สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 60
อาชีพที่รวยที่สุด คือนักธุรกิจครับ
แต่นักธุรกิจ จะแฝงอยู่ในทุกอาชีพ
หมอที่เป็นหมอ ไม่รวย แต่ไม่จน
แต่หมอที่เป็นนักธุรกิจ รวย
ครูที่เป็นครู อยู่ได้
แต่ครูที่เป็นนักธุรกิจ รวย
พระที่เป็นพระ วัดที่เป็นวัด ก็ธรรมดา
พระ วัดที่เป็นนักธุรกิจ รวย
หมอดูก็เหมือนกัน ดูไปตามหลักตามเกณฑ์ จนด้วยซ้ำ
แต่หมอดูที่เป็นนักธุรกิจ รวย
คำว่านักธุรกิจ มันมีทั้งรวย ทั้งเจ๊ง และที่รวย ก็คือ คนที่ทำธุรกิจประสบผลสำเร็จ
แต่ไม่เคยเห็นอาชีพไหนที่นอกจากนักธุรกิจ รวยที่แท้จริงสักที เพียงแต่ คุณจะมีมุมมองสร้างธุรกิจจากวิชาชีพนั้นได้แค่ไหน ประสบความสำเร็จหรือไม่
และทุกอาชีพ เอาความสามารถในการทำธุรกิจไปจับได้หมด ขนาดขายน้ำพริกยังรวยได้เลยครับ
แต่นักธุรกิจ จะแฝงอยู่ในทุกอาชีพ
หมอที่เป็นหมอ ไม่รวย แต่ไม่จน
แต่หมอที่เป็นนักธุรกิจ รวย
ครูที่เป็นครู อยู่ได้
แต่ครูที่เป็นนักธุรกิจ รวย
พระที่เป็นพระ วัดที่เป็นวัด ก็ธรรมดา
พระ วัดที่เป็นนักธุรกิจ รวย
หมอดูก็เหมือนกัน ดูไปตามหลักตามเกณฑ์ จนด้วยซ้ำ
แต่หมอดูที่เป็นนักธุรกิจ รวย
คำว่านักธุรกิจ มันมีทั้งรวย ทั้งเจ๊ง และที่รวย ก็คือ คนที่ทำธุรกิจประสบผลสำเร็จ
แต่ไม่เคยเห็นอาชีพไหนที่นอกจากนักธุรกิจ รวยที่แท้จริงสักที เพียงแต่ คุณจะมีมุมมองสร้างธุรกิจจากวิชาชีพนั้นได้แค่ไหน ประสบความสำเร็จหรือไม่
และทุกอาชีพ เอาความสามารถในการทำธุรกิจไปจับได้หมด ขนาดขายน้ำพริกยังรวยได้เลยครับ
ความคิดเห็นที่ 36
ต่อจากข้างบน
นี่คือ Cold Reading
ทั้งหมดฟังดูคุ้นๆไหมครับเวลาคุณดูดวง คุณมักจะเจอการทายนิสัยก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างนั้น อย่างนี้ เช่นถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจเย็นคุณคิดว่าผมทายถูกไหม และถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจร้อนคุณว่าผมทายถูกไหม ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะทายอย่างไรก็ถูก เพราะคนเรามักใจเย็นกับบางเรื่องและใจร้อนกับบางเรื่องเช่นกัน แล้วแต่ว่าคุณจะเอาคำทำนายของหมอดูไปผูกกับเรื่องไหนของชีวิตคุณ
ต่อมาหมอดูก็อาจจะทายหว่านแหว่าดวงคุณดูไม่มีความสุขนะครับ ถ้าคุณตอบว่าใช่หมอดูก็อาจจะสาวต่อได้ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่หมอดูก็จะได้ข้อมูลไปอีกแบบ ทีนี้หลังจากที่หว่านแหไปแล้วและคุณยอมรับว่าคุณมีความทุกข์จริง หมอดูก็อาจจะบอกต่อไปว่ามีความทุกข์เพราะเรื่องความรักใช่หรือไม่ ถ้าคุณตอบก็ว่าใช่ก็ลงล็อค แต่ถ้าคุณตอบว่าไม่ใช่ หมอดูก็อาจจะมีวิธีเลี่ยงไปว่า แต่ในดวงคุณมันบอกว่าคุณจะมีปัญหาเรื่องคนนะ สุดท้ายจากคำถามใช่หรือไม่ใช่ มันก็จะกลายเป็นคำตอบที่หมอดูสามารถหยิบมาทายคุณได้ทันที
ทีนี้คนที่มาดูดวงส่วนใหญ่นะครับ มักจะแบกความทุกข์มาไม่มากก็น้อย คนที่มีความทุกข์ก็พร้อมเปิดใจเพื่อให้หมอดูได้รับฟังเรื่องราวของเขาเพื่อเป็นการระบายความในใจออกไปอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับบางคนเมื่อหมอดูสะกิดเรื่องด้วยคำพูดเข้าไปนิดเดียว ก็พร้อมที่พรั่งพูล “ข้อมูล” ออกมาอยู่แล้ว (หมอดูบางคนเห็นช่องสบโอกาสตรงนี้ หลังจากที่นั่งฟังเรื่องราวของเขาและแสร้งทำท่าเห็นใจ ก็อาจจะใช้ช่องนี้ในการนำเสนอบริการรูปแบบอื่นให้กับลูกค้าก็ได้)
ดังนั้นลองนึกดูนะครับ ว่าทุกครั้งที่คุณดูดวง คุณเคยตอบคำถามอะไรไปบ้าง?
