[SR] ลองแล้ว จึงอยากมาเล่า รีวิวแบบดับเบิล Royal Enfield Interceptor 650 และ Meteor 350



    วันนี้ผมได้มีเทสไรด์ Royal Enfield Interceptor 650 และ Meteor 350 สองคันสองสไตล์ จึงอยากมาเล่าสู่กันฟังครับ ซึ่งก็เช่นเคย ผมไม่ได้ขับไปไหนไกล ทางศูนย์อนุญาตให้วนอยู่ในลานเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอที่จะได้ซึมซับความรู้สึกจากรถทั้งสองรุ่นอย่างเต็มที่



    มาเริ่มกันที่รถคันแรก Interceptor 650 เครื่องสกัดกั้นขนาดหกครึ่ง (แปลซะตรงตัวเลยผม) 

    First Impression แรกคือ เสียงนุ่มมมมมมมมมม อาจจะไม่ได้นุ่มลื่นเท่า 4 สูบ แต่ก็นุ่มมมมมมมมมมมมมมมม เครื่องสองสูบเรียงระบายความร้อนด้วยอากาศ + Oil Cooler ซุ่มเสียงนุ่มทุ้มกำลังดี มาหล่อ ๆ สมาร์ท ๆ สไตล์หนุ่มลอนดอน พูดง่าย ๆ คือ หล่อเรียบร้อย แต่ไม่ติ๋ม



    เรือนไมล์กลมคู่ เป็นสไตล์ที่โดนใจผมมาก รถแนวนี้บางรุ่นทรงสวย แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ เหตุผลเดียวคือมันให้เรือนไมล์เดี่ยวครับ สมัยนี้ไมล์เดี่ยวสามารถบอกอะไรต่ออะไรได้อย่างอย่างครบในเรือนไมล์เดียวก็จริง แต่ในสายตาผม ไมล์เดี่ยวมันดูสปอร์ตไปหน่อย รถคลาสสิกต้องไมล์คู่
 




    ประกับซ้าย-ขวา ดูไม่มีอะไรมากตามสไตล์รถคลาสสิก แต่เห็นแบบนี้ ลายแฮนด์คมเกาะมือใช้ได้เลย เสียงแตรไม่แหลมมากแถมก้องดีด้วย



     เบาะหนานุ่ม ท่านั่งกำลังดี แต่ผมแอบเหวอ ขับสปอร์ตต้องเก็บคองอเข่าตลอดเวลา พอมาเจอแฮนด์ระดับกลางเบาะนั่งหลังตรง มีเหวอเล็ก ๆ แต่ก็ปรับตัวได้ไม่ยาก พอปรับตัวได้ ท่านั่งมันสบายกว่าสปอร์ตเยอะ เวลาเข้าโค้งในความเร็วต่ำที่เราต้องหันคอรถเยอะ ๆ ก็ทำได้ไหลลื่นดี ไม่ติดขัด ผมสูง 176 วางเท้าได้เต็มเท้า



    รถค่อนข้างหนักก็จริง ตามสไตล์รถคลาสสิกเหล็กทั้งคัน ยังไงก็ต้องหนัก แต่เมื่อล้อหมุน มันกลับเบาและควบคุมง่ายกว่าที่คิดเยอะ และสำหรับขาตั้งคู่ แค่ประคองรถดี ๆ แล้วใช้น้ำหนักของตัวเราทั้งตัวกดหรือขึ้นไปยืนด้วยขาข้างเดียวบนที่เหยียบ ส่วนเวลาเอาลง แค่ดันไปข้างหน้าแรง ๆ แล้วประคองดี ๆ เท่านั้น ไม่ยากครับ



    อีกหนึ่งจุดประทับใจ โช๊คติดรถเป็นโช๊คแก๊ส ผมหนักราว ๆ 96 ถึง 97 นั่งลงไป หนึบ ไม่ย้วย และสามารถปรับระดับได้ด้วย เจ๋งมาก



