บางครั้ง..ธรรมชาติก็ให้บทเรียนกับเรา
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้สอนเราว่า
ไม่มีอะไรที่จะแข็งแรง และคงอยู่ไปได้ตลอด
แม้กระทั่งบ้านเรือนที่ถูกปลูกสร้าง และออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว
ก็ยังถูกทำลายลงได้ ด้วยแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
แผ่นดินไหวเพียงแค่ไม่นาน
อาจทำลายสิ่งที่หลายคนพยายามสร้างมาทั้งชีวิต
บางครั้ง..ธรรมชาติก็ให้บทเรียนกับเรา..
มันสอนเราแม้กระทั่งในเรื่องของความสัมพันธ์
ที่คนสองคนต้องใช้เวลา และความพยายามกว่าจะสร้างมันขึ้นมาร่วมกันได้
แต่บางครั้ง แรงสั่นสะเทือนเพียงแค่ครั้งเดียว
ก็อาจทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับลงไปได้ โดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัว
แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้ผมหันกลับมาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากขึ้น
มันสอนเราว่า
1. มันมี "อาฟเตอร์ช๊อค" ตามมาเสมอ
ความน่ากลัวของการเกิดแผ่นดินไหว ไม่ได้จบลงไปพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่สงบลง
ลึกๆแล้วทุกคนรู้ดีว่า อีกไม่นานมันจะต้องมีอาฟเตอร์ช๊อคเกิดขึ้นตามมาอีกแน่ๆ
แต่เมื่อไหร่ หรือมันจะรุนแรงแค่ไหนนั้น ไม่มีใครคาดเดาได้
ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน
ระเบิดอารมณ์ใส่กัน หรือขาดสติจนลงมือทำร้ายกัน
มันไม่ได้จบลงแค่ตอนที่ใครคนใดคนหนึ่ง กระแทกเท้าเดินจากไป
หรือจบลงง่ายๆด้วยคำว่า "ผมผิดเอง" "ฉันขอโทษ" "เราเลิกทะเลาะกันเถอะ"
ทุกๆครั้งที่คุณทะเลาะกัน ความรู้สึกแย่ๆไม่เคยจบลงตรงนั้น
จำไว้ว่า มันมี "อาฟเตอร์ช๊อค" ตามมาเสมอ
เพราะแม้ว่าคุณจะปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด
หรือแค่กลับมาคุยกัน และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ยอมรับเถอะว่า แรงสั่นสะเทือนที่คุณทำให้มันเกิดขึ้นมานั้น
มันได้สร้างรอยแผล หรือปมในใจบางอย่างให้เกิดขึ้น ระหว่างคุณทั้งสองคนแล้ว
การนอกใจกันเพียงครั้งเดียว ก็มากเพียงพอที่จะอาจทำให้อีกฝ่าย
ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงไปตลอดชีวิต
ไม่ต่างไปจากคนที่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน เพราะไม่รู้เลยว่า
หลังแผ่นดินไหวสงบลงไปแล้ว อาฟเตอร์ช๊อคจะเกิดตามมาอีกเมื่อไหร่
ก่อนจะเริ่มต้นทำร้ายกัน หรือทะเลาะกัน
จำไว้เสมอว่า มันมีอาฟเตอร์ช๊อค ตามมาเสมอ
2.แผ่นดินไหวหนึ่งครั้งกินเวลาแค่ไม่กี่นาที
แต่มันอาจต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
(และบางครั้ง สิ่งที่ถูกทำลายลงไปแล้ว ก็อาจไม่มีวันสร้างใหม่
หรือซ่อมแซมแก้ไขให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย)
ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน
เราอาจทะเลาะกันแค่ไม่กี่นาที แล้วก็เดินหนีจากกันไป
เราอาจใช้อารมณ์ สาดใส่กันจนพอใจ แล้วพอเวลาผ่านไป
ก็หวังว่าคำขอโทษจะใช้เยียวยาให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
แต่บทเรียนจากแผ่นดินไหวสอนเราว่า บางครั้งความรู้สึกดีดีที่ถูกทำลายลงไปแล้ว
ก็ไม่อาจทำให้มันกลับมาดีเหมือนเดิมได้ง่ายๆ
ของบางอย่าง เสียแล้ว..เสียเลย
การเผลอใช้กำลังทำร้ายกันเพียงครั้งเดียว