Derren Brown เขาก็ใช้วิธีนั้นแหละ!
Cold Reading ใช้ยังไง มีวิธีฝึกซ้อมหรือเปล่า มีหนังสือเกี่ยวกับ Cold Reading มากมายในต่างประเทศครับ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีเพราะเดาว่ามันเป็นวิชาที่ทำเงินไม่ได้เวลาพิมพ์หนังสือ เลยไม่มีใครเอาเข้ามาตีพิมพ์ขาย ผมขอยกบทความ Cold Reading มาจากเว็บ Astrosimple.com มา ณ ที่นี้ทั้งดุ้นเลยนะครับ ใครจะใช้เพื่อการณ์อะไรก็ตามแต่คุณธรรมแล้วกัน
*****************************
เทคนิคต่างๆ ของ cold reading
เนื่องจาก cold reading มีกลวิธีมากมาย การจะอธิบายทั้งหมดทำได้ยากและอาจจะเป็นการชี้นำให้คนเอาไปใช้ในทางที่ผิด ได้ สำหรับผู้สนใจจริง ๆ ลองหาหนังสือของ Ian Rowland ในเน็ต หาได้ไม่ยาก ในที่นี้ผมจะอธิบายภาพรวมของ cold reading ตามที่เอียน โรว์แลนด์แนะนำไว้ โดยขอเรียบเรียงใหม่ดังนี้
cold reading ประกอบด้วย
(๑) การเตรียมการ คือสร้างบรรยากาศ จัดสถานที่ ต้อนรับขับสู้ ทักทายเพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเป็นกันเอง ผ่อนคลาย และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ การทำบรรยากาศให้ดูขลังโดยการทำเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง สามารถจะโน้มน้าวให้ลูกค้ามีความรู้สึกร่วมได้ การมีหนังสืออ้างอิงตั้งอยู่ มีประกาศนียบัตรจากสถาบันสอนโหราศาสตร์ มีภาพถ่ายกับลูกค้าคนดัง มีภาพแสดงความเก่าแก่หรือยิ่งใหญ่ของโหราศาสตร์ เหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในตัวหมอดูและวิชาที่หมอดูใช้ การแสวงหาความร่วมมือในเบื้องต้น โดยบอกว่าการดูดวงจะต้องใช้ความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย หมอดูเป็นคนอ่านดวงแต่ไม่รู้ข้อมูลจริง ส่วนลูกค้าจะต้องช่วยให้ข้อมูลจริงเพื่อทำคำทำนายให้ชัดเจนขึ้น การแสวงหาความร่วมมือในเบื้องต้นนี่เองที่โหราศาสตร์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการการพยากรณ์ ไม่ผิดอะไรที่หมอดูจะถามหาข้อมูลจากลูกค้าเพิ่มเติม ตรงนี้ทำให้เกิดช่องทางที่หมอดูจะดึงเอาข้อมูลไปใช้ในการพยากรณ์ได้ จนลูกค้าไม่รู้ตัวว่าเป็นคนให้ข้อมูลเขาไปเอง (แล้วก็มาประหลาดใจว่าหมอดูทายแม่น)
(๒) การทำนายอุปนิสัย มีใช้หลายเทคนิคได้แก่ เล่ห์สายรุ้ง (rainbow ruse) การออกคำพยากรณ์ที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งอยู่ในประโยคเดียวกัน เหมือนสายรุ้งที่มีหลายสี ถ้าไม่ถูกสีหนึ่งมันก็ต้องไปถูกอีกสีหนึ่งจนได้ (ตอนต้นผมเรียกว่าการหว่านแห) คำพยากรณ์แบบนี้เห็นได้ทั่วไปในความหมายของปัจจัยโหราศาสตร์ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ราศีกุมภ์มีความหมายว่ารักเพื่อนมนุษย์ ชอบสมาคม (เนื่องจากเป็นราศีธาตุลม เป็นความสัมพันธ์เชิงกลุ่มจึงรักคนอื่น ๆ) ในขณะเดียวกันก็มีความหมายว่ารักอิสระต้องการที่จะไม่เหมือนใครด้วย