[CR] ชีวิตวัยรุ่นของผม กับการขี่มอเตอร์ไซค์ธรรมดาๆคนเดียว เที่ยวอาเซียนครับ

มาจะกล่าวบทไป ถึงชายคนหนึ่งที่ชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ การไปในที่ต่างๆมันให้แรงบันดาลใจและทำให้ความคิดของผมเป็นอิสระ คำถามถัดมาคือจะเที่ยวยังไงให้ตรงกับใจเรา ให้เราอิสระไม่ต้องรีบไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรอใครและไม่ต้องให้ใครรอเรา สำหรับผมคำตอบคือการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกหรอกครับ



           ผมเองไม่เคยมีความคิดจะเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์บ้านธรรมดาเท่าไหร่ หลักๆคือมันไม่ใช่ในความคิดผมตอนนั้น มันไม่เท่ห์เหมือนกับที่เราเคยเห็นมอเตอร์ไซค์ใหญ่ๆเค้าขี่มาเป็นกลุ่มๆกัน ดูแพง ดูแรง ใจผมรักทางนี้มานานแต่ด้วยเราติดความคิดที่ว่าท่องเที่ยวต้องมอเตอร์ไซค์ใหญ่ ผมจึงเบนเข็มจากเที่ยวเป็นพยายามหาเงินเพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไปแทนโดยไม่รู้ตัว คือเที่ยวก็ยังไม่ได้เที่ยวเพราะมัวเก็บเงินซื้อรถ วันหนึ่งผมอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างว่าเราจะทำได้ไหมทำให้ผมได้ลองขี่ไกลที่สุด คือเมื่อสองปีก่อนใช้เวฟ100 ไปกลับกรุงเทพ-ประจวบคีรีขันธ์ รถมาล้มหลังจากถ่ายรูปใบนี้ครับ



            กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมครับ และผมจะเน้นไปที่ ทริปล่าสุดที่ไปมาครับแต่ก่อนอื่นผมอยากจะขอเท้าความทริปที่เคยไปมาแบบคร่าวๆให้พอเข้าใจครับ ปล.ภาพถ่ายจะเริ่มสวยขึ้นๆครับค่อยๆพัฒนาภาพถ่าย น้ำหนัก จขกท.ก็เช่นกัน

ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ผมได้มีโอกาสเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยและไม่ค่อยจะใช้เงินจึงทำให้พอมีเงินเก็บบ้างครับ ผมขอข้ามมาหลังจากที่ขี่เวฟ100ไปกลับกรุงเทพ-ประจวบคีรีขันธ์ ได้สำเร็จ ต่อมาผมตัดสินใจเปลี่ยนรถมาใช้ Yamaha Nouvo SX เพราะเธอเป็นเหมือนรักแรกปิ๊งของผม ชนิดที่ว่าเห็นปุ๊บจากที่จะไปซื้อรุ่นอื่นก็เอารุ่นนี้เลยครับ

การท่องเที่ยวของผมมันเริ่มจากอารมณ์ที่แปรปรวนของผมเองที่ไปชอบสาวที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เธอเป็นคนชุมพรตอนนั้นเธอไม่ได้ชอบผม ผมเป็นคนที่ถ้าชอบใครมักจะทำตัวเยอะใส่ทุกรายไป เธอจึงตัดการติดต่อจากผมทุกทาง ผมไม่รู้จะทำยังไงด้วยความที่ยังวัยรุ่นที่ขาดการไตร่ตรองให้ดีก่อน ผมจึงตัดสินใจขี่นูโวไปชุมพร เป้าหมายของผมแค่ต้องการอยากเห็นหน้าเธอแค่นั้นแหละ
เมื่อชีวิตไม่ได้เป็นไปตามแผน เมื่อหนทางเต็มไปด้วยขวากหนามแทนที่จะโรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ ปรากฏว่ารถผมได้เสียอยู่ที่ท่าแซะต้องรออะไหล่ถึง 4 วัน ผมไม่มีทางเลือกครับด้วยความมีปมนิดๆที่สมัยเด็กไม่ค่อยได้เที่ยวไหนเลย ผมจึงตัดสินใจไปเที่ยวเกาะเต่าโดยไม่ได้ว่างแผนและไม่มีเสื้อผ้า จนทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ไปเที่ยวกับฝรั่งได้คุยแลกเปลี่ยนกันทำให้ความคิดเริ่มเปลี่ยนไป ผมจึงเริ่มสนใจการท่องเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์นับแต่นั้น มันทำให้ผมรู้สึกอิสระและเหมือนมีอะไรทำจะได้ไม่ต้องคิดถึงสาวคนนั้นมาก จบแล้วครับเรื่องมาม่า ฮ่าๆ