    ฟิลลิ่งในการขับขี่ สำหรับตัวผมที่ขับสปอร์ตไซส์ 150 มาตลอด บอกได้เลยครับ 650 ตัวนี้ ขับง่าย ท่านั่งเป็นมิตร มีพละกำลังเหลือเฟือสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน ออกทริปทางไกลก็เหมาะ นั่งสบายทั้งคนขับและคนซ้อน ไม่มีระบบอะไรหวือหวา แต่ดูโดดเด่นด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง และที่สำคัญ มันแทบไม่มีอาการสั่นเลยครับ คิดว่าน่าจะสั่นน้อย ๆ แหละ แต่ด้วยเบาะที่หนานุ่มแบบนั้น ความสั่นสะเทือนเลยแทบไม่มีเลย เสียดายไม่ได้ออกถนนหลัก เลยไม่ได้ลองเข้าโค้งกับระบบเบรก แต่จากที่ได้ลอง มันเอาอยู่ครับ

    และนี่แหละครับคือทั้งหมดสำหรับเจ้าเครื่องสกัดกั้นขนาดหกครึ่ง (ก็ยังจะเล่นเนาะ) Interceptor 650 



    คันที่ 2 Meteor 350 เจ้าอุกกาบาตขนาดสามครึ่ง (แปลตรงตัวเกิ้นนนนนนน)

    First Impression แรก ตรงข้ามกับเจ้าตัวเมื่อกี้ เจ้านี่เสียงตุ้บ ๆ ๆ ๆ ทุ้มมาลูกเลย ตามสไตล์รถสูบเดียวระบายความร้อนด้วยอากาศ และด้วยความที่เครื่องลูกนี้ช่วงชักยาว แค่เกียร์ 1 หนึ่ง รถพุ่งได้แบบยาว ๆ ตลอดการทดสอบ ผมใช้แค่เกียร์ 1 เกียร์เดียวเลยครับ เทียบกับ 650 เมื่อกี้แล้ว เจ้านี่แอบเกรี้ยวกราดกว่า เมื่อกี้หนุ่มลอนดอนใช่ไหมครับ เจ้านี่ผมว่าหนุ่มชิคาโก้ เซอ ๆ กว่าหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์หล่อ ๆ คูล ๆ ซึ่งเจ้า 350 นี่มีอยู่ 3 รุ่น Fireball เป็นตัวสแตนดาร์ด คอท่อพ่นสีพาวเดอร์โค้ด Stellar แพงขึ้นมานิดหน่อย คอท่อเป็นสแตนเลส มีเบาะคนซ้อนกับโลโก้โลหะมาให้ และ Super Nova แพงสุด ต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้าและมีชีลหน้ามาให้



    เรือนไมล์คู่ แต่ใช้หลัก ๆ คือด้านซ้าย ด้านขวาเป็นเหมือนกับเนวิเกเตอร์รถ ซึ่งในยามปกติจะเป็นนาฬิกา เสียงดายไม่มีวัดรอบมาด้วย แต่กับรถทรงนี้ผมว่าไม่ต้องมีวัดรอบก็ได้มั้ง เพราะครุยเซอร์ไม่ได้เน้นซิ่งอะไรขนาดนั้น เน้นขับไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ มากกว่า





    ประกับซ้ายขวา ไม่มีอะไรมากก็จริง แต่ดีไซน์ปุ่มสวยใช้ได้ ในจุดที่เป็นไฟพาส ในคันนี้เป็นปุ่มกดดูทริป A - B และทริปรวม



    เบาะนั่งสไตล์ครุยเซอร์ เทียบกับเมื่อกี้แล้ว เจ้าตัวนี้เบาะฟิกตำแหน่งกว่า แต่ก็อยู่ในตำแหน่งที่สบายมาก และด้วยความที่เขาเป็นครุยเซอร์ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความสูงของเบาะเลย เข่างอด้วยซ้ำครับตอนวางเท้า



