ทุกวันนี้อาชีพ "อาจารย์มหาวิทยาลัย" ยังน่าสนใจอยู่ไหมครับ (ต้องจบป.เอกหรือเปล่า)

ได้ข้อมูลมาว่า
- อาจารย์มหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ข้าราชการเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นพวกสวัสดิการอะไรก็ไม่ค่อยดี
- มีการต่อสัญญาจ้าง
- ร่ำเรียนมาสูงใช้เวลานาน ต้องจบปริญญาเอกแต่เงินเดือนเริ่มต้นไม่เท่าไหร่
- แต่เป็นอาจารย์ที่ทรงเกียรติ เป็นผผู้ประสิทธิ์ประสาทปัญญาให้มหาชน

คืออยากถามสำหรับคนอยากเป็นมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้ต้องจบปริญญาเอกเท่านั้นหรือเปล่าครับ แค่ป.โท เป็นไปได้ไหม
แล้วความมั่นคงในการงาน เงินเดือน สวัสดิการอะไรยังดีอยู่ไหม
อยากให้คนที่มีข้อมูลหรือประสบการณ์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาแชร์ประสบการณ์หน่อยนะครับ

ขอบพระคุณครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 63
ปกติชอบอ่านเฉยๆ  แต่พอเจอกระทู้แบบนี้ต้องรีบเข้ามาตอบ อาจะเป็นประโยชน์กับบางท่าน

มาดูเรื่องรายได้ก่อน รายได้อ.มหาลัยจะมาจาก 3 ทาง
   1) เงินเดือน + เงินประจำตำแหน่ง
         - เงินเดือน ส่วนใหญ่จะสตาร์ท ป.เอกกันที่ 32500-38000 แล้วแต่มหาลัย บางแห่งสตาร์ทให้ถึง 45000 บาท
         - เงินประจำตำแหน่งต่อเดือน (โดยประมาณ)  ผศ.+11000 บาท, รศ. + 22000 บาท , ศ.+28000 บาท
   2) เงินจากทุนวิจัย ในรูปค่าใช้จ่ายและค่าตอบแทนรายเดือน ทุนวิจัยมี 2 ประเภท
         - ทุนรัฐบาล ได้แก่ทุนรายได้จากมหาลัยเอง ทุนจาก สวทช. วช. พวอ. ฯลฯ พวกนี้ต้องการผลงานในรูปของเปเปอร+นศ.ที่เรียนจบ.ปโท หรือ ปเอก
         - ทุนจากเอกชน บริษัท ห้างร้านต่างๆจ้างเราทำวิจัย พวกนี้ต้องการผลนำไปใช้ขาย เพิ่มมูลค่า ลดคอส ปรับปรุงการผลิต ฯ
   3) เงินอื่นๆ
         - สายบริหาร เช่นเป็นรองคณบดี คณบดี ฯลฯ +3500-10000 บาท ยิ่งเป็นตำแหน่งใหญ่โต่ในมหาวิทยาลัย ยิ่งเยอะ, ค่าเบี้ยประชุม 2000-5000 แล้วแต่มหาลัย ลำดับการประชุมใหญ่โต
         - สายอาจารย์ธรรมดา ค่าคุมสอบวิทยานิพนธ์+สัมนา ประมาณ 1500 บาท/2 ชม., ค่าที่ปรึกษานศ. จะได้เมื่อ นศ.เราเรียนจบเท่านั้น ได้ครั้งเดียว ป.โท +15000 ป.เอก+50000 ถ้าเป็นหลักสูตรอินเตอร์จะได้เยอะกว่านี้, ค่าตีพิมพ์เปเปอร์ ตามเกณฑ์ของแต่ละมหาลัย มีตั้งแต่ 15000-80000 บาท, ค่าจัดอบรมตามที่คณะอนุมัติ เป็นการบริการวิชาการ ชั่วโมงละ 600 บาท, ไม่รวมค่า conference เพราะอันนั้นจ่ายจริง เราไมไ่ด้เงิน