การชอบเข้ากลุ่มกับความต้องการที่จะแตกต่างเป็นความหมายที่ขัดแย้งในตัวเอง อย่างนี้ไม่โดนด้านหนึ่งก็ต้องโดนอีกด้านหนึ่งอยู่แล้ว นอกจากนั้นก็มี การประจบอย่างแนบเนียน การบอกลูกค้าว่าเขาก็มีสัมผัสพิเศษเหมือนกัน การอธิบายด้วยช่วงชีวิตที่ทุก ๆ ต้องผ่าน และเทคนิคที่ผมถือว่าเป็นพระเอกในเรื่องนี้คือ คำพยากรณ์ที่กว้าง ๆ ทั่วไป ไม่ชี้เฉพาะ (Barnum statement/Forer effect) เมื่อลูกค้าฟังคำพยากรณ์ที่กว้าง ๆ เขาจะรู้สึกว่าหมอดูบอกอะไรเขาเป็นพิเศษ แล้วจะโยงเข้ากับลักษณะของตัวเองในส่วนที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์ แม้คำพยากรณ์จะดูกว้างแต่คนฟังก็รู้สึกว่าแม่น Barnum/Forer effect นี้นักจิตวิทยาเขาทำวิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราว จนพบว่าคำพยากรณ์ของโหราศาสตร์มีลักษณะเช่นนี้เองจึงทำให้โหราศาสตร์ดู เหมือนแม่น ตัวอย่าง ของประโยคแบบนี้คือ “คุณเป็นคนใจกว้าง” เมื่อเราพิจารณาจะเห็นว่า ทุกคนมีความใจกว้างอยู่ในตัว แต่ใจอาจจะไม่กว้างตลอดเวลา หรือไม่กับทุก ๆ คนหรือกับทุก ๆ เรื่อง การทำนายอย่างนี้จึงมีโอกาสถูกมากกว่าผิด (มีโอกาสถูกเกือบร้อยเปอร์เซนต์)
(๓) การทำนายเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริง เทคนิคหลักที่ใช้คือการออกคำพยากรณ์ที่มีความหมายหลายชั้น คลุมเครือ ตีความได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และการใช้สถิติทั่วไปที่ได้จากสำรวจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลว่าคนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมหรือมีความเชื่ออย่างไร นอกจากนั้นยังใช้การเดา คือทายอะไรก็ทายไป (อาจจะเอาสิ่งที่เห็นในดวงทายออกไป) การเดานี้เป็นเหมือนการลงทุนของหมอดู ถ้าเดาถูกจะได้รับผลตอบแทนมาก แต่ถ้าเดาผิดคนมักจะไม่ค่อยสนใจ อาจจะบ่นนิดหน่อยแล้วก็ลืมไป แปลว่าทางได้มากกว่าเสีย โดยเฉพาะการเดาในเรื่องมีโอกาสถูกน้อย ถ้าเดาถูกก็อาจจะเป็นคนดังได้ในชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว
(๔) การทำนายอนาคต ความจริงเรื่องนี้จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น ทายอะไรก็ได้ ทายไปเถอะ ถูกได้ก็ดี ไม่ถูกคนก็ไม่สนใจอะไรมาก เทคนิคที่ใช้คือ ทายแต่ในด้านดีเท่านั้น คือ “ได้แน่นอน” หรือ “รวยแน่นอน” อะไรทำนองนี้ อย่างไรคนฟังก็ชอบ ทายว่าเรื่องที่กำลังมีปัญหาจะดีขึ้นในอนาคต อันนี้ก็เป็นสูตรสำเร็จ นอกจากนี้ก็มี การทายแบบคลุมเครือ การเดา (เหมือนข้อที่แล้ว) การทายในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ (คือถูกผิดก็ไม่มีใครรู้) เช่น ทายว่าจะมีเทพมาคุ้มครอง ทายว่ากรรมคุณจะมาเป็นแบบนี้ หรืออะไรทำนองนี้
