จากที่ ผมบอกว่าจะกลับมา รีวิว Royal Enfield แบบเต็มๆ ฉบับ ขี่จริง ใช้จริง ดีกว่าดี ไม่ดีก็ว่าไม่ดี ตามสไตล์ อวยไส้แตก แหกไส้ฉีก
อีก 4 - 5 วัน ด้วยติดธุระ ยังไม่แล้วเสร็จ จึงล่าช้า ออกไป ขออภัยด้วยครับ ตามกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/35009824
เริ่ม กันได้แล้วครับ อย่าเสียเวลา กัน เพราะ บทความนี้ มี 3 ตอน ค่องข้างจะยาวนะครับ รูปก็มีมากพอควร
Ready Go !
รีวิว Royal Enfield classic 500 cc.
ตอนที่ 1 สัมผัส แรกที่ได้ไปชมรถ ในวันงาน Motor Expo 2015 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2558 ดูงานสีแล้วก็ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร สีเป็น คลื่นๆ
งานประกอบ ก็ไม่เนียน สายไฟก็ดูยุ่งๆ แต่ไม่เป็นไร เราชอบที่รูปทรงรถ อย่างอื่นค่อยว่ากัน เป็นการลงไป บางกอก ใน รอบ 3 ปี ของผม เพื่อไปดู รถคันนี้โดยเฉพาะตัดสินใจจองรถทั้งๆที่ยังไม่เห็นรถตัว จริงแม้แต่ครั้งเดียว วัดดวงเอา ก่อนงานจะเริ่มสะอีก 1 วัน จองรถไปคืนวันที่ 30 พย 58 5ทุ่ม
งานเริ่มวันแรก 1 ธค 58 พอไปชมในงาน ก็ งั้นๆ งานประกอบ ตามอินเดียสไตล์ทำใจไว้แล้ว เพราะปัจจุบัน ผมก็ใช้รถ อินเดียอยู่แล้ว 2-3 คัน LML 150-200 ครับ ถึงเข้าใจอินเดียสไตล์ เพราะว่า Royal Enfield เป็นงานทำมือประมาณ 80% แม้แต่ลายถังก็ยังใช้งานเขียนมือ การที่รถจะเนียนละเอียด ก็ต้องตามอารมณ์ ช่างประกอบละครับ แต่ละคันก็แตกต่างกัน เพราะมันคืองานศิลปะ
และยิ่งชื่อเสียงด้าน ความ ถึก ทน อึด คนอินเดียใช้ เดินทางไป ภูเขาหิมาลัยเป็นว่าเล่น เส้นทางก็โหดโคตรๆ คงวารันตีเรื่องความแข็งแรงของรถได้อย่างดียิ่ง จึงตัดสินใจในการจองรถได้ไม่ยาก (ลองค้นหาข้อมูล เรื่อง บันทึกนักเดินทาง และเส้นทางไปภูเขาหิมาลัย ดูนะครับ ว่าเส้นทางโหดโคตรๆ Royal Enfield ยังเป็น พาหนะที่คนนิยมเลือกใช้ในการเดินทางนี้ บ่อยๆ )
การมาถึงของ Royal Enfield ที่ผิงดาวเขาใหญ่ที่รอคอยมานานถึง 4 เดือน กับ 6 วัน ตรงกับวันที่ 6 เมษายน 2559 มาพร้อมน้ำตา กับ วันที่ไม่น่าจดจำ ทำไมเพราะอะไร ค่อยอ่านในบทสุดท้ายครับกลับมาเข้าเรื่องรีวิวกันต่อ สัมผัสแรกที่เจอกัน ผมเดินดูสำรวจ ตามจุดเดิมที่เคยดูในงาน Motor Expo 2015 ก็เริ่มขึ้น ทุกจุด ได้รับการแก้ไขใหม่หมด กลายเป็นคนละคันกับในวันงาน Motor Expo 2015 สรุปคือ งานเนียนขึ้นมาก แต่วัสดุ ที่ใช้ประกอบรถก็ยังเหมือนเดิม บางชิ้นก็เป็นอุปกรณ์ที่โคตรธรรมดา เช่น ตัว น็อตรีเวท ในการประกอบอุปกรณ์ รถ ไปดูกันว่า ตัวรถมีอะไรมาให้บ้าง เริ่มกันที่ อุปกรณ์ ในการซ่อมบำรุงรถ ปะแจ รถมีเหมือนทั่วไป แต่แปลกตรงที่ให้ เหล็กงัด ยางรถมาด้วยพึงเคยเห็น