สรุปแล้ว อาจารย์มหาลัยมีเงินนอกหลายแหล่งครับตามความสามารถ

สำหรับผม ผมจบป.เอกตอนอายุ 32 จาก ม.ใกล้ MBK แต่ไปสอนวิศวะใน ม.รัฐแห่งหนึ่ง 1 ใน 5 ของประเทศ ได้ ผศ.ตอนอายุ 34-35 ปัจจุบันอายุ 37 ปี ตั้งใจว่าก่อนอายุ 40 จะขอ รศ. เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่งผมตอนนี้ 53000 ต่อเดือน เงินวิจัยจากรัฐและเอกชน 30000+ ต่อเดือน,ค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆอีก 5000 แล้วแต่ช่วง (รวมรายได้ประมาณ 90000+ บาทต่อเดือน) สอนเล็คเชอร์ 9 ชม แล็บ 6 ชม. เวลาที่เหลือทำวิจัย มี นศ. ป.โทในความควบคุม 4 คน ทุนวิจัยรัฐบาล 3 ทุน ทุนวิจัยบริษัทเอกชน 3 ทุน จัดสรรเวลาเอง วันไหนมีสอนก็เข้าตรงตามเวลา วันไหนไม่มีสอนก็ทำวิจัย เข้าช้าหน่อย หรือไม่เข้าก็ได้ไม่มีใครว่า นั่นคือ มีอิสระทางด้านเวลาพอสมควร

ผมชอบทำวิจัย ดังนั้นคนที่ชอบทำวิจัย และชอบสอนเหมาะกับเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สุดครับ ถ้าเราทำวิจัยเก่ง มีความสุขกับมัน จะการเมือง หรือผู้บริหารก็แตะเราไม่ได้ครับ เพราะเปเปอร์ หรือทุนวิจัยที่ได้มันเป็น KPI ของมหาลัย ใช้จัดอันดับของมหาลัย มันเห็นกันจะๆ จับต้องได้ การเมืองมันมีทุกที่ครับ แต่ผมไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้ ผมต่อสัญญา2 ครั้งแล้ว ครั้งล่าสุด ครั้งที่ 3 ปัจจุบันเป็นสัญญา 5 ปี ครับ เ
ข้อดีที่สุดของอาจารย์มหาลัยคือ ยิ่งแก่ ยิ่งเก่งครับ ประสบการณ์เยอะ เงินเดือน+ค่าตอบแทนจะยิ่งเยอะเรื่อยๆ รุ่นพี่ที่ผมรู้จัก อายุ 41 ปี เป็น รศ.ดร. รายได้ 150000 บาท/เดือนครับ แล้วคิดดู ถ้าเค้าอายุ 60 เป็น ศ.ดร. รายได้จะขนาดไหน แต่ย้ำว่า เค้าทำวิจัยเก่ง... อาชีพนี้ทำบุญครับ สอนคนให้ทำงานได้ หาเงินได้ มีความสุขทุกครั้ง ถ้า นศ.เราจบ มีงานทำ เลี้ยงครอบครัวได้
ความคิดเห็นที่ 12
มาค่ะ ชำแหละให้ฟัง
1. ส่วนใหญ่ยังรับวุฒิ ป.โท นะคะ ยกเว้นบางคณะ แต่สายเรา 99% ยังเป็นโท

2. พนักงานมหาลัย บางที่จะมีกองทุนเลี้ยงชีพ (เรียกแบบนี้ป่ะ) คือหักเงินเราทุกเดือน มหาลัยสมทบให้อีก
   รักษาพยาบาลต้องรพ.รัฐ เบิกได้ไม่เกิน 2000 (แล้วแมวที่ไหนจะไปรอ) หรือถ้าไม่อยากเสียเงิน ห้องพยาบาลช่วยได้มีหมอออกตรวจ

