[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยหิมะญี่ปุ่น นั่งรถไฟ 15 วัน จากเหนือสุดถึงใต้สุด ตอนที่ 22 เกียวโต ญี่ปุ่น Kyoto, Japan

ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยหิมะญี่ปุ่น นั่งรถไฟ 15 วัน จากเหนือสุดถึงใต้สุด
ตอนที่ 22 Kyoto
                                                        
ออกจาก Himeji กลับเกียวโต นั่งรถท้องถิ่น JT 1 สถานีไปต่อรถสายอื่น เพื่อไปสถานี Demachiyanagi Shimagamo กลายเป็นว่าเราออกไปชานชาลาไม่ได้เพราะเราไม่มีตั๋ว หนุ่มน้อยจากโอซาก้ายืนอยู่บนชานชาลาวิ่งมาเสนอให้ความช่วยเหลือ เขากดปุ่มถามจนท.ที่มีแค่คนเดียวทั้งสถานี ที่ลุงกับป้าผ่านมาจากข้างบน สถานีอยู่ในระหว่างการปรับปรุง จึงมีความไม่ลงตัวในการจัดการ เขาตอบลงมาว่าต้องซื้อตั๋วก่อน เพราะเป็นรถที่ไม่ใช่ JR
                                                        
เราจึงให้หนุ่มน้อยจัดการให้ ค่าตั๋วคนละ 270 เยน เขาก็มีปลายทางเดียวกับเรา เขาชื่อ Gami เรียนบริหารธุรกิจ ปี 1ที่มหาวิทยาลัย Kiki อยู่ระหว่างการปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ ว่างๆ ก็ออกไปเที่ยวสูดอากาศที่มีต้นไม้ ถามว่าต่อจากสถานีแล้วจะไปไหน เขาบอกว่าไม่มีแผน เขามีพ่อเป็นนักธุรกิจ แม่เป็นพนักงานต้อนรับร้านขายยา พ่อเดินทางโดยรถไฟไปทำงาน ส่วนแม่ขี่จักรยาน บางวันก็ขับรถยนต์ เขาได้เงินใช้เดือนละ 10,000 เยน มือถือยังไม่มีเฟสบุ๊ก หรือ ยูทูบ เขายังไม่เคยรู้จัก
                                                        
ช่างแตกต่างจากคนรุ่นเดียวกันที่เราเคยผ่านมา ที่พอถามอะไรก็ถามอากู๋ลูกเดียว น้องชายอายุ 15 ปีหน้าอยู่ม.ปลายได้เงินใช้เดือนละ 5,000 เยน เขาฟังพอจะรู้เรื่อง อาศัยแอ๊ปแปลภาษา ถามตัวสะกด พิมพ์แล้วกดแปลภาษาญี่ปุน เวลาพูดแม้เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เขาก็พยายาม เขาไปศาลเจ้า Shimogamo กับเราด้วย เพราะยังไม่เคยไป ทั้งๆ ที่ว่างๆ ไม่รู้จะไปไหนก็ไปที่สถานีนั้น
                                                        
เขาพอจะดูแผนที่เป็น แต่ไปไหนก็ใช้บริการรถเมล์ หรือรถไฟ ไม่เคยเดินแบบเรา เป็นครั้งแรกที่เดิน เขาพาเราเดินออกจากสถานี ข้ามสะพานแล้วเลี้ยวขวา ศาลเจ้าสร้างด้วยไม้อยู่ในสวนมีป่าไม้ร่มรื่น รูปทรงเหมือนกับวัดและศาลเจ้าทั่วๆ ไปในญี่ปุ่น บ้านที่อยู่ริมทางเข้ามีรั้วที่ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก เรียงกันแล้วใช้ไม้ซีกยาวตีประกบ หัว ท้าย และกลาง ไม่เหมือนของไทยในยุคก่อนๆ ที่ใช้การขัดกับคร่าวไม้ขึ้นลง เพื่อยึดให้แน่น ที่ศาลเจ้าและทางออก ได้ถ่ายภาพแค่ภาพเดียว เพราะแบ็ตเตอรี่ใกล้หมด
                                                        