เหล็กสีทองเงาๆ นั้นละครับ เหล็กงัดยางรถ
ทำให้ได้รับรู้ว่า รถคันนี้เราสามารถเซอร์วิส ได้เองทั้งคัน ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ มันเป็นรถที่ดูง่ายๆ มาก ทั้งคันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ลืมบอกไปอีกเรื่อง ภายในรถคันนี้ จะมีรูกุญแจ ให้ไขทั้งคันคือ 6 จุด ใช้กุญแจรถเพียงดอกเดียวเท่านั้น ในการไข
รูที่ 1 คือไว้start เครื่องยนต์
รูที่2 ไว้ ล็อคคอ รถกันขโมย
รูที่3 ไว้เปิดช่องกรองอากาศ
รูที่4 ไว้เปิดช่องเก็บของ
รูที่5 ไว้เปิดช่องไฟ และเก็บเครื่องมือรถ
รูที่6 ไว้เปิดช่องเก็บ แบตเตอรี่
ยางติดรถมาให้ยางอย่างดีครับ คือ ยี่ห้อ AVON ครับ แบบเดียวกับ HD
เรื่องเทคนิคเครื่องผมคงไม่ได้ลงไว้นะครับไปหาใน google กันเอง
http://royalenfield.com/motorcycles/classic-chrome#!technical-specification
ตอนที่ 2 การทดลองขับขี่ ผมไม่ได้เป็นคนเดียวที่ลองขับขี่แล้วมานั่งรีวิวให้ฟังกันนะครับ เพราะ Royal Enfield เป็นรถที่โดนสบประมาทไว้มากอยู่พอสมควรว่า เกิดที่ อังกฤษ แต่มาโตที่อินเดีย แล้วย้ายมาอยู่เมืองไทย ผมได้เชิญผู้สันทัดหลายท่านในการช่วยลองขับขี่ และดูเรื่องงานประกอบความเรียบร้อยของรถ ตามรูปที่ลงไว้นะครับ แต่ละท่านก็มาจากหลายที่ พี่โต้งหัวหน้ากลุ่ม ล็อกเล็กๆ กลุ่มรังสิต (Rock Lek Lek Riders ) เพื่อนๆ จากกลุ่ม HDPC และช่างเครื่องบิน แอร์เอเชีย น้าโมท Pinky srich ผู้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ ปีละกว่า 50,000 กิโลเมตรต่อปี
มาฟังท่านแรก พี่โต้งแห่ง ร็อคเล็กๆ รังสิต (Rock Lek Lek Riders )
" ผมไม่ประทับใจเครื่องยนต์เลย ทำให้รถดูกระป๋อง เกียร์แรงเป็นบางเกียร์เท่านั้น ท่านั่งขี่ เดินทางไกลเมื่อยแน่นอน ลักษณะท่านั่งขี่ แฮนด์หน้าต่ำ เบาะนั่งสูง ทำให้ท่านั่งต้องก้มตัวมาข้างหน้า หลังตรง ทำให้เมื่อย"
มาฟังกลุ่ม HDPC กัน
ท่านแรก รถดี หักปากกา เซียนได้เลย งานประกอบสวย สายไฟเดินเรียบร้อย ไม่เหมือนที่ได้รับฟังจากปากคนอื่นมาเลย คนละเรื่อง กับที่ได้ยินมา
ท่านที่2 เครื่องยนต์พอใช้ได้ แต่ยังไม่แรงเท่าไร อาจเพราะผมขี่ตัว พันอัพมาตลอด พอมาเจอเครื่อง 500 cc ก็เลยคิดว่าไม่พอมือครับ
ท่านที่ 3 ผมว่าการขับขี่ดู เป็นแบบ ไม่หวีอหวา เท่าไร คือมันเรียบๆ แนวอังกฤษ นะครับ (คงว่าเหมือนค่ายยกทรง)
ท่านที่4 ผมว่าก็สมราคานะ จะหารถแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ที่ถอดแบบ รถโบราณมา 100%
มาฟังช่างเทคนิกเครื่องบิน แอร์เอเชีย กันบ้าง น้าโมท Pinky srich
" ผมต้องการที่จะขี่ให้มากกว่านี้อีกสักนิด สัก 200-400 กิโล เพราะการทดลองขี่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ ไม่สามารถบอกอะไรได้มาก แต่คือ เป็นรถที่ดี ออกทริปได้ ซ่อมบำรุงไม่น่ายาก สามารถทำได้เอง ไม่ต้องเข้าศูนย์ "
สรุปจากเพื่อนๆ ที่มาทดลองขับขี่
ข้อดีคือ รถสวยมาก งานดี น่าซื้อเก็บสะสม ใช้เป็นรถคันแรกได้เลย กับราคา 189,800 บาท ในรุ่นราคาระดับนี้ และชอบทรงรถ แนว classic ซื้อได้เลย การซ่อมบำรุงทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ และรถที่ไทยคือรถส่งออก " สเปค แคลิฟอเนีย" รายละเอียดจะดีกว่ารถที่ขายภายในประเทศ ( ที่อินเดีย คันละ ประมาณ 8หมื่นบาท - 1 แสนบาท เข้าไทยโดนภาษี หนักมาก)
ข้อเสีย การขับขี่สะท้านมือตลอดการขี่ เครื่องยนต์ ไม่แรง วัสดุบางชิ้นดูธรรมดาเกินไป คือคุณภาพต่ำ งานประกอบบางจุดเล็กๆ ยังทำได้ไม่ดี กระจกส่องหลัง ไม่สามารถใช้งานได้จริง คือมันสั่นมากๆ จนมองอะไรไม่เห็นเลย จนกว่ารอบเครื่องยนต์จะหยุดสั่น และเป็นรถที่ทรงสูง คนนั่งสูง170ซม แล้วปลายเท้าแตะพื้นได้พอดี แต่ไม่สามารถเหยียบพื้นได้เต็มเท้า ต้องไปเปลี่ยนเบาะนั่ง หรือ โช๊คใหม่ ของติดรถมา 13 นิ้ว
และต่อมาคนรีวิวคือผมเองครับ
มาที่เรื่องเครื่องยนต์ก่อน
ตัวผมขี่รถมาก็หลายคันทั้ง HD , Triumph T100, LML รถตลาดทั่วไป ก็มากอยู่สรุปแบบนี้นะครับ
ใครที่ไม่เคยขี่รถเครื่องใหญ่กว่า 400 cc คุณจะรู้สึกว่า Royal Enfield เป็นรถที่ออกตัวแรงพอควร และการบิด จาก 0-80 ใช้ระยะทางเพียงสั้นๆ เท่านั้น และเกียร์ต้นๆ ออกตัวดีมากๆ หลังจากนั้นก็จะนิ่มๆ ไปเรื่อยๆ แต่ใครเคยใช้ตัว พันอัพมาแล้ว รับรอง 100 คนไม่มีใครชอบ Royal Enfield แน่นอน กลายเป็นรถ ไม่มีแรงทันที ออกตัวเนิบๆ ช้า ไม่ทันใจ (ก็แน่อยู่แล้ว ขี่ตัวพัน แล้วมาขี่ตัว เล็ก ก็ไปไม่เป็นแน่นอน) คือ Royal Enfield เป็นรถ ขนาดกลางนะครับมันเลย อยู่กลางๆ ต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย
มาดูเรื่องการขับขี่ Royal Enfield เป็นรถที่ขี่นิ่งมาก แต่มีแรงสะท้านที่ข้อมือบ้าง แต่ไม่มากเท่าไร รถศูนย์ดีมากๆ เข้าโค้ง หรือ ทางตรง ขี่ ตกหลุม ก็ยังนิ่ง คือไว้ใจได้ เรื่องการขี่ทางไกล นิ่มมาก การขี่เร่งแซงทำได้ดังใจ บิดติดมือ แต่อย่าไปเทียบกับรถที่ cc สูงกว่านะครับ สรุป อัตราเร่งดีครับ ได้ดังใจ
มาดูเรื่องสะท้านมือกัน ว่ามันจะแค่ไหนกัน
ผมโทรหาเพื่อนที่เค้ามีรถ ที่ วัวตาย ควายล้ม เป็นอันดับต้นๆ เรื่องการขี่แล้วสะท้านมือ ให้เค้ามาลองขี่ Royal Enfield ว่ามันสะท้านมือมากแค่ไหน มาเปรียบเทียบกันแบบจะๆ กัน กับ
