท้า   จนป่านนี้หลวงพ่อเกษมยังเป็นแม่สายบัวรอเก้อเป็นปี  จนสึกขาลาเพศไปแล้ว   ที่เคยท้าเขาไปแล้วเขารับคำท้าตัวเองกลับไม่กล้าไปตามนัด  แล้ว...สุดท้ายก็เรื่องการเมืองอย่างที่รู้กันอยู่..เหล่านี้ล้วนส่งชื่อ “หลวงปู่พุทธอิสระ” ไม่ให้เป็นที่ลบเลือนจางหายไปในสังคม   กลายเป็นพระ “เซเลป” ที่เป็นที่รู้จักทั่วฟ้าเมืองไทย   และเหล่านี้ล้วนเป็นแนวทางที่พระพุทธองค์ไม่ประสงค์ให้สงฆ์สาวกของพระองค์ยึดถือเป็นแนวทาง!!



การกระโจนเข้าการเมืองของสุวิทย์ในนาม “พุทธอิสระ” โดยการอ้างเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าก็ทรงเคยปฏิบัติมาแล้วในการเสด็จเข้าไปห้ามญาติที่ทะเลาะกันเรื่องน้ำมาเป็นเหตุผลนั้น   ถือว่าเป็นเหตุผลที่ผมเรียกว่า “เล่นของสูง” เกินไป  จิตของพุทธอิสระกับจิตอรหันต์อย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมต่างกันลับลับ   การยกเอาเหตุการณ์ที่ว่านี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อเข้านำตัวเองสู่การเมืองของสุวิทย์   ชาวพุทธไม่ว่าเสื่อเหลืองเสื้อแดงก็ควรจะพิจารณากันเอาเองว่า   ควรหรือ??
การที่สุวิทย์ประกาศว่าเขาไม่เคยล่วงละเมิดพระวินัยเลยนั้น   ก็คงเห็นจะมีแต่เหล่าสาวกกระมังที่เชื่อเช่นนั้น...การหลุดคำผรุสวาสด่าทออดีตนายกฯ ในขณะนั้นก็ชี้ได้แล้วว่าศีลมุสาฯ ได้ถูกก้าวล่วงแล้ว   ยิ่งการเข้าไปมีส่วนพัวพันรวมไปถึงการบงการกับการเสียชีวิตและเหตุการณ์บาดเจ็บที่หลักสี่แล้ว  อย่าว่าแต่ศีลแบบเบาบางเลย   เหตุการณ์ที่หลักสี่นี่  ถ้าสือสวนสอบสวนเข้าจริงๆ.....พุทธอิสระมีสิทธิ์เข้าข่ายขาดจากความเป็นภิกษุได้เลยทีเดียว   เอาเถอะ!  แม้ตรงนี้จะไม่ชัดเจนสำหรับใครบางคน   ....แต่เหตุการณ์ที่ทางโรงแรมต้องจ่ายเงินค่าชดเชยหลักแสนที่ออกหนังสือพิมพ์ในการจองห้องของพุทธอิสระนั้นคงปฏิเสธยากว่า  เป็นการหาเงินที่ถือว่าโดยแนวทางมิชอบแถมเกินห้ามาสกด้วย.....เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้  ผมโดยส่วนตัวเชื่อว่านายสุวิทย์ขาดจากความเป็นพระ.....ได้ล่วงอาบัติขึ้นสูงสุดของพระวินัยบัญญัติไปแล้ว   ห้ามสวรรค์!  ห้ามนิพพาน!    ประตูเดียวที่เปิดอ้ารอรับอยู่คืออเวจี!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่