(๕) การดึงข้อมูล ภาษาอังกฤษใช้ fishing แปลว่าการตกข้อมูลก็ได้ หรือการลวงเอาข้อมูลก็ได้ เรื่องนี้เป็นกลวิธีสำคัญที่หมอดูจะต้องใช้ ถ้าหมอดูไม่ได้ข้อมูลจากลูกค้า จะไม่มีทางทายเรื่องที่เฉพาะเจาะจงได้เลย จะทายได้แต่เรื่องกว้าง ๆ การดึงข้อมูลนี้มีตั้งแต่ การถามตรง การถามเหมือนไม่ถาม (เช่น ใช้คำแสดงความรู้สึกหรือคำอุทานแทน) การซ่อนคำถาม (เหมือนจะเป็นการให้ข้อมูลแต่เหน็บคำถามไปด้วย) การระดมยิงด้วยศัพท์แสงทางโหราศาสตร์ที่คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็จะอธิบายเรื่องราวออกมาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม การอ่านจากภาษากาย ท่าทาง กิริยาวาจา ตลอดจนการแต่งตัว เครื่องประดับและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ สิ่งเหล่านี้แม้จะพูดไม่ได้ แต่มันบอกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเจ้าตัวได้ หมอดูที่ดีจะมีสายตาแหลมคมเหมือนนักสืบ
(๖) การนำเสนอ เป็นกลวิธีการดำเนินการพยากรณ์ ข้อสำคัญได้แก่ การทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ ทำอย่างไรก็ได้ให้มีการโต้ตอบเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ข้อนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีการคุยกันการดูดวงจะได้เพียงภาพกว้าง ๆ เท่านั้น ดังนั้นหมอดูควรจะเริ่มใส่ใจตั้งแต่การเตรียมการ จัดสถานที่ ทำบรรยากาศให้เป็นกันเอง เพื่อลูกค้าจะได้เปิดใจคุยกับเราและพร้อมที่จะให้ข้อมูล นอกจากนั้นก็เป็นเทคนิคทางสองแพร่ง (forking) หรือการโยนหินถามทาง เหมือนเราตั้งสมมุติฐานไว้สองอย่าง ตั้งคำถามเพื่อหยั่งเชิง ถ้าได้คำตอบหนึ่งก็จะไปทางหนึ่ง ถ้าได้อีกคำตอบก็จะไปอีกทางหนึ่ง การทำคำพยากรณ์ให้เรียบง่าย โดยใช้ภาษาธรรมดา เรียบเรียงให้เข้าใจง่าย อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน
(๗) การแถ เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด คำทำนายผิดไปจากความเป็นจริง หมอดูต้องมีทางออก เทคนิคที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้ ยืนยันคำพยากรณ์ แล้วทำเป็นประหลาดใจ (นี่เป็นวิธีกดดันลูกค้าอย่างหนึ่ง เมื่อทำอย่างนี้ ลูกค้ามักจะพยายามไปหาเรื่องราวที่ตรงกับคำพยากรณ์นั้นให้จนได้) บอกว่าฉันทายถูกแล้วแต่คุณลืมไป บอกว่าฉันทายถูกแล้วแต่คุณไม่รู้ บอกว่าฉันทายถูกแล้วแต่ไม่มีใครรู้ บอกว่าฉันอาจจะผิดตอนนี้แต่จะถูกในอนาคต บอกว่าฉันอาจจะผิดแต่มันไม่สำคัญหรอก บอกว่ามันอาจจะผิดในข้อเท็จจริงแต่ถูกในเชิงอารมณ์ บอกว่ามันอาจจะผิดในส่วนย่อยแต่ถูกในภาพรวม (หรือกลับกัน) เมื่อไม่ไหวจริง ๆ ก็ยอมรับผิด แล้วบอกว่าหมอดูไม่ใช่ผู้วิเศษ