3. พนักงานมหาลัย เป็นสัญญาจ้างค่ะ 1 ปี 3 ปี 5 ปี หรือไม่ต้องต่อแล้ว แล้วแต่อายุการทำงานค่ะ ปัจจุบันข้อนี้แหละที่เป็นผลเสีย ทำงานออฟฟิศเค้าจะไล่คุณออก ต้องจ่ายทดแทน แต่ถ้าอาจารย์ไม่ต่อสัญญาก็จบกันตรงนั้น
   ไม่ต่อสัญญามีหลายเหตุผล ประเมินเนี่ยส่วนน้อย ประเมินของเราแบ่งเป็น 5 หมวด นอกจากสอน ยังมี วิจัย บริการสังคม หารายได้เข้ามหาลัย
    เหตุผลหลักที่ไม่ต่อ คือ การเมืองค่ะ คนนั้นไม่ถูกกับคนโน้น เกลียดคนนี้ มีทุกที่ค่ะคุณ ทุกคณะดีกว่า มีเพื่อนเป็นอาจารย์หลายที่ มีหมดค่ะ ม.ดังๆทั้งนั้น

4. เงินเดือนส่วนใหญ่สตาร์ทประมาณ 20000 หรือต่ำกว่า สำหรับวุฒิโท ค่ะ บางที่ให้สูงนะ มีบวกค่าทำวิจัยให้ด้วย แต่ถ้าทำวิจัยไม่สำเร็จต้องคืนพร้อมดอกเบี้ย และถ้าทำตำแหน่งวิชาการไม่ได้ตามเวลากำหนดก็ไม่ต่อสัญญาค่ะ อันนี้ม.รัฐนะ แต่สามารถไปสอน part-time ที่อื่นได้ ถ้าคุณมี connection ที่ดี เงินก็จะได้อีกเกือบแสนจากตรงนี้ เงินจากค่าวิจัย ค่าโปรเจค ของเราได้เหยียบแสนต่อเดือนนะคะ

5. งานเหมือนสบาย แต่คุณจะโดน force ให้ทำวิจัย ไหนจะต้องทำเอกสารประเมิน นู้นนั้นนี่ คือ เหนื่อยค่ะ ข้อดีมีอย่างเดียว ของบไป international conference แต่หลายๆม.ก็เขี้ยวลากดิน ให้มาไม่เยอะแถมต้องกลับมารายงานตัวภายใน 3 วัน หรือภายในวันนั้นที่มาถึง แต่ถ้าม.ราชฎัชจะมีไปทัวร์ยุโรปเป็นเดือนนะคะ (ไม่บอกว่าที่ไหน แต่ไปเจอมาตอนไป present paper ที่ยุโรป)

ุ6. ทั้งหมดทั้งมวล ไม่มีอะไรนักหนาเท่าเพื่อนร่วมงานด้วยกันหรอกค่ะ การเมืองแรงมากกกกกกกกกกก ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ออก หรือขอย้ายตัวเองไปหน่วยงานอื่นๆของมหาลัย (ย้ายกันเยอะ เพราะการเมืองแรงส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตนะคะ)

7. ทุนเรียนต่อเอก มีให้ค่ะ แต่ขึ้นอยู่ว่าคุณเป็นเด็กใคร ใครเป็นคณบดีตอนนั้น (ก็การเมืองอีกนั้นแหละ)

สรุป ปัจจุบันลาออกแล้วค่ะ แม้ว่ากำลังรุ่ง มีมหาลัยอื่นมาซื้อตัวไป แต่เหนื่อยเกินไม่อยากรบรากับใครล่ะ ให้กลับไปสอนอีกก็ตอบว่าไม่
ความคิดเห็นที่ 10
อาจารย์มหาวิทยาลัยยังเป็นอาชีพที่ดีของเรานะคะ แน่ล่ะ เงินไม่ค่อยดีหรอกค่ะ
แถมเดี๋ยวนี้ ม.ดัง ๆ รับแต่ป.เอกทั้งนั้น แต่เราว่าเราจบโทแล้วจะไปสอนราชภัฏแถวบ้านค่ะ
เพราะอาจารย์เราสอนว่า ถ้าเรามองว่าที่ไหนยังไม่แน่น เราก็เข้าไปทำให้แน่น
อาจารย์บอกว่าถ้าเราอยู่แต่ในเมืองก็จะมีแต่เด็กในเมืองได้ แต่ถ้าเราออกต่างจังหวัด
เราจะได้กระจายความรู้กลับคืนไปรอบนอก ทำบุญอะไรก็ไม่สู่ให้การศึกษาเด็ก
เราเชื่ออย่างนี้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 42
เราเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรวมทั้งหมด 3 ปีเต็มค่ะแต่ตอนนี้ลาออกแล้ว เราขอตอบในส่วนของมหาวิทยาลัยที่เราเคยสอนนะคะ