ก็อาจต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อเยียวยา และเรียกความเชื่อใจให้กลับคืนมา
และทำให้อีกฝ่ายกล้าวางมือของเขาลงบนมือของคุณ..อีกครั้ง
3. บ้านเรือนจะต้องแข็งแรงพอ เพื่อรับมือกับแผ่นดินไหว ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
อารมณ์ของมนุษย์ ก็ไม่ต่างไปจากแผ่นดินไหว
มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันจึงคาดเดาได้ยาก และบางครั้งก็เปราะบาง
แปรปรวน และหวั่นไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความสัมพันธ์ที่ดี จึงต้องมีความแข็งแรง มีความเชื่อมั่น
มีความไว้ใจเป็นพื้นฐาน ที่จะช่วยเป็นเกราะป้องกัน
เวลาที่มีอะไร หรือใครมากระทบกับความสัมพันธ์นั้น
ถ้ามือที่จับกันไว้ไม่แข็งแรงพอ แรงกระแทกเพียงเบาๆ
ก็อาจกระชากเราออกจากกันได้อย่างง่ายดาย
บางครั้งรักกันยาก แต่ก็เลิกกันได้ง่ายๆ
เราจึงควรใช้เวลาที่มีอยู่ร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์ที่มีนั้นแข็งแรง
เพราะเราไม่มีวันรู้หรอกว่า วันข้างหน้า จะมีอะไรมากระทบกับเราบ้าง
มันอาจรุนแรง เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หรือเป็นแค่เรื่องไร้สาระที่เราทำให้มันลุกลามใหญ่โต
แต่อย่างน้อยก็ขอให้มั่นใจว่า มือที่จับกันอยู่นั้นมันยังแข็งแรงมากพอก็แล้วกัน
เพราะความรัก และความสัมพันธ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ
เราจึงต้องระวังภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ในเวลาแค่วันเดียว
อย่าให้แรงกระแทกเพียงแค่ครั้งเดียว ทำให้มันพังทลายลงมาเลย
เพราะความรักเปราะบาง เราจึงต้องรักษามันไว้ด้วยมือที่แข็งแรง
บทเรียนจากแผ่นดินไหว (สำหรับความรักที่แสนเปราะบาง)
บางครั้ง..ธรรมชาติก็ให้บทเรียนกับเรา
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้สอนเราว่า
ไม่มีอะไรที่จะแข็งแรง และคงอยู่ไปได้ตลอด
แม้กระทั่งบ้านเรือนที่ถูกปลูกสร้าง และออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว
ก็ยังถูกทำลายลงได้ ด้วยแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
แผ่นดินไหวเพียงแค่ไม่นาน
อาจทำลายสิ่งที่หลายคนพยายามสร้างมาทั้งชีวิต
บางครั้ง..ธรรมชาติก็ให้บทเรียนกับเรา..
มันสอนเราแม้กระทั่งในเรื่องของความสัมพันธ์
ที่คนสองคนต้องใช้เวลา และความพยายามกว่าจะสร้างมันขึ้นมาร่วมกันได้
แต่บางครั้ง แรงสั่นสะเทือนเพียงแค่ครั้งเดียว
ก็อาจทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับลงไปได้ โดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัว
แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้ผมหันกลับมาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากขึ้น
มันสอนเราว่า
1. มันมี "อาฟเตอร์ช๊อค" ตามมาเสมอ
ความน่ากลัวของการเกิดแผ่นดินไหว ไม่ได้จบลงไปพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่สงบลง
ลึกๆแล้วทุกคนรู้ดีว่า อีกไม่นานมันจะต้องมีอาฟเตอร์ช๊อคเกิดขึ้นตามมาอีกแน่ๆ
แต่เมื่อไหร่ หรือมันจะรุนแรงแค่ไหนนั้น ไม่มีใครคาดเดาได้
ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน
ระเบิดอารมณ์ใส่กัน หรือขาดสติจนลงมือทำร้ายกัน
มันไม่ได้จบลงแค่ตอนที่ใครคนใดคนหนึ่ง กระแทกเท้าเดินจากไป
หรือจบลงง่ายๆด้วยคำว่า "ผมผิดเอง" "ฉันขอโทษ" "เราเลิกทะเลาะกันเถอะ"