จากเทคนิคต่าง ๆ ที่อธิบายมาคร่าว ๆ จะเห็นว่า ถ้ามีใครฝึกทักษะเหล่านี้จนคล่อง แม้จะไม่มีความรู้โหราศาสตร์เลย ก็สามารถเป็นหมอดูเทวดาได้ไม่ยากนัก ท่านอาจจะแย้งอีกว่า ฉันไม่เคยตั้งใจที่จะใช้เทคนิคล่อลวงเหล่านี้เลย อันนี้ถือเป็นเจตนาอันบริสุทธิ์ของหมอดูที่มีจิตใจดี แต่ถ้าท่านวิเคราะห์โดยการสังเกตกระบวนการ ดูเหตุที่มาที่ไปของความแม่นที่เกิดขึ้น จะพบว่ามันก็อยู่ในปัจจัยต่าง ๆ ที่ว่ามานี่เอง ขอย้ำอีกรอบว่า คำพยากรณ์ที่ได้จากหลักการของโหราศาสตร์เป็นเพียงภาพกว้าง ๆ ที่สามารถตีความหมายได้มากมาย แต่ด้วยเทคนิค cold reading ที่กล่าวมา ทำให้คำพยากรณ์มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น จนถึงเรียกได้ว่าแม่นจนน่าตกใจ ข้อนี้สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าท่านเป็นหมอดูก็ไม่ต้องถามอะไรจากลูกค้าเลย (และไม่อ่านอย่างอื่นที่เป็นอวจนภาษาด้วย) แล้วทายเท่าที่ดวงบอก แค่นี้ท่านก็บอกได้แล้วว่า ความแม่นมันแทบไม่เหลือเลย แต่ถ้าท่านเป็นลูกค้า ท่านเพียงหยุดการสื่อสารกับหมอดู ไม่ตอบคำถาม ไม่ให้ข้อมูลด้วยภาษาท่าทาง แค่นี้หมอดูก็ไปไม่เป็นแล้ว เขาอาจจะเชิญท่านให้ไปดูที่อื่น หรือไล่ท่านออกไป (อันนี้ไม่แนะนำให้ไปทำ ถ้าจะทำก็ระวังตัวเองด้วย)
นี่คือ Cold Reading
ทั้งหมดฟังดูคุ้นๆไหมครับเวลาคุณดูดวง คุณมักจะเจอการทายนิสัยก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างนั้น อย่างนี้ เช่นถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจเย็นคุณคิดว่าผมทายถูกไหม และถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจร้อนคุณว่าผมทายถูกไหม ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะทายอย่างไรก็ถูก เพราะคนเรามักใจเย็นกับบางเรื่องและใจร้อนกับบางเรื่องเช่นกัน แล้วแต่ว่าคุณจะเอาคำทำนายของหมอดูไปผูกกับเรื่องไหนของชีวิตคุณ
ต่อมาหมอดูก็อาจจะทายหว่านแหว่าดวงคุณดูไม่มีความสุขนะครับ ถ้าคุณตอบว่าใช่หมอดูก็อาจจะสาวต่อได้ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่หมอดูก็จะได้ข้อมูลไปอีกแบบ ทีนี้หลังจากที่หว่านแหไปแล้วและคุณยอมรับว่าคุณมีความทุกข์จริง หมอดูก็อาจจะบอกต่อไปว่ามีความทุกข์เพราะเรื่องความรักใช่หรือไม่ ถ้าคุณตอบก็ว่าใช่ก็ลงล็อค แต่ถ้าคุณตอบว่าไม่ใช่ หมอดูก็อาจจะมีวิธีเลี่ยงไปว่า แต่ในดวงคุณมันบอกว่าคุณจะมีปัญหาเรื่องคนนะ สุดท้ายจากคำถามใช่หรือไม่ใช่ มันก็จะกลายเป็นคำตอบที่หมอดูสามารถหยิบมาทายคุณได้ทันที
ทีนี้คนที่มาดูดวงส่วนใหญ่นะครับ มักจะแบกความทุกข์มาไม่มากก็น้อย คนที่มีความทุกข์ก็พร้อมเปิดใจเพื่อให้หมอดูได้รับฟังเรื่องราวของเขาเพื่อเป็นการระบายความในใจออกไปอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับบางคนเมื่อหมอดูสะกิดเรื่องด้วยคำพูดเข้าไปนิดเดียว ก็พร้อมที่พรั่งพูล “ข้อมูล” ออกมาอยู่แล้ว (หมอดูบางคนเห็นช่องสบโอกาสตรงนี้ หลังจากที่นั่งฟังเรื่องราวของเขาและแสร้งทำท่าเห็นใจ ก็อาจจะใช้ช่องนี้ในการนำเสนอบริการรูปแบบอื่นให้กับลูกค้าก็ได้)
ดังนั้นลองนึกดูนะครับ ว่าทุกครั้งที่คุณดูดวง คุณเคยตอบคำถามอะไรไปบ้าง?
Derren Brown เขาก็ใช้วิธีนั้นแหละ!
