สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน จากกระทู้ก่อนหน้า ที่ผมได้ทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับความสำคัญของความศรัทธา มาในวันนี้ ผมขอชวนทุกท่าน มาร่วมพูดคุยและเปลี่ยนความเห็นกันต่อนะครับ
กระทู้ก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/34992875
ความศรัทธา คือความเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าและเชื่อในเรื่องของกรรม คือเมื่อมีการกระทำก็ต้องมีผลของการกระทำและผลของกรรม โดยเฉพาะกรรมที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านผู้ใดที่เคยอ่านพุทธประวัติจะพบว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ต่างๆมากมาย เฉพาะพุทธประวัติที่ว่า ทารกออกจากครรภ์มารดา เดินได้ 7 ก้าว พูดได้แบบผู้ใหญ่พูดอีกต่างหาก และยังมีปาฏิหาริย์ อื่นๆอีกมากมายรวมทั้งคำสอนที่เกี่ยวกับเรื่องของ ชีวิตและโลกหลังความตายเช่น การเจรจาของพระพุทธเจ้ากับเทวดาผ่านทางสมาธิ กำเนิด 4 ว่าด้วยการเกิดใหม่ของคนที่ตายแล้ววิญญาณเข้าท้องมารดา ฯลฯ ความรู้เหล่านี้ได้มาในขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะ (ก็คือทารกที่เกิดมาเดินได้พูดได้เลย ซึ่งต่อมาก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)ทรงปฏิบัติสมาธิจนได้ฌานขั้นสูงเกิดปาฏิหาริย์ต่างๆเช่น การระลึกชาติได้ ตาทิพย์ ทรงเห็นนรกสวรรค์ ทรงรู้เรื่องกฎแห่งกรรมทั้งหมดนี้ ทรงรู้ได้จากเครื่องมือคือปาฏิหาริย์อันเกิดจากการปฏิบัติสมาธินั่นเอง
ดังนั้นจะเห็นว่าความรู้ต่างๆในเรื่องของ โลกและชีวิตหลังความตายนั้นและปาฏิหาริย์ เหล่านั้นเป็นของคู่กัน ถ้าไม่เชื่อว่าปาฏิหาริย์เหล่านั้นทำได้จริงก็จะพลอยไม่เชื่อในคำสอนเหล่านั้นไป ด้วยดังนั้นถ้าเราต้องการจะศึกษาพุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เราก็ต้องมีความศรัทธานำหน้าไปก่อนต่อเมื่อเราได้ศึกษาพุทธพจน์แล้วปัญญาจะเกิดเมื่อศึกษามากขึ้นปัญญาจะนำหน้าศรัทธา ความศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาเช่นนี้จึงเป็นความศรัทธาตามหลักของพระพุทธศาสนานั่นเอง
จะว่าไปแล้วในบ้านเรามีผู้มีหนังสือที่ได้บันทึกเรื่องของ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆของพระอริยะสงฆ์ พระอริยะเจ้าให้เราได้ศึกษากันก็น่าจะปลูกความศรัทธา ให้เกิดขึ้นในใจเราได้มากพอที่จะศึกษาพุทธพจน์เหล่านั้น คุณของพระอริยะสงฆ์นอกจากจะสืบต่อพระพุทธศาสนาแล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นพยานในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ซึ่งต้องถือว่าปาฏิหาริย์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เจ้าชาย สิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจากพุทธประวัตินั้น พระพุทธองค์ทรงเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่าในคืนวันก่อนที่จะตรัสรู้ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นั้นพระองค์ได้ปฏิบัติสมาธิจนได้อิทธิปาฏิหาริย์ ต่างๆ จนรู้เห็นโลกและชีวิตหลังความตายทั้งหมดทรงรู้เรื่องกฏแห่งกรรมและจากการที่ทรงระลึกชาติได้ว่าพระองค์เคยตายแล้วเกิดอีกนับแสนๆชาติ ต่อมาก็ทรงรู้ว่า ตัณหาเป็นต้นเหตุที่ทำคนเราตายแล้วต้องเกิดขึ้นมาอีกต่อมาก็รู้อีกว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาในที่สุดก็ทรงทำลายปัจจัยนั้นได้ ดับตัณหาได้ ท้ายที่สุดก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า(เล่าแบบย่อนะครับ)จากพุทธประวัติในตอนนี้ ปาฏิหาริย์จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเราจึงต้องมีความศรัทธา ในเรื่องของปาฏิหาริย์ก่อนที่จะศึกษาพุทธพจน์ต่างๆ ด้วยเหตุผลเหล่านี้หวังว่าจะช่วยปลูกความศรัทธาขึ้นในใจของท่านผู้อ่านได้บ้าง เพื่อจะได้เป็นกำลังในการศึกษาพุทธพจน์ต่อไป ในหนังสือ นวโกวาทมีคำสอนว่า พละคือ ธรรมที่เป็นกำลัง๕ อย่างคือ ๑ สัทธาความเชื่อ ๒ วิริยะความเพียร ๓ สติความระลึกได้ ๔ ความตั้งใจมั่น ๕ ปัญญาความรอบรู้ จากคำสอนนี้จะเห็นว่า ความศรัทธา นั้นเป็นกำลังใจที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่เราจะศึกษาทั้งพุทธประวัติ และพุทธพจน์
ผมขออธิบายเพื่อขยายความด้านบนอีกซักเล็กน้อยนะครับ อุปมาว่าในสังคมชาวโลกมีทั้งคนดีและคนไม่ดี มนุษย์จึงต้องมีกฎหมายไว้ป้องกันไม่ให้คนทำไม่ดี มีเรือนจำไว้ลงโทษคนทำผิด ดังนั้น กฎหมายก็ดี เรือนจำก็ดีเกิดขึ้นเพราะในโลกนี้มีคนที่ทำผิด ถ้าในโลกนี้ไม่มีคนทั้งกฎหมายและเรือนจำก็ไม่จำเป็นต้องมี เพราะมีสิ่งนั้นจึงมีสิ่งนี้ฉันใด ถ้าคนเราตายแล้วไม่เกิดขึ้นมาอีก ชีวิตหลังความตายต่างๆ ก็จะไม่มี อย่างนั้นทั้ง นรก สวรรค์ และ กฎแห่งกรรมก็ไม่มี เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆไปอยู่อาศัย และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้ต้องตัดสิน เมื่อไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็ไม่มี แต่ถ้าคนเราตายและมีเกิดขึ้นอีก เราลองนึกภาพกายทิพย์ของคนที่ตายแล้วทั่วโลก ซึ่งคงจะมากมายจนนับได้ว่าเป็นสังคมของชีวิตหลังความตายได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่จะมีนรก สวรรค์ กฎแห่งกรรม ก็น่าจะมีได้ เมื่อมีสิ่งนั้น สิ่งนี้ย่อมมี ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ขอเพียงเราได้ศึกษาจนใจยอมรับว่าคนเราตายแล้วเกิดอีก การที่จะเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ กฎแห่งกรรม ก็จะเชื่อและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นคนที่มีตาเป็นสื่อเห็นผีด้วยตัวเองก็ดี คนที่ฟังจากผู้ที่เชื่อถือได้ก็ดี ไม่ต้องกลัวเพราะผีไม่สามารถจะมาหักคอคนได้เหมือนในหนังหรอกนะครับ ข่าวคนถูกฆ่าตายมีทุกวัน อย่างนั้นเราก็น่าจะมีข่าวคนถูกผีหักคอตายกันบ้าง คนที่เห็นกับตา หรือได้ยินมาควรจะคิดว่า ทำไมผีเหล่านั้นจึงไม่ตกนรก เขาหรือเธอทำกรรมอันใดจึงต้องมาวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ทำไมไม่ไปมีความสุขอยู่ในสวรรค์ นี่เป็นการตั้งข้อสังเกต และจะนำไปสู่การศึกษาเพื่อหาคำตอบ ก็คือการศึกษาในเรื่องของ กฎแห่งกรรมนั่นเอง
