==ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory), สสารมืด (Dark Matter) และพลังงานมืด (Dark Energy) คืออะไรกันนะ==

คุณเห็นดวงดาวมากมายบนท้องฟ้านั่นไหม มันช่างมีมากมายจริงๆ เคยลองเอานิ้วนับก็นับไม่หมด งง ดวงนี้เคยนับไปหรือยังนะ







คุณอาจจะเคยเรียนวิชาดาราศาสตร์พบว่าในเอกภพนี้ประกอบด้วยดวงดาวมากมาย ในเอกภพที่เราสังเกตเห็นนี้ ประมาณกันว่า มี 1 แสนล้านกาแลคซี และแต่ละกาแลคซีมีดวงดาวประมาณแสนล้านดวง นันคือตัวเลขที่มากมายมหาศาลจริงๆ เมื่อพิจารณาถึงจำนวนดวงดาว







แต่ ในเอกภพที่แสนลึกลับนี้ยังมีบางสิ่งซ่อนอยู่อีกมาก เป็นปริศนาดำมืด มืดจริงๆนะ ดังที่ท่านคาล ซาแกนบอก
“ณ ที่บางแห่งยังมีบางอย่างที่เป็นปริศนา รอให้ถูกไขปริศนาอยู่”







เมื่อท่านคิดว่ามีดวงดาว สสารจำนวนมหาศาลอยู่ในเอกภพนี้ ข้อมูลนี้อาจทำให้ท่านแปลกใจ ในปี 2003 ข้อมูลดาวเทียมสำรวจคลื่นไมโครเวฟวิลกินสัน พบว่าพวกดวงดาว กาแลคซี สสารต่างๆทั้งหมดในเอกภพนี้คิดเป็นประมาณแค่ 4% เท่านั้นเอง แล้วอีก 96 % คืออะไร ทำไมสสารที่เราตรวจพบเห็นจำนวนมากมายถึงมีน้อยนิดคิดเป็นเปอเซนต์ได้เพียงเท่านี้ และที่เหลือหล่ะคืออะไร มันคืออะไร มาจากไหน







นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันมากนัก แต่พอบอกได้ว่า อีก 22% นั้นเราเรียกมันว่าสสารมืด (Dark Matter)  และอีก 74% นั้น เราเรียกมันว่า พลังงานมืด (Dark Energy) เอ๊ะแล้วมันเกี่ยวข้องกับ ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory)  อย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับพวกมันให้มากยิ่งขึ้นกันครับ


-----------------------------------------



เพื่อเข้ากับเนื้อหาและอรรถรสในการอ่านกระทู้ ขอเสนอเพลง ความแปลกประหลาดของอวกาศ (Space Oddity) โดย
ท่าน David Bowie (1947 – 2016) เอาไว้ฟังตอนอ่านกระทู้ครับ เพลงนี้นักบินอวกาศ Chris Hadfield เอาไปร้องCover บน สถานีอวกาศนานาชาติ ได้บรรยากาศมากๆ



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory) คืออะไรกันนะ?



ทุกสิ่งที่เราเห็น โต๊ะ เก้าอี้ นาฬิกา  คอมพิวเตอร์ หนังสือ ตึก ต้นไม้ แม่น้ำ ผู้คน สัตว์  รวมถึงตัวเราเอง สสารทั้งหมดในเอกภพล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน คือ บิกแบงเมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีที่แล้ว







นี่ไม่ใช่ความจริงที่ค้นพบกันมานานแล้ว จริงๆแล้วแนวคิดเรื่องบิกแบงยังอายุไม่ถึง 100 ปีเลย ช่วงสมัยต้นศตวรรษที่ 20 หรือประมาณปี 1928 ณ ตอนนั้นแนวคิดเรื่องเอกภพคือความเป็นอมตะนิรันทร์ เอกภพที่สมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลง







ไอนสไตน์ในปี 1915 เขาสร้างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปสำเร็จซึ่งความโน้มถ่วงมีความสัมพันธ์กับมวลและแรงอย่างลึกซึ้ง เขาไปคิดในภาพใหญ่ระดับเอกภพ เขาพบว่าเอกภพจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแนวคิดของนักวิทย์ในยุคนั้นคือเอกภพไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ตอนหลังไอนสไตน์จึงใส่ค่าคงที่ แลมดาเข้าไปเพื่อให้เอกภพนั้นอยู่นิ่ง (static)







ต่อมาในปี 1929 เอดวิน ฮับเบิลสาธิตให้เห็นว่าแสงจากกาแลคซีไกลๆ มีการเปลี่ยนความยาวคลื่นของคลื่นแสง  เรียกว่า redshift ซึ่งตีความได้ว่ากาแลคซีกำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากเรา และที่สำคัญยิ่งมันอยู่ไกลเท่าไหร่มันก็ยิ่งเคลื่อนที่เร็วเท่านั้น







หากเอกภพในปัจจุบันกำลังขยายตัว แสดงว่าก่อนหน้านี้ เอกภพย่อมมีขนาดเล็กกว่า หนาแน่นกว่า และร้อนกว่าที่เป็นอยู่ แนวคิดนี้มีการพิจารณาอย่างละเอียดย้อนไปจนถึงระดับความหนาแน่นและอุณหภูมิที่จุดสูงสุด และผลสรุปที่ได้ก็สอดคล้องอย่างยิ่งกับผลจากการสังเกตการณ์

คำว่า "บิกแบง" ที่จริงเป็นคำล้อเลียนซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนักดาราศาสตร์ชื่อ เฟรด ฮอยล์ ตั้งใจดูหมิ่นและทำลายความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่เขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นจริง ในการออกอากาศทางวิทยุครั้งหนึ่งเมื่อปี ค.ศ. 1949 ในเวลาต่อมา ฮอยล์ได้ช่วยศึกษาผลกระทบของนิวเคลียร์ในการก่อเกิดธาตุมวลหนักที่ได้จากธาตุซึ่งมีมวลน้อยกว่า อย่างไรก็ดี การค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลในปี 1964 ยิ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถปฏิเสธทฤษฎีบิกแบงได้







จากที่อธิบายไป เราพอจะรู้จักทฤษฎีบิกแบงคร่าวๆแล้วว่าเป็นอย่างไร แต่ทฤษฎีบิกแบง ก็ยังเจอกับปัญหามากมายหลายข้อที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้เราจะพบหลักฐานการขยายตัวของจักรวาลจริง แต่ทฤษฎีนี้ก็ทิ้งปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้หลายข้อและ สสารมืด (Dark Matter) และพลังงานมืด (Dark Energy) ก็เป็น หนึ่งในปัญหานั้น เราจะมาสำรวจปัญหาต่างๆ และพูดถึงเรื่อง สสารมืด และพลังงานมืดกัน



"เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ถ้าถูกใจช่วยกดบวกกดถูกใจด้วยนะครับ"

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่