Cold Reading ใช้ยังไง มีวิธีฝึกซ้อมหรือเปล่า มีหนังสือเกี่ยวกับ Cold Reading มากมายในต่างประเทศครับ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีเพราะเดาว่ามันเป็นวิชาที่ทำเงินไม่ได้เวลาพิมพ์หนังสือ เลยไม่มีใครเอาเข้ามาตีพิมพ์ขาย ผมขอยกบทความ Cold Reading มาจากเว็บ Astrosimple.com มา ณ ที่นี้ทั้งดุ้นเลยนะครับ ใครจะใช้เพื่อการณ์อะไรก็ตามแต่คุณธรรมแล้วกัน
*****************************
เทคนิคต่างๆ ของ cold reading
เนื่องจาก cold reading มีกลวิธีมากมาย การจะอธิบายทั้งหมดทำได้ยากและอาจจะเป็นการชี้นำให้คนเอาไปใช้ในทางที่ผิด ได้ สำหรับผู้สนใจจริง ๆ ลองหาหนังสือของ Ian Rowland ในเน็ต หาได้ไม่ยาก ในที่นี้ผมจะอธิบายภาพรวมของ cold reading ตามที่เอียน โรว์แลนด์แนะนำไว้ โดยขอเรียบเรียงใหม่ดังนี้
cold reading ประกอบด้วย
(๑) การเตรียมการ คือสร้างบรรยากาศ จัดสถานที่ ต้อนรับขับสู้ ทักทายเพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเป็นกันเอง ผ่อนคลาย และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ การทำบรรยากาศให้ดูขลังโดยการทำเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง สามารถจะโน้มน้าวให้ลูกค้ามีความรู้สึกร่วมได้ การมีหนังสืออ้างอิงตั้งอยู่ มีประกาศนียบัตรจากสถาบันสอนโหราศาสตร์ มีภาพถ่ายกับลูกค้าคนดัง มีภาพแสดงความเก่าแก่หรือยิ่งใหญ่ของโหราศาสตร์ เหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในตัวหมอดูและวิชาที่หมอดูใช้ การแสวงหาความร่วมมือในเบื้องต้น โดยบอกว่าการดูดวงจะต้องใช้ความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย หมอดูเป็นคนอ่านดวงแต่ไม่รู้ข้อมูลจริง ส่วนลูกค้าจะต้องช่วยให้ข้อมูลจริงเพื่อทำคำทำนายให้ชัดเจนขึ้น การแสวงหาความร่วมมือในเบื้องต้นนี่เองที่โหราศาสตร์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการการพยากรณ์ ไม่ผิดอะไรที่หมอดูจะถามหาข้อมูลจากลูกค้าเพิ่มเติม ตรงนี้ทำให้เกิดช่องทางที่หมอดูจะดึงเอาข้อมูลไปใช้ในการพยากรณ์ได้ จนลูกค้าไม่รู้ตัวว่าเป็นคนให้ข้อมูลเขาไปเอง (แล้วก็มาประหลาดใจว่าหมอดูทายแม่น)
(๒) การทำนายอุปนิสัย มีใช้หลายเทคนิคได้แก่ เล่ห์สายรุ้ง (rainbow ruse) การออกคำพยากรณ์ที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งอยู่ในประโยคเดียวกัน เหมือนสายรุ้งที่มีหลายสี ถ้าไม่ถูกสีหนึ่งมันก็ต้องไปถูกอีกสีหนึ่งจนได้ (ตอนต้นผมเรียกว่าการหว่านแห) คำพยากรณ์แบบนี้เห็นได้ทั่วไปในความหมายของปัจจัยโหราศาสตร์ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ราศีกุมภ์มีความหมายว่ารักเพื่อนมนุษย์ ชอบสมาคม (เนื่องจากเป็นราศีธาตุลม เป็นความสัมพันธ์เชิงกลุ่มจึงรักคนอื่น ๆ) ในขณะเดียวกันก็มีความหมายว่ารักอิสระต้องการที่จะไม่เหมือนใครด้วย การชอบเข้ากลุ่มกับความต้องการที่จะแตกต่างเป็นความหมายที่ขัดแย้งในตัวเอง อย่างนี้ไม่โดนด้านหนึ่งก็ต้องโดนอีกด้านหนึ่งอยู่แล้ว นอกจากนั้นก็มี การประจบอย่างแนบเนียน การบอกลูกค้าว่าเขาก็มีสัมผัสพิเศษเหมือนกัน การอธิบายด้วยช่วงชีวิตที่ทุก ๆ ต้องผ่าน และเทคนิคที่ผมถือว่าเป็นพระเอกในเรื่องนี้คือ คำพยากรณ์ที่กว้าง ๆ ทั่วไป ไม่ชี้เฉพาะ (Barnum statement/Forer effect) เมื่อลูกค้าฟังคำพยากรณ์ที่กว้าง ๆ เขาจะรู้สึกว่าหมอดูบอกอะไรเขาเป็นพิเศษ แล้วจะโยงเข้ากับลักษณะของตัวเองในส่วนที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์ แม้คำพยากรณ์จะดูกว้างแต่คนฟังก็รู้สึกว่าแม่น Barnum/Forer effect นี้นักจิตวิทยาเขาทำวิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราว จนพบว่าคำพยากรณ์ของโหราศาสตร์มีลักษณะเช่นนี้เองจึงทำให้โหราศาสตร์ดู เหมือนแม่น ตัวอย่าง ของประโยคแบบนี้คือ “คุณเป็นคนใจกว้าง” เมื่อเราพิจารณาจะเห็นว่า ทุกคนมีความใจกว้างอยู่ในตัว แต่ใจอาจจะไม่กว้างตลอดเวลา หรือไม่กับทุก ๆ คนหรือกับทุก ๆ เรื่อง การทำนายอย่างนี้จึงมีโอกาสถูกมากกว่าผิด (มีโอกาสถูกเกือบร้อยเปอร์เซนต์)
(๓) การทำนายเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริง เทคนิคหลักที่ใช้คือการออกคำพยากรณ์ที่มีความหมายหลายชั้น คลุมเครือ ตีความได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และการใช้สถิติทั่วไปที่ได้จากสำรวจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลว่าคนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมหรือมีความเชื่ออย่างไร นอกจากนั้นยังใช้การเดา คือทายอะไรก็ทายไป (อาจจะเอาสิ่งที่เห็นในดวงทายออกไป) การเดานี้เป็นเหมือนการลงทุนของหมอดู ถ้าเดาถูกจะได้รับผลตอบแทนมาก แต่ถ้าเดาผิดคนมักจะไม่ค่อยสนใจ อาจจะบ่นนิดหน่อยแล้วก็ลืมไป แปลว่าทางได้มากกว่าเสีย โดยเฉพาะการเดาในเรื่องมีโอกาสถูกน้อย ถ้าเดาถูกก็อาจจะเป็นคนดังได้ในชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว
(๔) การทำนายอนาคต ความจริงเรื่องนี้จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น ทายอะไรก็ได้ ทายไปเถอะ ถูกได้ก็ดี ไม่ถูกคนก็ไม่สนใจอะไรมาก เทคนิคที่ใช้คือ ทายแต่ในด้านดีเท่านั้น คือ “ได้แน่นอน” หรือ “รวยแน่นอน” อะไรทำนองนี้ อย่างไรคนฟังก็ชอบ ทายว่าเรื่องที่กำลังมีปัญหาจะดีขึ้นในอนาคต อันนี้ก็เป็นสูตรสำเร็จ นอกจากนี้ก็มี การทายแบบคลุมเครือ การเดา (เหมือนข้อที่แล้ว) การทายในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ (คือถูกผิดก็ไม่มีใครรู้) เช่น ทายว่าจะมีเทพมาคุ้มครอง ทายว่ากรรมคุณจะมาเป็นแบบนี้ หรืออะไรทำนองนี้
(๕) การดึงข้อมูล ภาษาอังกฤษใช้ fishing แปลว่าการตกข้อมูลก็ได้ หรือการลวงเอาข้อมูลก็ได้ เรื่องนี้เป็นกลวิธีสำคัญที่หมอดูจะต้องใช้ ถ้าหมอดูไม่ได้ข้อมูลจากลูกค้า จะไม่มีทางทายเรื่องที่เฉพาะเจาะจงได้เลย จะทายได้แต่เรื่องกว้าง ๆ การดึงข้อมูลนี้มีตั้งแต่ การถามตรง การถามเหมือนไม่ถาม (เช่น ใช้คำแสดงความรู้สึกหรือคำอุทานแทน) การซ่อนคำถาม (เหมือนจะเป็นการให้ข้อมูลแต่เหน็บคำถามไปด้วย) การระดมยิงด้วยศัพท์แสงทางโหราศาสตร์ที่คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็จะอธิบายเรื่องราวออกมาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม การอ่านจากภาษากาย ท่าทาง กิริยาวาจา ตลอดจนการแต่งตัว เครื่องประดับและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ สิ่งเหล่านี้แม้จะพูดไม่ได้ แต่มันบอกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเจ้าตัวได้ หมอดูที่ดีจะมีสายตาแหลมคมเหมือนนักสืบ