" ซีโร่ เอ็นจิเนียริ่ง Zero Engineering-Type5 "
และผมเองก็ลองสลับขี่กับรถของเค้าด้วยเหมือนกัน
เพื่อนผมเค้าบอกตรงๆ ให้เค้าขี่ Royal Enfield ออกทริป เค้ามีหลับครับ รถโคตรนิ่ม ขี่เพลินๆ สไตล์ผู้ดีอังกฤษ ไม่เห็นจะสะท้านมือตรงไหน แต่รถไม่แรงเท่านั้นเอง ก็พี่เล่นขี่เจ้าแห่งตำนานสะท้านภพมาแล้วนิครับ เจอ Royal Enfield ไปมันก็ขนมเด็กๆ ละครับ
หลังจากที่ผมก็ลองสลับรถขี่กัน กับ Zero บางช่วงของการขี่ไปเจอทางที่เป็นหลุม ทางขรุขระ เค้าขี่ Royal หนีผมไปเลย ให้ผมตามหลัง เพราะว่า มันไม่สามารถขี่ทำความเร็วได้เลย ขี่ได้แค่ 10-20กิโลเท่านั้น อยากตะโกนเรียกให้มาเปลี่ยนรถคืน แต่เหมือนเค้ารู้ แกล้งผมให้รู้รสชาติ ของสปริงหน้า หลังแข็ง ของจริงลืมเรื่องสะท้านมือของRoyal Enfieldไปได้เลยกลายเป็นเรื่องเด็กๆทันที ส่วนเรื่องสะท้านมือ ของ Royal Enfield ผมฟันธงให้ครับ ไม่เท่าไร มีบ้างแต่ไม่ได้มากมายเท่าไร ตามสไตล์ ลูกสูบแบบ บิ๊ก ซิงเกอร์ แถมไม่มียางรองแท่นเครื่องมาให้ด้วย พอๆ yamaha sr400 หรือมากกว่าแต่ก็นิดๆ ครับ
สรุปสำหรับผม
ข้อดี เป็นรถที่ เป็นรถเริ่มต้น ไว้ออกทริป ได้ครับ หรือจะเก็บไว้ใช้ยาวๆ ได้เลยถ้าเราพอใจในระดับนี้เครื่องยนต์ 500 cc รถสวยมาก ไม่มีตกยุคแน่นอน เพราะมันเป็นรถโบราณตั้งแต่กำเนินเมื่อ คศ.1901 ทรงเดิมเป๊ะๆ ตามรูป เป็นรถที่มีประวัติที่ยาวนานมากที่สุด ถ้านับการก่อตั้งก็เริ่มตั้งแต่ คศ. 1851 อายุรวม 165 ปีมาแล้ว ถ้าไม่ได้ อินเดียช่วยไว้ตอนบริษัท ล้ม เราคงไม่มีรถ ยี่ห้อนี้ไว้ขี่กันแน่นอน
ต้องขอบคุณอินเดียที่ช่วยรักษา และอนุรักษ์ สไตล์รถแบบเดิมๆ ให้โลกใบนี้ ที่สำคัญเราซ่อมบำรุงได้เอง สามารถนำรถ มาตีเป็น Custom หรือ Cafe ก็ได้ตามใจท่านๆ แต่แนะนำให้เลือก ตัว Bullet คือตัวถูกสุดมาทำจะดีกว่าเพราะเป็นเครื่องตัวเดียว กับ Classic แต่ประหยัดเงินไปได้ 10,000 บาท
ข้อเสีย ถ้าเทียบกับรถค่ายญี่ปุ่นแล้ว ถือว่า Royal Enfield ให้เทคโนโลยีมาน้อย มีแค่ ระบบหัวฉีดเท่านั้น การขับขี่ถ้าใครไม่ชินเรื่องการสะท้านมือ ก็คงไม่ชอบรถคันนี้แน่นอน คือรถคันนี้ตรงข้ามกับรถญี่ปุ่นหมดครับยกเว้นเรื่องการขับขี่ความนิ่ง Royal Enfield ทำได้ดี
[CR] รีวิว Royal Enfield classic 500 cc การมาถึงพร้อมน้ำตา และความไม่น่าจดจำ ฉบับเต็ม ขี่จริง ใช้จริง
อีก 4 - 5 วัน ด้วยติดธุระ ยังไม่แล้วเสร็จ จึงล่าช้า ออกไป ขออภัยด้วยครับ ตามกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/35009824
เริ่ม กันได้แล้วครับ อย่าเสียเวลา กัน เพราะ บทความนี้ มี 3 ตอน ค่องข้างจะยาวนะครับ รูปก็มีมากพอควร
Ready Go !