ออกจากศาลเจ้า ขอบคุณหนุ่มญี่ปุ่น แล้วเดินกลับไปตั้งต้นที่เชิงสะพาน เราไปกันเอง เดินข้ามถนนแล้วตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ มองเห็นสวนสาธารณะเกียวโต ก็ข้ามถนนเดินผ่านสวนสาธารณะ เลี้ยวเข้าประตูถัดไป มองเห็นประตูพระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต ที่ดูเหมือนปิดตาย แล้วก็ปิดจริงๆ ถนนหน้าวังโรยด้วยหินเกร็ดหนา บนลานหินเกร็ด มีร่องที่เกิดจากคนขี่จักรยานร่องเดียวกันเป็นเส้นตรง
                                                        
คนขี่จักรยานที่เมืองนี้เขาถือว่าทางของเขา ใครยืนขวางทางเป็นการอยู่ผิดที่ เขาขี่เฉียดไปเลย ลุงเกือบหกล้มเพราะยืนหมุนไปหมุนมาโดยไม่ได้ดู ที่หน้าวังแบ็ตเตอรี่ใกล้หมด เมื่อคืนเต้าเสียบในที่พักหลวม ชาร์ตไม่เต็ม จึงถ่ายได้ภาพเดียว ถ่ายวีดิโอถ่ายได้แป๊บเดียว ทำอะไรต่อไม่ได้ ที่ญี่ปุ่นเขาเอาทางจักรยานกับทางคนเดินไว้ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ เวลาเดินต้องระวังไม่ให้ขวางทางจักรยาน เขานิยมขี่กันตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยชราทั้งชายและหญิง แต่เราสังเกตว่านักเรียนหญิงที่ใส่กระโปรงไม่นิยมขี่จักรยาน
                                                        
เดินออกมาที่สวนสาธารณะ เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามถนนคร่อมรางรถไฟ มองตรงไปที่ภูเขา มหาวิทยาลัยเกียวโตอยู่ขวามือ ตรงข้ามเป็นศูนย์วัฒนธรรม แต่แบ็ตเตอรี่ไอโฟนหมดตั้งแต่หน้าวังอิมพีเรียลแล้ว ลุ้นว่าอ๊อปโปน่าจะใช้การได้หลังจากปิดการใช้งานมานานพอสมควร
แล้วก็เป็นไปตามที่คิด แต่แค่ถ่ายภาพนิ่ง 2 ภาพ ส่วนวิดีโอได้นิดหนึ่ง แต่ภาพไม่ครอบคลุม เราไปที่ป้ายรถเมล์รอรถสาย 206 กลับสถานีเกียวโต ขณะที่ยืนรอรอได้ยินเสียงคนคุยภาษาไทย เป็นน้องวัยรุ่นไทย 2 คน ส่วนอีกคนน่าจะเป็นญี่ปุ่นเพราะไม่พูดได้แต่ยิ้ม เขาและเธอกำลังจะเข้าเรียนที่ม.เกียวโต เมื่อเปิดภาคเรียน หลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่น เป็นการเตรียมตัวมาแล้ว 1 ปี ค่ำวันศุกร์จึงเดินทางกลับบ้านที่โอซาก้า นั่งรถเมล์ไปต่อรถไฟ
                                                        
