ไปดูมาแล้ว...
การแข่งขันที่วัดกันด้วยใจหาใช่เชื้อชาติหรือสีผิว Race ต้องกล้าวิ่ง (ให้ 8/10)

*****ไม่สปอยล์*****

หนึ่งในบันทึกหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์กีฬาโอลิมปิกคือ งานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1936 ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ฮิตเลอร์ประกาศก้องว่า ชาวอารยัน (หรือเยอรมัน) นั้นยิ่งใหญ่เหนือชนชาติใดในโลก และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนั้นจะเป็นเวทีที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครสามารถสู้กับชาวเยอรมันได้แน่นอน
.
Race เล่าถึงเรื่องราวนักกรีฑาผิวดำ ตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อ เจสซี่ โอเว่นส์ ที่สามารถล้มคำอวดอ้างนั้นของฮิตเลอร์ได้อย่างราบคาบ โดยชนะเลิศคว้าเหรียญทองไปได้ถึง 4 รายการ นับเป็นการคว้าชัยต่อหน้าฮิตเลอร์ ผู้มั่นใจว่า ชาติตัวเองนั้น สูงส่งกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นและสร้างความอับอายให้กับผู้นำนาซีเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้คือ 12 Years a Slave สำหรับออสการ์ปี 2017 เชียวนะ
.
หากมองว่าในชีวิตคนหนึ่งคนมีเรื่องสำคัญอะไรบ้าง ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องครอบครัว ความรัก เพื่อน รวมไปถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ Race ก็ตอบโจทย์หนังที่เล่าเรื่องของคนๆ หนึ่งได้ครบถ้วนในทุกเรื่องที่เราควรจะรู้ แถมหนังเล่าเรื่องได้ในระดับที่ไม่เครียดหรือน่าเบื่อจนเกินไป ส่วนตัวก่อนไปดูแอบกลัวว่าหนังจะเครียดเพราะเห็นมีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องแต่ปรากฏว่ามันกลับสนุก ดำเนินเรื่องด้วยความเรียบง่าย เพิ่มเติมความมันส์และลุ้นระทึกไปกับฉากการแข่งขันเหมือนกับไปนั่งเชียร์ชิดติดขอบสนามกันเลยทีเดียว ถือว่าไม่หนักมือมาก ในขณะที่ยังจัดว่าบันเทิงได้อยู่
.
ชื่นชมตัวนักแสดงหลักอย่าง สเตฟาน เจมส์ ที่รับบท เจสซี่ โอเว่นส์ นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นนักแสดงก็จะคิดว่าเอานักกีฬาตัวจริงฝีเท้าจริงมาแสดง เพราะทุก movement สมจริงเหมือนนักกรีฑามาก ทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นท่าวิ่ง การกระโดด จังหวะออกตัว เนียนตาดีทีเดียว สืบไปสืบมาได้ความว่าเขาได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ เจสซี่ โอเว่นส์ โดยการขอไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของโอเว่นส์เป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งครอบครัวโอเว่นส์รับเขาเป็นลูกบุญธรรม นอกจากนี้สเตฟาน เจมส์ ยังลงทุนฝึกซ้อมกรีฑา โดยโค้ชทีมชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายและท่าทางให้เหมือนกับนักกีฬาทีมชาติให้มากที่สุดอีกด้วย ถือว่าผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่า
.
ในยุคที่คนดำถูกกดขี่ นิโกร คือคำเหยีดผิว เยอรมันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว สงครามอาจจะไม่ใช่หนทางในการเอาชนะที่ฉลาดเท่าใดนัก การหยิบยกเอาเหตุการณ์ในอดีตที่แสดงความกล้าหาญและสามารถเอาชนะทุกอคติมานำเสนอถือเป็นเครื่องเตือนใจคนในปัจจุบันได้ดี ในที่ยุคบ้านเมืองถูกครอบงำจากกลุ่มเผด็จการ หากกลุ่มประชาชนที่เห็นต่างใช้กำลังเข้าสู้เรื่องก็จะยิ่งบานปลายและไม่สิ้นสุด การใช้ความนิ่งสงบ สยบเคลื่อนไหว ใช้ใจ อย่าใช้กำลังตัดสินดูเป็นหนทางที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากที่สุด กีฬา จึงเปรียบเสมือนปืนที่ใช้ในการสู้ หากเพียงแต่กีฬาเป็นปืนที่ไม่มีเสียง ไม่มีการบาดเจ็บล้มตายหลังจากยิง กีฬาเป็นเพียงการแข่งขันที่วัดกันด้วยใจหาใช่เชื้อชาติหรือสีผิว แพ้คือแพ้ ชนะคือชนะ ผลออกมาก็ต้องยอมรับ ต้องเคารพในน้ำใจนักกีฬาก็เท่านั้น
.
กีฬากับการเมืองใครว่าไม่เกี่ยวกัน ? มันเกี่ยวกันมากโดยไม่สามารถแยกออกได้  กีฬาจะก้าวหน้าต้องอาศัยเงินจากภาครัฐ สังเกตง่ายๆ ในประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมีนักกีฬาเก่งๆ หรือมีความเชียวชาญในการกีฬาด้านนั้นๆ สูง ซึ่งการเมือง คือ วิธีการและกระบวนการ ที่จะได้มาและสนับสนุนรักษากิจกรรมที่ทำในนามสาธารณะ หรือกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อส่วนรวม แม้คำนี้มักจะถูกใช้กับ รัฐบาล แต่กิจกรรมที่มีลักษณะของการเมืองก็เป็นที่สังเกตได้ทั่วไปในทุกกลุ่มคนที่ปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งรวมไปถึงใน บริษัท แวดวงวิชาการ และใน ศาสนา รวมไปถึงกีฬาด้วย เพราะฉะนั้นในเรื่องของกีฬาจึงเป็นสิ่งที่เราควรจะต้องรับรู้หรือศึกษาไว้บ้างไม่มากก็น้อย เพื่อดูแนวโน้มหรือท่าทีของเกมการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ Race ก็ยังแฝงการเมืองในกีฬาได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย
.
โดยรวมเป็นหนังที่ดูได้ง่าย องค์ประกอบก็ดูสมจริงเก็บรายละเอียดได้ดี ซ้ำยังมีฉากกุ๊กกิ๊กพ่อแง่อนสอดแทรกให้อมยิ้มตามอีกด้วย Race ผลงานกำกับของ สตีเฟ่น ฮอพกินส์ นำความประทับใจในชีวิตของวีรบุรุษคนนี้ มาไว้บนจอภาพยนตร์ รวมถึงการจำลองสนามแข่งกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงเบอร์ลินในปี 1936 ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นการรังสรรค์ประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่อย่างน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด 21 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

https://www.facebook.com/Universalreviews/posts/1701619150122965:0