รีวิว Royal Enfield classic 500 cc.
ตอนที่ 1 สัมผัส แรกที่ได้ไปชมรถ ในวันงาน Motor Expo 2015 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2558 ดูงานสีแล้วก็ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร สีเป็น คลื่นๆ
งานประกอบ ก็ไม่เนียน สายไฟก็ดูยุ่งๆ แต่ไม่เป็นไร เราชอบที่รูปทรงรถ อย่างอื่นค่อยว่ากัน เป็นการลงไป บางกอก ใน รอบ 3 ปี ของผม เพื่อไปดู รถคันนี้โดยเฉพาะตัดสินใจจองรถทั้งๆที่ยังไม่เห็นรถตัว จริงแม้แต่ครั้งเดียว วัดดวงเอา ก่อนงานจะเริ่มสะอีก 1 วัน จองรถไปคืนวันที่ 30 พย 58 5ทุ่ม
งานเริ่มวันแรก 1 ธค 58 พอไปชมในงาน ก็ งั้นๆ งานประกอบ ตามอินเดียสไตล์ทำใจไว้แล้ว เพราะปัจจุบัน ผมก็ใช้รถ อินเดียอยู่แล้ว 2-3 คัน LML 150-200 ครับ ถึงเข้าใจอินเดียสไตล์ เพราะว่า Royal Enfield เป็นงานทำมือประมาณ 80% แม้แต่ลายถังก็ยังใช้งานเขียนมือ การที่รถจะเนียนละเอียด ก็ต้องตามอารมณ์ ช่างประกอบละครับ แต่ละคันก็แตกต่างกัน เพราะมันคืองานศิลปะ
และยิ่งชื่อเสียงด้าน ความ ถึก ทน อึด คนอินเดียใช้ เดินทางไป ภูเขาหิมาลัยเป็นว่าเล่น เส้นทางก็โหดโคตรๆ คงวารันตีเรื่องความแข็งแรงของรถได้อย่างดียิ่ง จึงตัดสินใจในการจองรถได้ไม่ยาก (ลองค้นหาข้อมูล เรื่อง บันทึกนักเดินทาง และเส้นทางไปภูเขาหิมาลัย ดูนะครับ ว่าเส้นทางโหดโคตรๆ Royal Enfield ยังเป็น พาหนะที่คนนิยมเลือกใช้ในการเดินทางนี้ บ่อยๆ )
การมาถึงของ Royal Enfield ที่ผิงดาวเขาใหญ่ที่รอคอยมานานถึง 4 เดือน กับ 6 วัน ตรงกับวันที่ 6 เมษายน 2559 มาพร้อมน้ำตา กับ วันที่ไม่น่าจดจำ ทำไมเพราะอะไร ค่อยอ่านในบทสุดท้ายครับกลับมาเข้าเรื่องรีวิวกันต่อ สัมผัสแรกที่เจอกัน ผมเดินดูสำรวจ ตามจุดเดิมที่เคยดูในงาน Motor Expo 2015 ก็เริ่มขึ้น ทุกจุด ได้รับการแก้ไขใหม่หมด กลายเป็นคนละคันกับในวันงาน Motor Expo 2015 สรุปคือ งานเนียนขึ้นมาก แต่วัสดุ ที่ใช้ประกอบรถก็ยังเหมือนเดิม บางชิ้นก็เป็นอุปกรณ์ที่โคตรธรรมดา เช่น ตัว น็อตรีเวท ในการประกอบอุปกรณ์ รถ ไปดูกันว่า ตัวรถมีอะไรมาให้บ้าง เริ่มกันที่ อุปกรณ์ ในการซ่อมบำรุงรถ ปะแจ รถมีเหมือนทั่วไป แต่แปลกตรงที่ให้ เหล็กงัด ยางรถมาด้วยพึงเคยเห็น
เหล็กสีทองเงาๆ นั้นละครับ เหล็กงัดยางรถ