ชีวิตหลังความตายก็ดี นรกสวรรค์ก็ดี กฎแห่งกรรมก็ดี เรื่องเหล่านี้แม้มองไม่เห็นกับตาตัวเอง หรือคนที่มีตาเป็นสื่อเห็นด้วยตาตัวเองส่วนมากก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของชีวิตเหล่านี้ ควรใช้โอกาสนี้ศึกษาในเรื่องเหล่านี้ เพราะ สักวันหนึ่งเราก็ต้องตายกลายเป็นผีเช่นกัน เราจะเป็นผีเช่นไร ใช่ว่าต้องมาวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์เช่นเดียวกับผีที่เราเห็นหรือไม่ ชีวิตหลังความตายทั้งหลายก็น่าจะได้ชื่อว่าเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่มีชีวิตและจิตใจ ซึ่งแตกต่างจากบรรดาพลังงานทั้งหลายที่มองไม่เห็นในโลก
ถ้าเราสามารถศึกษาเรื่องของผีหรือพลังงานเหล่านี้แม้ว่าเราจะไม่เห็นกับตาตัวเองก็ตาม แต่ใช้การเรียนรู้โดยการอ่าน พุทธพจน์ ซึ่งคือคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เช่นกันครับ ตอนหน้าเราจะมาดูกันว่า ในโลกเรานี้มีพลังงานที่มองไม่เห็นแต่มนุษย์เราก็สามารถศึกษาจนสามารถสร้างเครื่องมือต่างๆ ขึ้นมาเพื่อนำพลังงานที่มองไม่เห็นเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้ อันจะเป็นแรงบันดารใจให้เราสนใจศึกษาเรื่องผี ซึ่งก็เป็นพลังงานที่มองไม่เห็นเช่นกันนะครับ
ชวนสนทนา : คุณเชื่อหรือไม่ว่าผีมีจริง แล้วคำตอบในเรื่องนี้จะมีประโยชน์กับเราอย่างไร บทที่ 2
กระทู้ก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/34992875
ความศรัทธา คือความเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าและเชื่อในเรื่องของกรรม คือเมื่อมีการกระทำก็ต้องมีผลของการกระทำและผลของกรรม โดยเฉพาะกรรมที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านผู้ใดที่เคยอ่านพุทธประวัติจะพบว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ต่างๆมากมาย เฉพาะพุทธประวัติที่ว่า ทารกออกจากครรภ์มารดา เดินได้ 7 ก้าว พูดได้แบบผู้ใหญ่พูดอีกต่างหาก และยังมีปาฏิหาริย์ อื่นๆอีกมากมายรวมทั้งคำสอนที่เกี่ยวกับเรื่องของ ชีวิตและโลกหลังความตายเช่น การเจรจาของพระพุทธเจ้ากับเทวดาผ่านทางสมาธิ กำเนิด 4 ว่าด้วยการเกิดใหม่ของคนที่ตายแล้ววิญญาณเข้าท้องมารดา ฯลฯ ความรู้เหล่านี้ได้มาในขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะ (ก็คือทารกที่เกิดมาเดินได้พูดได้เลย ซึ่งต่อมาก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)ทรงปฏิบัติสมาธิจนได้ฌานขั้นสูงเกิดปาฏิหาริย์ต่างๆเช่น การระลึกชาติได้ ตาทิพย์ ทรงเห็นนรกสวรรค์ ทรงรู้เรื่องกฎแห่งกรรมทั้งหมดนี้ ทรงรู้ได้จากเครื่องมือคือปาฏิหาริย์อันเกิดจากการปฏิบัติสมาธินั่นเอง