(๖) การนำเสนอ เป็นกลวิธีการดำเนินการพยากรณ์ ข้อสำคัญได้แก่ การทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ ทำอย่างไรก็ได้ให้มีการโต้ตอบเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ข้อนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีการคุยกันการดูดวงจะได้เพียงภาพกว้าง ๆ เท่านั้น ดังนั้นหมอดูควรจะเริ่มใส่ใจตั้งแต่การเตรียมการ จัดสถานที่ ทำบรรยากาศให้เป็นกันเอง เพื่อลูกค้าจะได้เปิดใจคุยกับเราและพร้อมที่จะให้ข้อมูล นอกจากนั้นก็เป็นเทคนิคทางสองแพร่ง (forking) หรือการโยนหินถามทาง เหมือนเราตั้งสมมุติฐานไว้สองอย่าง ตั้งคำถามเพื่อหยั่งเชิง ถ้าได้คำตอบหนึ่งก็จะไปทางหนึ่ง ถ้าได้อีกคำตอบก็จะไปอีกทางหนึ่ง การทำคำพยากรณ์ให้เรียบง่าย โดยใช้ภาษาธรรมดา เรียบเรียงให้เข้าใจง่าย อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน
(๗) การแถ เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด คำทำนายผิดไปจากความเป็นจริง หมอดูต้องมีทางออก เทคนิคที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้ ยืนยันคำพยากรณ์ แล้วทำเป็นประหลาดใจ (นี่เป็นวิธีกดดันลูกค้าอย่างหนึ่ง เมื่อทำอย่างนี้ ลูกค้ามักจะพยายามไปหาเรื่องราวที่ตรงกับคำพยากรณ์นั้นให้จนได้) บอกว่าฉันทายถูกแล้วแต่คุณลืมไป บอกว่าฉันทายถูกแล้วแต่คุณไม่รู้ บอกว่าฉันทายถูกแล้วแต่ไม่มีใครรู้ บอกว่าฉันอาจจะผิดตอนนี้แต่จะถูกในอนาคต บอกว่าฉันอาจจะผิดแต่มันไม่สำคัญหรอก บอกว่ามันอาจจะผิดในข้อเท็จจริงแต่ถูกในเชิงอารมณ์ บอกว่ามันอาจจะผิดในส่วนย่อยแต่ถูกในภาพรวม (หรือกลับกัน) เมื่อไม่ไหวจริง ๆ ก็ยอมรับผิด แล้วบอกว่าหมอดูไม่ใช่ผู้วิเศษ
จากเทคนิคต่าง ๆ ที่อธิบายมาคร่าว ๆ จะเห็นว่า ถ้ามีใครฝึกทักษะเหล่านี้จนคล่อง แม้จะไม่มีความรู้โหราศาสตร์เลย ก็สามารถเป็นหมอดูเทวดาได้ไม่ยากนัก ท่านอาจจะแย้งอีกว่า ฉันไม่เคยตั้งใจที่จะใช้เทคนิคล่อลวงเหล่านี้เลย อันนี้ถือเป็นเจตนาอันบริสุทธิ์ของหมอดูที่มีจิตใจดี แต่ถ้าท่านวิเคราะห์โดยการสังเกตกระบวนการ ดูเหตุที่มาที่ไปของความแม่นที่เกิดขึ้น จะพบว่ามันก็อยู่ในปัจจัยต่าง ๆ ที่ว่ามานี่เอง ขอย้ำอีกรอบว่า คำพยากรณ์ที่ได้จากหลักการของโหราศาสตร์เป็นเพียงภาพกว้าง ๆ ที่สามารถตีความหมายได้มากมาย แต่ด้วยเทคนิค cold reading ที่กล่าวมา ทำให้คำพยากรณ์มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น จนถึงเรียกได้ว่าแม่นจนน่าตกใจ ข้อนี้สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าท่านเป็นหมอดูก็ไม่ต้องถามอะไรจากลูกค้าเลย (และไม่อ่านอย่างอื่นที่เป็นอวจนภาษาด้วย) แล้วทายเท่าที่ดวงบอก แค่นี้ท่านก็บอกได้แล้วว่า ความแม่นมันแทบไม่เหลือเลย แต่ถ้าท่านเป็นลูกค้า ท่านเพียงหยุดการสื่อสารกับหมอดู ไม่ตอบคำถาม ไม่ให้ข้อมูลด้วยภาษาท่าทาง แค่นี้หมอดูก็ไปไม่เป็นแล้ว เขาอาจจะเชิญท่านให้ไปดูที่อื่น หรือไล่ท่านออกไป (อันนี้ไม่แนะนำให้ไปทำ ถ้าจะทำก็ระวังตัวเองด้วย)
แสดงความคิดเห็น
ทำไมอาชีพ หมอดูดวง ถึงรวยกว่าอาชีพ หมอรักษาคนใข้
http://world.kapook.com/pin/5715afb74d265a58738b4589