ทำให้ได้รับรู้ว่า รถคันนี้เราสามารถเซอร์วิส ได้เองทั้งคัน ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ มันเป็นรถที่ดูง่ายๆ มาก ทั้งคันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ลืมบอกไปอีกเรื่อง ภายในรถคันนี้ จะมีรูกุญแจ ให้ไขทั้งคันคือ 6 จุด ใช้กุญแจรถเพียงดอกเดียวเท่านั้น ในการไข
รูที่ 1 คือไว้start เครื่องยนต์
รูที่2 ไว้ ล็อคคอ รถกันขโมย
รูที่3 ไว้เปิดช่องกรองอากาศ
รูที่4 ไว้เปิดช่องเก็บของ
รูที่5 ไว้เปิดช่องไฟ และเก็บเครื่องมือรถ
รูที่6 ไว้เปิดช่องเก็บ แบตเตอรี่
ยางติดรถมาให้ยางอย่างดีครับ คือ ยี่ห้อ AVON ครับ แบบเดียวกับ HD
เรื่องเทคนิคเครื่องผมคงไม่ได้ลงไว้นะครับไปหาใน google กันเอง
http://royalenfield.com/motorcycles/classic-chrome#!technical-specification
ตอนที่ 2 การทดลองขับขี่ ผมไม่ได้เป็นคนเดียวที่ลองขับขี่แล้วมานั่งรีวิวให้ฟังกันนะครับ เพราะ Royal Enfield เป็นรถที่โดนสบประมาทไว้มากอยู่พอสมควรว่า เกิดที่ อังกฤษ แต่มาโตที่อินเดีย แล้วย้ายมาอยู่เมืองไทย ผมได้เชิญผู้สันทัดหลายท่านในการช่วยลองขับขี่ และดูเรื่องงานประกอบความเรียบร้อยของรถ ตามรูปที่ลงไว้นะครับ แต่ละท่านก็มาจากหลายที่ พี่โต้งหัวหน้ากลุ่ม ล็อกเล็กๆ กลุ่มรังสิต (Rock Lek Lek Riders ) เพื่อนๆ จากกลุ่ม HDPC และช่างเครื่องบิน แอร์เอเชีย น้าโมท Pinky srich ผู้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ ปีละกว่า 50,000 กิโลเมตรต่อปี
มาฟังท่านแรก พี่โต้งแห่ง ร็อคเล็กๆ รังสิต (Rock Lek Lek Riders )
" ผมไม่ประทับใจเครื่องยนต์เลย ทำให้รถดูกระป๋อง เกียร์แรงเป็นบางเกียร์เท่านั้น ท่านั่งขี่ เดินทางไกลเมื่อยแน่นอน ลักษณะท่านั่งขี่ แฮนด์หน้าต่ำ เบาะนั่งสูง ทำให้ท่านั่งต้องก้มตัวมาข้างหน้า หลังตรง ทำให้เมื่อย"
มาฟังกลุ่ม HDPC กัน
ท่านแรก รถดี หักปากกา เซียนได้เลย งานประกอบสวย สายไฟเดินเรียบร้อย ไม่เหมือนที่ได้รับฟังจากปากคนอื่นมาเลย คนละเรื่อง กับที่ได้ยินมา
ท่านที่2 เครื่องยนต์พอใช้ได้ แต่ยังไม่แรงเท่าไร อาจเพราะผมขี่ตัว พันอัพมาตลอด พอมาเจอเครื่อง 500 cc ก็เลยคิดว่าไม่พอมือครับ
ท่านที่ 3 ผมว่าการขับขี่ดู เป็นแบบ ไม่หวีอหวา เท่าไร คือมันเรียบๆ แนวอังกฤษ นะครับ (คงว่าเหมือนค่ายยกทรง)
ท่านที่4 ผมว่าก็สมราคานะ จะหารถแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ที่ถอดแบบ รถโบราณมา 100%
มาฟังช่างเทคนิกเครื่องบิน แอร์เอเชีย กันบ้าง น้าโมท Pinky srich