1. การเข้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโทเป็นพื้นฐานค่ะ ส่วนใหญ่เกือบ 100% ที่เป็นอย่างนั้น เว้นเสียว่าคุณจะจบปริญญาตรีแล้วได้รางวัลเกียรตินิยมเหรียญทอง เรียนดีเด่นอะไรอย่างนั้น แล้วทางมหาวิทยาลัยที่คุณเรียนปริญญาตรีเชิญคุณให้สอนที่นั่นต่อเลย แล้วค่อยไปเรียนปริญญาโทต่อ แต่หลักๆคือต้องจบปริญญาโทค่ะ

เพราะระดับการศึกษาและคุณวุฒิอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีผลโดยตรงกับการประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัยค่ะ คือมหาวิทยาลัยไหนมีคนจบปริญญาโท หรือถ้าให้ดีคือปริญญาเอกหลายคนก็จะได้คะแนนเยอะ ยิ่งตำแหน่งทางการศึกษา เช่น ผศ. รศ. ศ. ก็จะยิ่งมีคะแนนเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

2.มหาวิทยาลัยมีทุนเรียนต่อปริญญาเอกให้ค่ะ แต่ต้องอยู่ในระยะเวลาที่เค้ากำหนด และต้องกลับมาสอนใช้ทุนค่ะ แต่ถ้าเราจบไม่ตรงกำหนด หรือเกินเวลาที่เค้าให้ ก็ต้องมีการชดใช้ค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่ว่าจะตกลงกับมหาวิทยาลัยยังไงเพราะก่อนไปเรียนต้องมีการเซ็นสัญญากันก่อนค่ะ

3.การสมัครเข้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยเรามี 2 แบบ แล้วแต่ว่าเค้าจะให้ตำแหน่งไรมาระหว่าง อาจารย์อัตราจ้าง และพนักงานมหาวิทยาลัย ส่วนข้าราชการตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ นอกจากคุณจะโดนย้ายมาจากส่วนกลาง คือต้องเปนข้าราชการมาก่อนแล้ว

- อาจารย์อัตราจ้างค่อนข้างชีวิตรันทดพอควร เพราะเทียบเท่ากับลูกจ้างชั่วคราว เงินเดือนปริญญาโทเริ่มที่ 16000-17000 บาท ปริญญาเอก 26000-27000 บาท แถมต่อสัญญาปีต่อปี ไม่มีสวัสดิการและเงินอะไรเพิ่มเติมเลย แถมบางครั้งเหมือนอยู่แบบไร้ตัวตนด้วยซ้ำ

- พนักงานมหาวิทยาลัย หรือเรียกว่าได้รับการบรรจุแล้ว ก็จะมีสวัสดิการที่ดีกว่ามาก คือมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือเค้าหักเงินเดือนเราไปแต่ละเดือนเพื่อเป็นทุนสะสม แต่เราก็ต้องยื่นความประสงค์ตรงนี้ไปกับมหาวิทยาลัยเองค่ะ เงินเดือนจะอยู่ที่ปริญญาโท 26000-27000 บาท ปริญญาเอก 33000-35000 บาท
แต่ทั้งสองแบบก็จะมีประกันสังคม ซึ่งจะช่วยเรื่องการรักษาพยาบาลให้ค่ะ

4. รายได้เพิ่มเติมตอนเป็นอาจารย์เหรอคะ ก็จะมีรายได้จากการเขียนตำรา เป็นวิทยากรพิเศษ ทำงานวิจัยได้ทุนเป็นก้อน ถ้าขยันหน่อยก็ทำงานวิจัยเยอะๆๆๆ ขอทุนไปหลายๆที่ สอนนักศึกษาภาคพิเศษหรือเสาร์อาทิตย์ให้มหาวิทยาลัยที่เค้าให้เป็นรายชั่วโมง