ดังนั้นจะเห็นว่าความรู้ต่างๆในเรื่องของ โลกและชีวิตหลังความตายนั้นและปาฏิหาริย์ เหล่านั้นเป็นของคู่กัน ถ้าไม่เชื่อว่าปาฏิหาริย์เหล่านั้นทำได้จริงก็จะพลอยไม่เชื่อในคำสอนเหล่านั้นไป ด้วยดังนั้นถ้าเราต้องการจะศึกษาพุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เราก็ต้องมีความศรัทธานำหน้าไปก่อนต่อเมื่อเราได้ศึกษาพุทธพจน์แล้วปัญญาจะเกิดเมื่อศึกษามากขึ้นปัญญาจะนำหน้าศรัทธา ความศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาเช่นนี้จึงเป็นความศรัทธาตามหลักของพระพุทธศาสนานั่นเอง
จะว่าไปแล้วในบ้านเรามีผู้มีหนังสือที่ได้บันทึกเรื่องของ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆของพระอริยะสงฆ์ พระอริยะเจ้าให้เราได้ศึกษากันก็น่าจะปลูกความศรัทธา ให้เกิดขึ้นในใจเราได้มากพอที่จะศึกษาพุทธพจน์เหล่านั้น คุณของพระอริยะสงฆ์นอกจากจะสืบต่อพระพุทธศาสนาแล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นพยานในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ซึ่งต้องถือว่าปาฏิหาริย์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เจ้าชาย สิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจากพุทธประวัตินั้น พระพุทธองค์ทรงเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่าในคืนวันก่อนที่จะตรัสรู้ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นั้นพระองค์ได้ปฏิบัติสมาธิจนได้อิทธิปาฏิหาริย์ ต่างๆ จนรู้เห็นโลกและชีวิตหลังความตายทั้งหมดทรงรู้เรื่องกฏแห่งกรรมและจากการที่ทรงระลึกชาติได้ว่าพระองค์เคยตายแล้วเกิดอีกนับแสนๆชาติ ต่อมาก็ทรงรู้ว่า ตัณหาเป็นต้นเหตุที่ทำคนเราตายแล้วต้องเกิดขึ้นมาอีกต่อมาก็รู้อีกว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาในที่สุดก็ทรงทำลายปัจจัยนั้นได้ ดับตัณหาได้ ท้ายที่สุดก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า(เล่าแบบย่อนะครับ)จากพุทธประวัติในตอนนี้ ปาฏิหาริย์จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเราจึงต้องมีความศรัทธา ในเรื่องของปาฏิหาริย์ก่อนที่จะศึกษาพุทธพจน์ต่างๆ ด้วยเหตุผลเหล่านี้หวังว่าจะช่วยปลูกความศรัทธาขึ้นในใจของท่านผู้อ่านได้บ้าง เพื่อจะได้เป็นกำลังในการศึกษาพุทธพจน์ต่อไป ในหนังสือ นวโกวาทมีคำสอนว่า พละคือ ธรรมที่เป็นกำลัง๕ อย่างคือ ๑ สัทธาความเชื่อ ๒ วิริยะความเพียร ๓ สติความระลึกได้ ๔ ความตั้งใจมั่น ๕ ปัญญาความรอบรู้ จากคำสอนนี้จะเห็นว่า ความศรัทธา นั้นเป็นกำลังใจที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่เราจะศึกษาทั้งพุทธประวัติ และพุทธพจน์
