ซื้อกองทุน หรือ เลือกหุ้นเอง?
คำถามยอดฮิตของผู้ที่มีเงินสดและต้องการที่จะสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ก็คือระหว่างการนำเงินไปซื้อกองทุนกับการสร้างพอร์ตเลือกหุ้นด้วยตนเอง แบบไหนจะดีกว่ากัน
จริงๆคำถามนี้ เราสามารถที่จะตอบตัวเองได้ไม่ยากนัก เพราะเราย่อมรู้ตัวเราเองดีว่าเหมาะกับแบบไหน แต่หากเรามีตัวชี้วัดสักเล็กน้อยว่าเราเหมาะกับแบบไหนกันแน่ก็คงจะดี การตัดสินใจจะได้ง่ายขึ้น เรามาดูกันครับว่าในการที่เราจะเลือกนำเงินไปลงทุนในกองทุนหรือซื้อหุ้นเองนั้นควรจะต้องดูอะไรกันบ้าง
ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องการซื้อกองทุนก่อน สมัยนี้การเลือกซื้อกองทุนค่อนข้างสะดวก เราสามารถซื้อหน่วยลงทุนทั้งกับกองทุนแบบเปิด(ซื้อขายได้ตลอดเวลา) และแบบปิด(มีระยะเวลาไถ่ถอน) โดยซื้อได้โดยตรงกับบริษัทที่ออกกองทุนหรือตัวแทนกลางก็ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีกองทุน RMF ไว้ออมเพื่อเกษียณและ LTF ไว้ลงทุนระยะยาวพร้อมลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ข้อดีของการซื้อกองทุนคือ เราสามารถเลือกธีมการลงทุนได้ โดยเลือกดูว่าแต่ละกองจะนำเงินเราไปลงทุนในอะไร เช่น ถ้าลงทุนในตราสารหนี้เราก็คาดหวังผลตอบแทนน้อยหน่อย แต่ก็จะได้ความเสี่ยงที่น้อยลงไปด้วย หรือบางกองก็ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ หรือหุ้นอย่างเดียวก็มี(แบบหลังก็รับความเสี่ยงได้มากหน่อย)
และในการคัดเลือกกองทุนนั้น เรายังสามารถเลือกดูผลประกอบการย้อนหลังและแผนการลงทุนของแต่ละกองทางสื่ออินเตอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์ได้ง่ายดาย อีกทั้งการติดตามผลงานหลังจากซื้อกองทุนไปแล้วนั้น ค่อนข้างสะดวกเพราะเราแค่ดูเป็นระยะๆไป อาจจะสามหรือหกเดือนครั้งก็ยังได้
โดยสรุปการเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั้นเหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามหรือวิเคราะห์ด้วยตัวเอง แต่จะมองในลักษณะภาพรวมๆว่า นโยบายของแต่ละกองนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เราชอบไหม เหมาะกับผลตอบแทนที่เราต้องการไหม หลังจากซื้อแล้วก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนบริหารไป
ส่วนการซื้อหุ้นสร้างพอร์ตลงทุนด้วยตัวเองนั้น จะมีความยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย (ถึงมาก) ซึ่งสามารถสรุปมาได้ 3 ข้อ ถ้าหากเราสามารถทำ 3 ข้อนี้ได้ เราก็ควรจะเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง
1.วิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง ปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลที่วิเคราะห์หุ้นมาให้แบบสำเร็จรูปเยอะมาก เช่น ในไลน์กลุ่ม เฟสบุ๊ค บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ หรือแม้กระทั่ง SMS ที่สรุปจุดซื้อ-จุดขายมาให้เรียบร้อย ซึ่งเอาเข้าจริงหลายท่านก็อาศัยข้อมูลเหล่านี้ไปตัดสินใจซื้อขายจริงๆ โดยไม่ผ่านการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เช่นการ เข้าไปอ่านรายงานประจำปี การดาวน์โหลด 56-1 มาอ่าน การเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ เป็นต้น ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ตัวเองจะลงทุนดีพอ ขนาดที่จะสามารถตัดสินใจ ซื้อ-ถือ-ขาย หุ้นตัวนั้นๆในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง พอเกิดเหตุการณ์วิกฤติขึ้นมาก็สับสน งงงวย โอกาสตัดสินใจผิดพลาดสูง
2.หาความรู้ในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การมีเเค่ “เงิน” เพียงอย่างเดียวใช่ว่าจะการันตีความสำเร็จในการลงทุนได้ แต่ต้องมีความรู้ที่ถูกต้องในการลงทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทัศนคติ การหามูลค่า ส่วนเผื่อความปลอดภัย จิตวิทยาการลงทุนเป็นต้น