          หลังจากกลับไปเรียนแล้วมีวันหยุดยาว ผมตัดสินใจเดินทางคนเดียวโดยไม่ได้วางแผนเดินทางจาก กรุงเทพไปสนามเซปัง ประเทศมาเลเซียโดยเป้าหมายของผมเพียงแค่อยากไปต่างประเทศแค่นั้น เอาคร่าวๆละกันนะครับผมข้ามด่านที่ด่านสะเดาไปแบบไม่มีแผนเพียงแค่ซิ่งไปตามสายลมครับและตอนแรกตั้งใจจะไปให้ถึงสิงคโปร์แต่เงินไม่พอ แม้แต่กล้องก็ไม่ค่อยดีครับเป็นกล้องคอมแพคราคาไม่กี่ร้อยไม่ทันจบทริปก็เสียครับ ขากลับได้แวะเที่ยวตรัง กระบี่ ภูเก็ต ชุมพร ก่อนกลับกรุงเทพครับ ภาคใต้สำหรับผมผู้คนน่ารักมีน้ำใจมากๆผมไปนอนบ้านชาวบ้านที่ชุมพรไปนอนที่ป้อมตำรวจที่ตรัง มีน้ำใจได้กลับมาเป็นของฝากเป็นกระบุงครับ







            ต่อมาเป็นความพยายามเดินทางไปเที่ยวประเทศที่สามของผมคือลาว โดยรวดเที่ยวภาคอีสานด้วย แต่เนื่องจากสะพานมิตรภาพไม่ให้ข้ามเลยสักสะพานหากเราไปคันเดียว มีที่จังหวัดเลยแต่ต้องมีพาสปอร์ตรถ และคุ้นๆว่าที่แพบึงกาฬได้ ผมจึงใช้เวลาท่องเที่ยวที่ภาคอีสานและจอดรถที่ชายแดนประเทศกัมพูชา เพื่อไปเที่ยวเขมรแบบไม่มีแผนเช่นเคยครับ โดยผมได้เจอพระอาจารย์ท่านหนึ่งนำทัวร์พระไทยมาที่นครวัดผมจึงขอไปเที่ยวด้วยแบบซื่อๆ ต้องขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์อย่างมากครับ ภาคอีสานผมได้ไปนอนกับชาวบ้านที่อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน นอนวัดภูกุ้มข้าว มิตรภาพดีๆจากมุกดาหาร กินข้าวกับชาวบ้านที่ผาแต้ม ผมว่าภาคนี้ผู้คนน่ารักมีน้ำใจอาหารแซบอีหลีครับ





ล่องเรือน้อยที่ผาเเต้มครับ









โตนเลสาบ

            หลังจากกลับจากประเทศกัมพูชาผมก็เที่ยวต่อเรื่อยๆจนไปถึงที่มุกดาหารแล้วรู้สึกว่าอยากทำให้ไรให้แม่บ้างและอยากกลับบ้านแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดน่านเพื่อไปบวชป็นพระภิกษุ ครับ (ภาพเเรกคือมิตรภาพที่มุกดาหารครับ ณ ร้านกาเเฟลูกช้างขึ้นดอย)





            หลังการสึกออกมาผมก็ออกไปไล่ล่าฝันต่อครับโดยออกจากบ้านที่น่านไปลาวผ่านด่านห้วยโก๋น ผมขออนุญาตลงบันทึกที่เคยเขียนไว้ตอนเดินทางจากน่านไปหลวงพระบางครับ เพราะมันเป็นอารมณ์ของผมในตอนนั้นจริงๆ

"เป็นทริปที่ผมขอบอกว่า ยากลำบากที่สุดตั้งแต่เคยออกทริปมา หลังจากที่ผมผ่านด่านมาทางห้วยโก๋น จ.น่าน มีคนบอกให้ผมข้ามน้ำทางเรือที่

ปากแบ่ง แต่!! ผมกลับขี่มาเรื่อย เรื่อยๆ โดยไม่ยินดียินร้ายอะไร ถนนดีครับโค้งสนุกสนาน กำลังพอดิบพอดีไม่ยากใช้ความเร็วสูงได้ จนผมเจอ

ป้ายชี้ไปยังเป้าหมายคือ "เมืองหลวงพระบาง" ป้ายชี้ไปในทางลูกรังเบื้องหน้า ถ้าผมอ่านไม่ผิดคือ 17km. แต่ผมขับมาสักพักจนเริ่มนานกลับ

ไม่พบอะไร จนเริ่มท้อ เพราะทางเหมือนจะพาผมเข้าป่าเข้าเขาไปเรื่อยๆ ผมเจอชาวบ้าน(ตั้งแต่ขับมาเพิ่งจะมาเจอ) เขาบอกว่าหลวงพระบาง