ทุกๆครั้งที่คุณทะเลาะกัน ความรู้สึกแย่ๆไม่เคยจบลงตรงนั้น
จำไว้ว่า มันมี "อาฟเตอร์ช๊อค" ตามมาเสมอ
เพราะแม้ว่าคุณจะปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด
หรือแค่กลับมาคุยกัน และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ยอมรับเถอะว่า แรงสั่นสะเทือนที่คุณทำให้มันเกิดขึ้นมานั้น
มันได้สร้างรอยแผล หรือปมในใจบางอย่างให้เกิดขึ้น ระหว่างคุณทั้งสองคนแล้ว
การนอกใจกันเพียงครั้งเดียว ก็มากเพียงพอที่จะอาจทำให้อีกฝ่าย
ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงไปตลอดชีวิต
ไม่ต่างไปจากคนที่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน เพราะไม่รู้เลยว่า
หลังแผ่นดินไหวสงบลงไปแล้ว อาฟเตอร์ช๊อคจะเกิดตามมาอีกเมื่อไหร่
ก่อนจะเริ่มต้นทำร้ายกัน หรือทะเลาะกัน
จำไว้เสมอว่า มันมีอาฟเตอร์ช๊อค ตามมาเสมอ
2.แผ่นดินไหวหนึ่งครั้งกินเวลาแค่ไม่กี่นาที
แต่มันอาจต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
(และบางครั้ง สิ่งที่ถูกทำลายลงไปแล้ว ก็อาจไม่มีวันสร้างใหม่
หรือซ่อมแซมแก้ไขให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย)
ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน
เราอาจทะเลาะกันแค่ไม่กี่นาที แล้วก็เดินหนีจากกันไป
เราอาจใช้อารมณ์ สาดใส่กันจนพอใจ แล้วพอเวลาผ่านไป
ก็หวังว่าคำขอโทษจะใช้เยียวยาให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
แต่บทเรียนจากแผ่นดินไหวสอนเราว่า บางครั้งความรู้สึกดีดีที่ถูกทำลายลงไปแล้ว
ก็ไม่อาจทำให้มันกลับมาดีเหมือนเดิมได้ง่ายๆ
ของบางอย่าง เสียแล้ว..เสียเลย
การเผลอใช้กำลังทำร้ายกันเพียงครั้งเดียว
ก็อาจต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อเยียวยา และเรียกความเชื่อใจให้กลับคืนมา
และทำให้อีกฝ่ายกล้าวางมือของเขาลงบนมือของคุณ..อีกครั้ง
3. บ้านเรือนจะต้องแข็งแรงพอ เพื่อรับมือกับแผ่นดินไหว ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
อารมณ์ของมนุษย์ ก็ไม่ต่างไปจากแผ่นดินไหว
มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันจึงคาดเดาได้ยาก และบางครั้งก็เปราะบาง
แปรปรวน และหวั่นไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความสัมพันธ์ที่ดี จึงต้องมีความแข็งแรง มีความเชื่อมั่น
มีความไว้ใจเป็นพื้นฐาน ที่จะช่วยเป็นเกราะป้องกัน
เวลาที่มีอะไร หรือใครมากระทบกับความสัมพันธ์นั้น
ถ้ามือที่จับกันไว้ไม่แข็งแรงพอ แรงกระแทกเพียงเบาๆ
ก็อาจกระชากเราออกจากกันได้อย่างง่ายดาย
บางครั้งรักกันยาก แต่ก็เลิกกันได้ง่ายๆ
เราจึงควรใช้เวลาที่มีอยู่ร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์ที่มีนั้นแข็งแรง
เพราะเราไม่มีวันรู้หรอกว่า วันข้างหน้า จะมีอะไรมากระทบกับเราบ้าง
มันอาจรุนแรง เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หรือเป็นแค่เรื่องไร้สาระที่เราทำให้มันลุกลามใหญ่โต
แต่อย่างน้อยก็ขอให้มั่นใจว่า มือที่จับกันอยู่นั้นมันยังแข็งแรงมากพอก็แล้วกัน
เพราะความรัก และความสัมพันธ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ
เราจึงต้องระวังภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ในเวลาแค่วันเดียว
อย่าให้แรงกระแทกเพียงแค่ครั้งเดียว ทำให้มันพังทลายลงมาเลย
เพราะความรักเปราะบาง เราจึงต้องรักษามันไว้ด้วยมือที่แข็งแรง