    บวกกับตำแหน่งแฮนด์สไตล์ครุยเซอร์ด้วยแล้ว ท่านั่งสบาาาาายยยยยยยยยยยย ชิลสุด ๆ จะหมอบเล็ก ๆ กางแขนหน่อย ๆ พอให้มีความกระชับในการขับเร็วก็ได้ หรือจะนั่งหลังตรงแขนตึงเอาความสบายเข้าว่า ก็ได้เหมือนกัน





    ที่วางเท้าซ้าย-ขวาสไตล์ครุยเซอร์ ขาเหยียดกำลังดีไม่ได้เหยียดไปข้างหน้ามากเกินไป คันเกียร์ด้านซ้ายมีสองแขน เข้าเกียร์ง่าาายยยยยยยย ง่ายแบบ ผมงงเองเลยครับ เกียร์ 1 ต้องกดหน้าลงก็จริง แต่กับเกียร์ที่เหลือไม่ต้องยัดเท้างัดขึ้น แค่กดหลังเท่านั้น ซึ่งวันนี้ผมใส่รองเท้าหัวเหล็กมาครับ เพราะงั้นคันเกียร์แบบนี้ เหมาะมาก



    ฟิลลิ่งในการขับขี่ ถ้า 650 ว่าสบายแล้ว คันนี้สบายกว่าครับ เครื่องสูบเดียวทำความเร็วได้ไม่มากก็จริง แต่ลำหักลำโค่นมันสูงมาก ท่านั่งเป็นมิตรบวกกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้การเข้าโค้งทำได้ง่ายมาก มากถึงมากที่สุด แต่ถึงแบบนั้นเวลาทำความเร็วตัวรถก็นิ่งมาก ตอนขากลับผมได้ขับคันนี้ออกถนนสั้น ๆ ครับ เลยได้ลองทำความเร็วนิดหน่อย ต้นมาไวมาาาาากกกกกกกกก มีอาการสั่นตามสไตล์รถสูบเดียวช่วงชักยาว แต่ไม่ได้สั่นเป็นเจ้าเข้าแบบตัว 500 เครื่องแบบนี้ผมว่าน่าลองกับทางขึ้นเขา เสียดายโช๊คไม่ใช่โช๊คแก๊ศ ปรับระดับไม่ได้ ตอนนั่งลงไปมียุบน้อย ๆ แต่ไม่ย้วย อีกอย่างที่ตัวนี้แอบเจ๋งกว่าคือ ล้อเขาไม่มียางใน ถ้าเจอตะปู ร้านปะยางทั่วไปช่วยท่านได้

    และนี่แหละครับคือทั้งหมดของวันนี้ มีสองคัน ดับเบิลคัน (ไม่ใช่ละ) คันนึงมาสไตล์หนุ่มมาดสุขุม หล่อนุ่มลึก อีกคันมาสไตล์หนุ่มเท่ คือเรียบร้อยแหละ แต่ก็มีความโก๋หน่อย ๆ ทีแรกผมก็งงครับ เห็นสื่อมวลสายรีวิวรถหลายท่านอวยสองตัวนี้หนักมาก ผมเลยอยากมาลองเอง และก็ได้บรรลุวลีที่ว่า "10 ปากว่า ไม่เท่า 1 ตาเห็น และ 10 ตาเห็น ไม่เท่า 1 มือคลำ" เอาซะตอนนี้เหมือนป้ายยาตัวเองอ่ะ ผมเขวอีกแล้วครับ เก็บตังค์ไปสู่ขอตัวไหนดีเรา 

    สุดท้าย ขอขอบคุณศูนย์รอยัลเอ็นฟิลราชพฤกษ์ ที่เอื้อเฟื้อรถทดลองทั้ง 2 คันให้ผมได้ลองขับขี่ ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แล้วพบกันวันหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
ชื่อสินค้า:   Royal Enfield
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่