จะว่าไปการลงทุนนั้นแท้จริงเป็นกระบวนการการเรียนรู้ เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่งเราต้องมีการทำผิดพลาด แต่ เราจะสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นได้แค่ไหน และนำมาปรับปรุงแก้ไขสไตล์การลงทุนของเรา ให้สามารถทำผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ นี่จะเป็นตัวชี้วัดนักลงทุนที่ล้มเหลวกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
3.มีเวลาในการติดตามผลงานการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในโลกของการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะในปัจจุบันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงมาก เราจึงจำเป็นที่จะต้องติดตามผลงานและปัจจัยต่างๆที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทที่เราลงทุนอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่ว่าปัจจัยเหล่านั้นจะส่งผลในทางดีหรือร้ายต่อผลประกอบการ ล้วนแล้วแต่สร้างโอกาสในการลงทุนให้กับเราได้ทั้งสิ้น ในกรณีนี้หากเราไม่มีเวลามาติดตามการซื้อกองทุนดูจะเหมาะกว่า
มาถึงตรงนี้ท่านก็คงตอบตัวเองได้เเล้วว่า เงินสดที่มีอยู่ในมือของท่านนั้นควรจะนำไปซื้อกองทุนหรือเลือกซื้อหุ้นเองดี
ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
=====================================
เติมความรู้การลงทุนฟรีทาง E-Mail คลิ๊ก
https://goo.gl/Q5p4U8
---------------------------------------------------
-------------
ติดตามบทความ
-------------
เฟสบุ๊ค : "อดออม ลงทุน"
https://www.facebook.com/profitsrun.net/
Line official :
http://line.me/ti/p/@profitsrun.net <= กดบนมือถือ
มือใหม่ควรซื้อกองทุนหรือเลือกหุ้นเองดี ?
คำถามยอดฮิตของผู้ที่มีเงินสดและต้องการที่จะสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ก็คือระหว่างการนำเงินไปซื้อกองทุนกับการสร้างพอร์ตเลือกหุ้นด้วยตนเอง แบบไหนจะดีกว่ากัน
จริงๆคำถามนี้ เราสามารถที่จะตอบตัวเองได้ไม่ยากนัก เพราะเราย่อมรู้ตัวเราเองดีว่าเหมาะกับแบบไหน แต่หากเรามีตัวชี้วัดสักเล็กน้อยว่าเราเหมาะกับแบบไหนกันแน่ก็คงจะดี การตัดสินใจจะได้ง่ายขึ้น เรามาดูกันครับว่าในการที่เราจะเลือกนำเงินไปลงทุนในกองทุนหรือซื้อหุ้นเองนั้นควรจะต้องดูอะไรกันบ้าง
ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องการซื้อกองทุนก่อน สมัยนี้การเลือกซื้อกองทุนค่อนข้างสะดวก เราสามารถซื้อหน่วยลงทุนทั้งกับกองทุนแบบเปิด(ซื้อขายได้ตลอดเวลา) และแบบปิด(มีระยะเวลาไถ่ถอน) โดยซื้อได้โดยตรงกับบริษัทที่ออกกองทุนหรือตัวแทนกลางก็ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีกองทุน RMF ไว้ออมเพื่อเกษียณและ LTF ไว้ลงทุนระยะยาวพร้อมลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ข้อดีของการซื้อกองทุนคือ เราสามารถเลือกธีมการลงทุนได้ โดยเลือกดูว่าแต่ละกองจะนำเงินเราไปลงทุนในอะไร เช่น ถ้าลงทุนในตราสารหนี้เราก็คาดหวังผลตอบแทนน้อยหน่อย แต่ก็จะได้ความเสี่ยงที่น้อยลงไปด้วย หรือบางกองก็ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ หรือหุ้นอย่างเดียวก็มี(แบบหลังก็รับความเสี่ยงได้มากหน่อย)
และในการคัดเลือกกองทุนนั้น เรายังสามารถเลือกดูผลประกอบการย้อนหลังและแผนการลงทุนของแต่ละกองทางสื่ออินเตอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์ได้ง่ายดาย อีกทั้งการติดตามผลงานหลังจากซื้อกองทุนไปแล้วนั้น ค่อนข้างสะดวกเพราะเราแค่ดูเป็นระยะๆไป อาจจะสามหรือหกเดือนครั้งก็ยังได้
โดยสรุปการเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั้นเหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามหรือวิเคราะห์ด้วยตัวเอง แต่จะมองในลักษณะภาพรวมๆว่า นโยบายของแต่ละกองนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เราชอบไหม เหมาะกับผลตอบแทนที่เราต้องการไหม หลังจากซื้อแล้วก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนบริหารไป
ส่วนการซื้อหุ้นสร้างพอร์ตลงทุนด้วยตัวเองนั้น จะมีความยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย (ถึงมาก) ซึ่งสามารถสรุปมาได้ 3 ข้อ ถ้าหากเราสามารถทำ 3 ข้อนี้ได้ เราก็ควรจะเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง
1.วิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง ปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลที่วิเคราะห์หุ้นมาให้แบบสำเร็จรูปเยอะมาก เช่น ในไลน์กลุ่ม เฟสบุ๊ค บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ หรือแม้กระทั่ง SMS ที่สรุปจุดซื้อ-จุดขายมาให้เรียบร้อย ซึ่งเอาเข้าจริงหลายท่านก็อาศัยข้อมูลเหล่านี้ไปตัดสินใจซื้อขายจริงๆ โดยไม่ผ่านการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เช่นการ เข้าไปอ่านรายงานประจำปี การดาวน์โหลด 56-1 มาอ่าน การเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ เป็นต้น ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ตัวเองจะลงทุนดีพอ ขนาดที่จะสามารถตัดสินใจ ซื้อ-ถือ-ขาย หุ้นตัวนั้นๆในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง พอเกิดเหตุการณ์วิกฤติขึ้นมาก็สับสน งงงวย โอกาสตัดสินใจผิดพลาดสูง
2.หาความรู้ในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การมีเเค่ “เงิน” เพียงอย่างเดียวใช่ว่าจะการันตีความสำเร็จในการลงทุนได้ แต่ต้องมีความรู้ที่ถูกต้องในการลงทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทัศนคติ การหามูลค่า ส่วนเผื่อความปลอดภัย จิตวิทยาการลงทุนเป็นต้น
จะว่าไปการลงทุนนั้นแท้จริงเป็นกระบวนการการเรียนรู้ เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่งเราต้องมีการทำผิดพลาด แต่ เราจะสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นได้แค่ไหน และนำมาปรับปรุงแก้ไขสไตล์การลงทุนของเรา ให้สามารถทำผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ นี่จะเป็นตัวชี้วัดนักลงทุนที่ล้มเหลวกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
3.มีเวลาในการติดตามผลงานการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในโลกของการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะในปัจจุบันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงมาก เราจึงจำเป็นที่จะต้องติดตามผลงานและปัจจัยต่างๆที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทที่เราลงทุนอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่ว่าปัจจัยเหล่านั้นจะส่งผลในทางดีหรือร้ายต่อผลประกอบการ ล้วนแล้วแต่สร้างโอกาสในการลงทุนให้กับเราได้ทั้งสิ้น ในกรณีนี้หากเราไม่มีเวลามาติดตามการซื้อกองทุนดูจะเหมาะกว่า
มาถึงตรงนี้ท่านก็คงตอบตัวเองได้เเล้วว่า เงินสดที่มีอยู่ในมือของท่านนั้นควรจะนำไปซื้อกองทุนหรือเลือกซื้อหุ้นเองดี
ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
=====================================
เติมความรู้การลงทุนฟรีทาง E-Mail คลิ๊ก https://goo.gl/Q5p4U8
---------------------------------------------------
-------------
ติดตามบทความ
-------------
เฟสบุ๊ค : "อดออม ลงทุน"
https://www.facebook.com/profitsrun.net/
Line official : http://line.me/ti/p/@profitsrun.net <= กดบนมือถือ