ส่วนตำแหน่งการศึกษาเช่น ผศ. รศ. ศ. ก็มีเงินประจำตำแหน่งให้ค่ะ และถ้าใครเข้าสู่สายบริหารด้วย เช่น รองคณบดี คณบดี หัวหน้าฝ่ายนู่นนี่ ก็จะมีเงินพิเศษให้เช่นเดียวกัน

สรุปนะคะขึ้นอยู่กับความสามารถคุณค่ะว่าคุณจะเจิดจรัสฉายแววได้มากน้อยแค่ไหน นั่นก็จะเป็นสิ่งแสดงว่าคุณก็จะได้เงินเพิ่มเติมเยอะขึ้นด้วย

อ่อ เรารับจ๊อบเป็นติวเตอร์ตามโรงเรียนกวดวิชาด้วย รับงานแปล เป็นล่าม นั่นคืออาชีพเสริมเรา แต่ต้องไม่กระทบงานสอนประจำด้วยนะ ที่เราต้องหาเงินตัวเป็นเกลียวขนาดนี้ เราเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลพ่อแม่ค่ะ

5. การเป็นอาจารย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติจริงๆค่ะ ยิ่งถ้าเราเป็นอาจารย์ที่ดี ลูกศิษย์รัก ไปไหนเค้าก็เข้ามาทักทาย มาสวัสดี หรือเวลาเรามีปัญหาอะไรเค้าก็เข้ามาช่วยเหลือ สมัยเราสอนเราไปห้างแต่ละที ยังกะเป็นเซเลป จะมีลูกศิษย์เข้ามาทักเยอะมาก ย้ำ ทุกที่และทุกเวลา ขนาดเราไปดูหนังรอบดึก หรือไปหาไรกินที่ตลาดตอนตี1-2 ยังมีมาทักทาย ก็แน่ละสิ แต่ละเทอมเราสอนนักศึกษาทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษ รวมทั้งหมดเกือบ 700 คน (เราสอนวิชาพื้นฐานภาษาอังกฤษ) อีกอย่างตอนนั้นเราภูมิใจลึกๆที่ได้เห็นลูกศิษย์เรารับปริญญา ประสบความสำเร็จ มีงานทำ น้ำตามันไหลออกมาเองจริงๆ

6. การเมืองในมหาวิทยาลัยมีเยอะจริงๆ ย้ำ เยอะมากๆ เด็กใคร ใครเป็นแบ็คให้ ใครหนุนอยู่ เดิมเราเป็นแค่อาจารย์อัตราจ้าง ต่อมามีอาจารย์อีกท่านสนับสนุนให้เราสมัครเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตอนมีตำแหน่งว่าง และเค้าเห็นศักยภาพของเรา ต่อมาเรากลับไม่ได้บรรจุเพราะ เค้ามีเด็กเส้นเค้าอยู่แล้ว ทั้งๆที่เราจบตรงทุกอย่าง แต่คนที่ได้ไมไ่ด้จบสายนั้นมาเลย เรารู้ตัวแต่แรกและว่าไม่ได้ เพราะคำถามในการสัมภาษณ์ของเราต่างจากคนอื่น ถามแบบชนิดที่ว่าไม่อยากให้เราได้ เรามาถามอธิการทีหลังตอนเราลาออกว่าทำไมเราไมไ่ด้ตำแหน่งนั้น คำตอบคือ เราหัวแข็งเกินไป เอิ่ม ชัดค่ะชัด อีกอย่างการที่อายุยังน้อย และทำอะไรเกินหน้าเกินตาคนที่อยู่ก่อน หรืออายุมากกว่าเราเราก็อาจโดนขัดแข้งขัดขาได้ เช่นเราเป็นต้น ก็พูดยากนะและแอบเศร้าลึกๆที่วงการการศึกษาทำไมรันทดขนาดนี้ แทนที่จะเห็นประโยชน์ส่วนรวม เห็นแก่นักศึกษา กลับมาจ้องทำลายกันเอง

7. เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยต้องทำการประเมิน 108 1009 เช่น มคอ. (มัดคออาจารย์ 555) ที่มีหลายฉบับ ยิ่งใครเป็นหัวหน้าหมวด หัวหน้าสาขา ก็ต้องทำการประเมินเยอะขึ้นด้วย ถามว่าการประเมินดีไหม ดี แต่ต้องทำให้ถูกจุด แต่นี่เป็นการประเมินแบบเสียกระดาษไปโดเปล่าประโยชน์ คือก๊อปๆๆๆ ปริ๊นท์ๆๆ ส่งๆๆๆๆ  ไม่ได้สอน อาจารย์มัวทำมคอ. กันอยู่อะไรอย่างนี้

8. พูดมาเยอะ 555 สรุปนะคะ การเป็นมหาวิทยาลัยนั้นข้อดีคือ เป็นอาชีพที่เสียสละ ทำให้คนไม่รู้เป็นคนรู้ แต่ข้อเสียก็ขึ้นอยู่กับสถาบันนั้นๆ เช่น การเมือง รายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับคุณเองด้วยว่าจะก้าวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน จะแอคทีฟตัวเองได้ขนาดไหน ถ้าอยู่แบบเช้าชามเย็นชามก็ย่ำอยู่กับที่อย่างเดียว

9. สาเหตุที่เราลาออก คือ เงินเดือนไม่พอเลี้ยงครอบครัว และเราโดนกลั่นแกล้งมากเกินไปจนมองหาความก้าวหน้าไม่เจอ เลยตัดสินใจลาออกดีกว่า แต่ถามว่าเราคิดถึงงานสอนไหม คิดถึงนะ คิดถึงนักศึกษา คิดถึงบรรยากาศการสอน การให้ความรู้ แต่ถ้าให้กลับไปอีกคงไม่เอาดีกว่า เราไม่อยากไปทุกข์ทรมานร้องไห้ทุกวันเหมือนเดิม

10. ฝากสำหรับคนจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนะคะ คุณต้องทำตัวเองให้มีความรู้ความสามารถให้เต็มที่ก่อน พร้อมทั้งมีอุปนิสัยอดทนต่อความลำบาก และการทดสอบต่างๆ รู้จักอดทนอดกลั้นเรื่องอารมณ์ และควรวางตัวให้เป็น แค่นี้คุณก็มีชีวิตอยู่ได้แล้วค่ะ

เอาใจช่วยนะคะ สู้ๆค่ะ
ความคิดเห็นที่ 64
จบ ป.โท ก็เป็นได้ครับ ถ้าเขาจะรับ
แต่จะเหมาะหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องนึง

ทุกเช้าที่ตื่นมาผมต้องย้ำกับตัวเองว่า
ออกไปทำงานที่ผมรัก
ออกไปทำงานที่ผมถนัด
รับค่าตอบแทนพออยู่ได้
และได้โอกาสทำเพื่ออนาคตของชาติ

ผมจบเกียรตินิยมเหรียญทองทั้งตรีและโท
ชอบถ่ายทอด ชอบเรียนรู้ ชอบเจอเด็กแพชชั่นแรง
ผมคิดว่าประเทศต้องการคนแบบผมที่จะเป็นอาจารย์ครับ ยังมีแรงลุกไปทำงานทุกวัน และไม่เจ็บป่วยตลอดระยะเวลาที่มาเป็นอาจารย์ 4 ปี
ไม่อยากโชว์โลกสวยว่าเงินไม่สำคัญ แต่ผมประเมินตัวเองแล้วว่า สิ่งที่ผมต้องการมันซื้อไม่ได้ด้วยเงินก็เท่านั้นเอง

อยากให้คนเก่งๆ มาเป็นอาจารย์กันเยอะๆ
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยจะได้ไม่เป็นแบบคอมเม้นก่อนๆ คนเจนวายหัวสร้างสรรค์ต้องเริ่มครับ ไม่เริ่มที่รุ่นเราแล้วจะรอรุ่นไหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่