" ผมต้องการที่จะขี่ให้มากกว่านี้อีกสักนิด สัก 200-400 กิโล เพราะการทดลองขี่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ ไม่สามารถบอกอะไรได้มาก แต่คือ เป็นรถที่ดี ออกทริปได้ ซ่อมบำรุงไม่น่ายาก สามารถทำได้เอง ไม่ต้องเข้าศูนย์ "
สรุปจากเพื่อนๆ ที่มาทดลองขับขี่
ข้อดีคือ รถสวยมาก งานดี น่าซื้อเก็บสะสม ใช้เป็นรถคันแรกได้เลย กับราคา 189,800 บาท ในรุ่นราคาระดับนี้ และชอบทรงรถ แนว classic ซื้อได้เลย การซ่อมบำรุงทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ และรถที่ไทยคือรถส่งออก " สเปค แคลิฟอเนีย" รายละเอียดจะดีกว่ารถที่ขายภายในประเทศ ( ที่อินเดีย คันละ ประมาณ 8หมื่นบาท - 1 แสนบาท เข้าไทยโดนภาษี หนักมาก)
ข้อเสีย การขับขี่สะท้านมือตลอดการขี่ เครื่องยนต์ ไม่แรง วัสดุบางชิ้นดูธรรมดาเกินไป คือคุณภาพต่ำ งานประกอบบางจุดเล็กๆ ยังทำได้ไม่ดี กระจกส่องหลัง ไม่สามารถใช้งานได้จริง คือมันสั่นมากๆ จนมองอะไรไม่เห็นเลย จนกว่ารอบเครื่องยนต์จะหยุดสั่น และเป็นรถที่ทรงสูง คนนั่งสูง170ซม แล้วปลายเท้าแตะพื้นได้พอดี แต่ไม่สามารถเหยียบพื้นได้เต็มเท้า ต้องไปเปลี่ยนเบาะนั่ง หรือ โช๊คใหม่ ของติดรถมา 13 นิ้ว
และต่อมาคนรีวิวคือผมเองครับ
มาที่เรื่องเครื่องยนต์ก่อน
ตัวผมขี่รถมาก็หลายคันทั้ง HD , Triumph T100, LML รถตลาดทั่วไป ก็มากอยู่สรุปแบบนี้นะครับ
ใครที่ไม่เคยขี่รถเครื่องใหญ่กว่า 400 cc คุณจะรู้สึกว่า Royal Enfield เป็นรถที่ออกตัวแรงพอควร และการบิด จาก 0-80 ใช้ระยะทางเพียงสั้นๆ เท่านั้น และเกียร์ต้นๆ ออกตัวดีมากๆ หลังจากนั้นก็จะนิ่มๆ ไปเรื่อยๆ แต่ใครเคยใช้ตัว พันอัพมาแล้ว รับรอง 100 คนไม่มีใครชอบ Royal Enfield แน่นอน กลายเป็นรถ ไม่มีแรงทันที ออกตัวเนิบๆ ช้า ไม่ทันใจ (ก็แน่อยู่แล้ว ขี่ตัวพัน แล้วมาขี่ตัว เล็ก ก็ไปไม่เป็นแน่นอน) คือ Royal Enfield เป็นรถ ขนาดกลางนะครับมันเลย อยู่กลางๆ ต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย
มาดูเรื่องการขับขี่ Royal Enfield เป็นรถที่ขี่นิ่งมาก แต่มีแรงสะท้านที่ข้อมือบ้าง แต่ไม่มากเท่าไร รถศูนย์ดีมากๆ เข้าโค้ง หรือ ทางตรง ขี่ ตกหลุม ก็ยังนิ่ง คือไว้ใจได้ เรื่องการขี่ทางไกล นิ่มมาก การขี่เร่งแซงทำได้ดังใจ บิดติดมือ แต่อย่าไปเทียบกับรถที่ cc สูงกว่านะครับ สรุป อัตราเร่งดีครับ ได้ดังใจ
มาดูเรื่องสะท้านมือกัน ว่ามันจะแค่ไหนกัน