ผมขออธิบายเพื่อขยายความด้านบนอีกซักเล็กน้อยนะครับ อุปมาว่าในสังคมชาวโลกมีทั้งคนดีและคนไม่ดี มนุษย์จึงต้องมีกฎหมายไว้ป้องกันไม่ให้คนทำไม่ดี มีเรือนจำไว้ลงโทษคนทำผิด ดังนั้น กฎหมายก็ดี เรือนจำก็ดีเกิดขึ้นเพราะในโลกนี้มีคนที่ทำผิด ถ้าในโลกนี้ไม่มีคนทั้งกฎหมายและเรือนจำก็ไม่จำเป็นต้องมี เพราะมีสิ่งนั้นจึงมีสิ่งนี้ฉันใด ถ้าคนเราตายแล้วไม่เกิดขึ้นมาอีก ชีวิตหลังความตายต่างๆ ก็จะไม่มี อย่างนั้นทั้ง นรก สวรรค์ และ กฎแห่งกรรมก็ไม่มี เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆไปอยู่อาศัย และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้ต้องตัดสิน เมื่อไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็ไม่มี แต่ถ้าคนเราตายและมีเกิดขึ้นอีก เราลองนึกภาพกายทิพย์ของคนที่ตายแล้วทั่วโลก ซึ่งคงจะมากมายจนนับได้ว่าเป็นสังคมของชีวิตหลังความตายได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่จะมีนรก สวรรค์ กฎแห่งกรรม ก็น่าจะมีได้ เมื่อมีสิ่งนั้น สิ่งนี้ย่อมมี ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ขอเพียงเราได้ศึกษาจนใจยอมรับว่าคนเราตายแล้วเกิดอีก การที่จะเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ กฎแห่งกรรม ก็จะเชื่อและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นคนที่มีตาเป็นสื่อเห็นผีด้วยตัวเองก็ดี คนที่ฟังจากผู้ที่เชื่อถือได้ก็ดี ไม่ต้องกลัวเพราะผีไม่สามารถจะมาหักคอคนได้เหมือนในหนังหรอกนะครับ ข่าวคนถูกฆ่าตายมีทุกวัน อย่างนั้นเราก็น่าจะมีข่าวคนถูกผีหักคอตายกันบ้าง คนที่เห็นกับตา หรือได้ยินมาควรจะคิดว่า ทำไมผีเหล่านั้นจึงไม่ตกนรก เขาหรือเธอทำกรรมอันใดจึงต้องมาวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ทำไมไม่ไปมีความสุขอยู่ในสวรรค์ นี่เป็นการตั้งข้อสังเกต และจะนำไปสู่การศึกษาเพื่อหาคำตอบ ก็คือการศึกษาในเรื่องของ กฎแห่งกรรมนั่นเอง
ชีวิตหลังความตายก็ดี นรกสวรรค์ก็ดี กฎแห่งกรรมก็ดี เรื่องเหล่านี้แม้มองไม่เห็นกับตาตัวเอง หรือคนที่มีตาเป็นสื่อเห็นด้วยตาตัวเองส่วนมากก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของชีวิตเหล่านี้ ควรใช้โอกาสนี้ศึกษาในเรื่องเหล่านี้ เพราะ สักวันหนึ่งเราก็ต้องตายกลายเป็นผีเช่นกัน เราจะเป็นผีเช่นไร ใช่ว่าต้องมาวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์เช่นเดียวกับผีที่เราเห็นหรือไม่ ชีวิตหลังความตายทั้งหลายก็น่าจะได้ชื่อว่าเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่มีชีวิตและจิตใจ ซึ่งแตกต่างจากบรรดาพลังงานทั้งหลายที่มองไม่เห็นในโลก
ถ้าเราสามารถศึกษาเรื่องของผีหรือพลังงานเหล่านี้แม้ว่าเราจะไม่เห็นกับตาตัวเองก็ตาม แต่ใช้การเรียนรู้โดยการอ่าน พุทธพจน์ ซึ่งคือคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เช่นกันครับ ตอนหน้าเราจะมาดูกันว่า ในโลกเรานี้มีพลังงานที่มองไม่เห็นแต่มนุษย์เราก็สามารถศึกษาจนสามารถสร้างเครื่องมือต่างๆ ขึ้นมาเพื่อนำพลังงานที่มองไม่เห็นเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้ อันจะเป็นแรงบันดารใจให้เราสนใจศึกษาเรื่องผี ซึ่งก็เป็นพลังงานที่มองไม่เห็นเช่นกันนะครับ