ตรงไปเลย ไกล! ต้องผ่านหมู่บ้านโน้นนี้ บลาๆ ผมก็โอเครเอาว่ะ เหนื่อยก็เหนื่อย ผมขับต่อไป นานก็แล้วสองนานสามนานก็แล้ว ผมเริ่มท้อ ไม่

ท้อได้ไงล่ะครับข้างทางมีแต่ป่า ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรืออะไรที่เป็นฝีมือมนุษย์เลย มีแค่เสาไฟฟ้าอยู่ไกลๆ "ทางยากลำบากครับ เปลี่ยวเข้าป่าลึก

ขึ้นเขาแล้วเขาเล่า ชัน ลูกรัง ไม่ใช้ลูกรังธรรมดาครับทั้งลื่น ทั้งขรุขระมาก ความเร็วหรอครับ ประมาณ 20km/hr" มีหลายช๊อตที่ผมต้องลงรถ

แล้วบิดขึ้นเนินครับทั้งลื่น รถสบัดนับไม่ถ้วนครับ "รถล้ม 3 ครั้งครับแฮททริก" เข็นขึ้นเขาล้มสักสองสามครั้ง บิดขึ้นเขาล้มหนึ่งครั้ง ลื่นหินล้ม

หนึ่งครั้งครั้งนี้เจ็บครับ!!>0< ที่ยากลำบากนอกจากที่กล่าวมาแล้วคือ ผมคิดว่าให้ตายกูมาทางผิดป่าวว่ะทำไมมันยากจังขึ้นแต่เขา ใช้ความเร็ว

สูงไม่ได้ และที่สำคัญลำพังครับ ไม่มีคนหรือบ้านเรือนเลย! ให้ตาย ป่าชัดๆ"ทางซ้ายหน้าผา ทางขวาเหว" พลาดเป็นกลับบ้านเดิมครับ รถ

สวนไม่เกิน8คันรวมทั้งรถยนต์มอไซ ผมกำลังท้อใจ ปรากฎว่าเจอหมู่บ้านแรก ที่ต้องลุยฟ่าทางน้ำไหลครับคิดดู ออฟโรสชัดๆ(ต่อไปเจออีก

เพียบ ขาเขออย่าให้พูดครับทั้งฝุ่นทั้งจุ่มแม่น้ำ) ผมเดินทางอย่างมีหวังหลังจากเจอหมู่บ้านแรก ถามชาวบ้านอีกครั้งโอเครไปต่อ เดินทางไปอีก

นาน คราวนี้ทางยากกว่าเก่าครับ! ไม่เจอรถผ่านมาเลยสักคัน ไม่มีคน มีแต่ป่า ขึ้นเขาสูง ตอนนั้น ผมไปอีกนาน โครตเหนื่อย ลำพัง เจอหมู่บ้าน

เล็กตอนนั้นพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ชาวบ้านบอก75km ผมทำใจดีสู้เสือไปต่อ ปรากฏว่าผมขับเข้าทางลูกรังนี้ตั้งแต่ประมาณ 3โมงเย็น ตอนนั้น

จะทุ่มครึ่ง ยังไม่ออกจากป่าเลยครับ! แล้วปัญหาใหญ่ต่อมาคือ "น้ำมันจะหมดครับ"!!! และตอนนั้นก็มืดมากๆเพราะอยู่กลางเขา ยิ่ง

ขับยิงเครียดครับ ทางยิ่งเปลี่ยว ต้นไม่ยิ่งเยอะ เยอะจนเหมือนกับว่าไม่เคยมีรถยนต์ผ่านเพราะมันโน้มลงมาจนผมต้องหมอบขับรถในบางที

สุดท้าย2ทุ่มมืดสนิท น้ำมันไม่ถึงแน่ๆ ผมขับผ่านกระต๊อบครับ มันก็ไม่ได้บังลมบังแดดไรได้หรอกแต่ดีกว่าไปต่อแล้วน้ำมันหมดกลางป่าตอนมืด

ไม่มีที่นอน ผมได้ยินเสียงคน และมีแสงไฟอยู่ไกลๆทำให้รู้ว่าควรหยุดพักที่นี่! ถ้าผมไปขอความช่วยเหลือเค้าตอนนี้คงไม่ดี ทั้งถามทางทั้งถามเรื่อง

น้ำมัน ถามต้อนมืดๆผมคิดว่าไม่ควรครับ แล้วยิ่งเดินทางตอนมืดๆแบบนี้ยิ่งไม่ควรเข้าไปใหญ่ ผมตั้งสินใจพักตรงนั้นรอจนเช้าครับ รู้มั้ยครับมันเป็น