ผมโทรหาเพื่อนที่เค้ามีรถ ที่ วัวตาย ควายล้ม เป็นอันดับต้นๆ เรื่องการขี่แล้วสะท้านมือ ให้เค้ามาลองขี่ Royal Enfield ว่ามันสะท้านมือมากแค่ไหน มาเปรียบเทียบกันแบบจะๆ กัน กับ
" ซีโร่ เอ็นจิเนียริ่ง Zero Engineering-Type5 "
และผมเองก็ลองสลับขี่กับรถของเค้าด้วยเหมือนกัน
เพื่อนผมเค้าบอกตรงๆ ให้เค้าขี่ Royal Enfield ออกทริป เค้ามีหลับครับ รถโคตรนิ่ม ขี่เพลินๆ สไตล์ผู้ดีอังกฤษ ไม่เห็นจะสะท้านมือตรงไหน แต่รถไม่แรงเท่านั้นเอง ก็พี่เล่นขี่เจ้าแห่งตำนานสะท้านภพมาแล้วนิครับ เจอ Royal Enfield ไปมันก็ขนมเด็กๆ ละครับ
หลังจากที่ผมก็ลองสลับรถขี่กัน กับ Zero บางช่วงของการขี่ไปเจอทางที่เป็นหลุม ทางขรุขระ เค้าขี่ Royal หนีผมไปเลย ให้ผมตามหลัง เพราะว่า มันไม่สามารถขี่ทำความเร็วได้เลย ขี่ได้แค่ 10-20กิโลเท่านั้น อยากตะโกนเรียกให้มาเปลี่ยนรถคืน แต่เหมือนเค้ารู้ แกล้งผมให้รู้รสชาติ ของสปริงหน้า หลังแข็ง ของจริงลืมเรื่องสะท้านมือของRoyal Enfieldไปได้เลยกลายเป็นเรื่องเด็กๆทันที ส่วนเรื่องสะท้านมือ ของ Royal Enfield ผมฟันธงให้ครับ ไม่เท่าไร มีบ้างแต่ไม่ได้มากมายเท่าไร ตามสไตล์ ลูกสูบแบบ บิ๊ก ซิงเกอร์ แถมไม่มียางรองแท่นเครื่องมาให้ด้วย พอๆ yamaha sr400 หรือมากกว่าแต่ก็นิดๆ ครับ
สรุปสำหรับผม
ข้อดี เป็นรถที่ เป็นรถเริ่มต้น ไว้ออกทริป ได้ครับ หรือจะเก็บไว้ใช้ยาวๆ ได้เลยถ้าเราพอใจในระดับนี้เครื่องยนต์ 500 cc รถสวยมาก ไม่มีตกยุคแน่นอน เพราะมันเป็นรถโบราณตั้งแต่กำเนินเมื่อ คศ.1901 ทรงเดิมเป๊ะๆ ตามรูป เป็นรถที่มีประวัติที่ยาวนานมากที่สุด ถ้านับการก่อตั้งก็เริ่มตั้งแต่ คศ. 1851 อายุรวม 165 ปีมาแล้ว ถ้าไม่ได้ อินเดียช่วยไว้ตอนบริษัท ล้ม เราคงไม่มีรถ ยี่ห้อนี้ไว้ขี่กันแน่นอน
ต้องขอบคุณอินเดียที่ช่วยรักษา และอนุรักษ์ สไตล์รถแบบเดิมๆ ให้โลกใบนี้ ที่สำคัญเราซ่อมบำรุงได้เอง สามารถนำรถ มาตีเป็น Custom หรือ Cafe ก็ได้ตามใจท่านๆ แต่แนะนำให้เลือก ตัว Bullet คือตัวถูกสุดมาทำจะดีกว่าเพราะเป็นเครื่องตัวเดียว กับ Classic แต่ประหยัดเงินไปได้ 10,000 บาท
ข้อเสีย ถ้าเทียบกับรถค่ายญี่ปุ่นแล้ว ถือว่า Royal Enfield ให้เทคโนโลยีมาน้อย มีแค่ ระบบหัวฉีดเท่านั้น การขับขี่ถ้าใครไม่ชินเรื่องการสะท้านมือ ก็คงไม่ชอบรถคันนี้แน่นอน คือรถคันนี้ตรงข้ามกับรถญี่ปุ่นหมดครับยกเว้นเรื่องการขับขี่ความนิ่ง Royal Enfield ทำได้ดี