ค่ำคืนที่ยากลำบากที่สุดสำหรับผม! ทั้งหนาว ทั้งหิวน้ำมากๆๆๆ(ตั้งแต่ขับมาไม่มีร้านเลย) ทั้งกลัวชาวบ้านเจอโจรกลางป่า ที่กลัวที่สุดคือจะทำ

ยังไงถ้าน้ำมันหมดกลางป่าถึบ ลำพัง!!! กลางดึกเพราะความเหนื่อยผมงีบไปบ้างแต่มันหนาวมากๆครับ ตอนดึกๆมีสัตว์หายใจดังๆตัวดำๆเดิน

เข้ามาใกล้ ผมสรุปเอาเองว่าน่าจะเป็นหมูของชาวบ้าน >>>จนเช้า ผมแทบจะดูนาฬิการอเช้าตลอดเวลาเพราะทั้งหนาวและต้องไปต่อ และมัน

เปลี่ยวครับ มืดๆกลางป่า ที่ลาว นอนกระท่อมลำพัง กลัวชาวบ้านจะมาว่าว่าเราบุกรุก จนเช้าผมดีใจมาก ผมขับไปถามชาวบ้านชาวบ้านถือมีด

เลยครับ !!บอกว่าทางนี้ไม่ใช้ทางไปหลางพระบาง ผมต้องย้อนกลับไปประมาณ5กิโลแล้วเลี้ยวขวา คิดดูครับน้ำมันก็จะหมดดันมาหลงซ้อนหลง

อีก ผมขับไปก็ต้องถามบ้านชาวบ้านที่เคยผ่านมาเขาบอกทาง ผมต้องไปกลับไปกลับถามชาวบ้านคนนั้นถึงสามรอบ ผมขอน้ำเปล่าเขาดื่มรส

ชาดไม่ดีหรอกครับให้ทำไงจะตายเพราะขาดน้ำเอาสุดท้ายลุงคนนั้นช่วยชีวิตผมครับ ผมซึ้งมากๆ เขายอมนั่งรถผมมาเพื่อบอกทางพอผม

พบทางไปหลวงพระบางเขาลงแล้วต้องเดินกลับบ้านเองครับ คิดดูเพราะน้ำมันผมไม่พอแน่ๆ ผมต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้นอย่างล้นพ้นครับ ทรา

เก็จคือ หมู่บ้านที่ชื่อหลัก62ครับ เค้าว่ามีรถกระบะ ที่จริงลุงเขาจะขายน้ำมันให้แต่ผมกลัวมันไม่ใช่เบนซิน คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ ผม

ต้องขับอย่างลุ้นน้ำมันหมดสุดๆครับ ....สุดท้ายแทบจะกระโดดเพราะมาถึงหมู่บ้านหลัก62ได้แล้วที่เด็ดคือ มีน้ำมันสำหรับรถสี่จังหวะ คือ

เบนซินครับ มีน้ำขาย ผมแทบจะกระโดดดด กูรอดดดแล้ว!!! เค้าบอกว่าอีก65กิโลถึงท่าเรือไปหลวงพระบาง หลังจากที่ผมออกจากหมู่บ้าน

หลัก62 ทางง่ายลงมากแต่ก็นานมากๆผ่านหมู่บ้านเยอะขึ้นเยอะ จนผมเพลีย ลุยธารน้ำมากมาย จนผมแทบกระโดด เมื่อถึงท่าเรือ ผมเสีย

ค่าเรือ40บาทไทยครับ ข้ามไปก็ถึงแล้วหลวงพระบางให้ตาย ....ยังไม่จบครับ พอไปถึงก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ ผมเจอวัดๆหนึ่งบนเขาเตี้ยๆเลยขับขึ้นไป

เจอสาวลาวสองคน เราคุยกันถูกคอ เป็นความโชคดีมากๆของผม เธออาสา จะพาเที่ยวที่นี่ครับ ผมต้อง

ขอบคุณเธอจากใจเลยครับ และตอนนี้ผมเช็คอินที่โรงแรมที่นี่ผมถือว่าแพงครับ1,000ต่อคืน รู้มั้ยครับตอนผมอยู่ในป่าลึก ลำพังนั้น ผมคิดถึงแม่ และป้าผมมากๆ ขอบคุณครับ"






ศาลานี้เเหละครับที่นอนอยู่คืนนึง





         หลังจากหลวงพระบางผมก็ขี่รถต่อไปที่เป้าหมายคือเวียดนาม โดยไม่ได้วางเเผนรู้เเค่ว่าในเเผนที่เมืองนี้มันเเลดูใกล้เวียดนามที่สุด คือ ซัมเหนือ ครับ
ชื่อสินค้า:   พันทิปท่องเที่ยว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่