รถเมล์สาย 206 แน่นมาก เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ นักศึกษาและคนทำงานเดินทางกลับบ้านต่างเมืองโดยรถไฟ เราโชคดีได้นั่งตั้งแต่แรกแต่แยกกัน พอป้ายที่ 4 เราก็ได้ย้ายไปนั่งด้วยกัน ป้ายต่อๆไป มีคนรอที่ป้ายมากมายจนไม่สามารถขึ้นได้อีก ได้ยินประกาศว่า ให้จ่ายค่าโดยสารให้พอดี เขาไม่มีเงินทอน เราก็ใจไม่ดีเพราะมีเงินเหรียญไม่พอ
ถามน้องที่นั่งติดกันว่า สถานีเกียวโตเป็นป้ายสุดท้ายหรือไม่ กว่าจะสื่อสารกันเข้าใจก็ต้องพิมพ์ผ่านโปรแกรมแปลภาษา แต่เธอก็บอกเราว่าป้ายสถานีรถไฟเป็นป้ายที่ 16 แต่เราสังเกตว่า มีผู้โดยสารส่วนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทาง และคนส่วนใหญ่ไม่ลง พวกเขาน่าจะไปสถานีเหมือนเรา และก็จริงตามนั้น เราจึงรอลงเป็นคนสุดท้าย จะได้แลกเงินจากเครื่องได้ และก็แลกเงินได้ตามคาด แต่ยังมีหนุ่มคนหนึ่งต่อจากเราที่ยังมีปัญหามากกว่าเรา เราพอจะสรุปได้ว่า จากสถานีเกียวโตไปยังปลายทางที่เราไปวันนี้ ไปรถเมล์ดีกว่ากันเยอะเลย ทั้งความสะดวกและราคา แต่ให้หลีกเลี่ยงวัน เวลา ที่ผู้คนจะไปต่อรถเหมือนวันนี้
                                                        
ลงรถที่หน้าสถานีเกียวโต เราดูว่าเป็นด้านที่มีที่ทำการไปรษณีย์ ตามด้วย Lawson ซุปเปอร์มาร์เก็ต ในญี่ปุ่นที่เราอ่านชื่ิอออกมี 3 ชื่อ คือ 7-11 Family Mart และ Lawson และใช้บริการและตรงมุมถนนต่อจาก Lawson คือ Cafe Veloce ข้ามถนนไปซื้ออาหารที่ Lawson ออกจาก Lawson เลี้ยวซ้าย เดินตรงไปตามถนน Shiokojin
ความจริงถ้าจะไม่ให้พลาด ก็เดินจนถึงสะพานลอยแล้วข้ามถนน ไปฝั่งขวามือ แต่เราข้ามทแยงตั้งแต่ไฟแดงที่ 2 ตรงแยกที่ตัดกับถนน Mishinotion-dori แล้วเดินตรงไปให้ถึงมุมถนน เลี้ยวขวาตามมุมถนน เดินไปตามถนน Horikawa-dori ถึงไฟแดง ข้ามถนน เดินต่ออีก 200 เมตร ถึง Guest House Lantern Kyoto ที่พักของเรา 075-343-8889
เราจ่ายเงินสำหรับนอนพักเพิ่มอีก 1 คืน 8,000 เยน คืนนี้นอนเร็วเพราะเข้าที่พักเร็วแต่ก็หลัง 4 ทุ่ม นอนน้อยมาก คืนละไม่เกิน 4 ชม. อาศัยหลับบนรถไฟตอนกลางวันชดเชยกันไป
                                                        
เสาร์ที่ 12 มีนาคม 2559 ออกจากที่พัก ข้ามถนนไป วัด Nishihongachi เมื่อคืนผ่านไปประตูวัดปิดแล้ว และไม่ได้เปิดไฟด้วย ตอนเช้าเปิดเช้ามาก วัด Nishihongachi เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่มากในตัวเมืองเกียวโต การออกแบบสถาปัตยกรรมก็เหมือนวัดอื่นๆ ป้ามองเห็นอะไรขาวๆ ใต้หลังคา คิดว่าเป็นกระดาษขอพร พอเข้าไปใกล้ๆ จึงรู้ว่า เป็นสีขาวที่เขาทาปลายไม้ไว้ ไม่แน่ใจว่าทากันผุหรือเป็นเคล็ดอะไร
                                                        
ลุงลองเก็บส้มจากบนต้น 1 ลูก เพราะสงสัยมาตั้งแต่ยุโรปแล้วว่า ทำไมเขาปล่อยให้สุกเป็นสีทองเต็มต้น และปล่อยให้ร่วงหล่นโดยไม่เหลียวแล ทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่ พอปอกกินจึงรู้ว่า มันเหมาะที่จะปลูกเป็นไม้ประดับกับเอาไว้ปรุงอาหาร เพราะสีทองของส้มตัดกับใบมันๆ สีเขียวเข้มสวยมากและรสชาติเปรี้ยวใช้แทนมะนาวได้เลย แต่เปลือกหนา ต้องปอกและคั้นเอาน้ำ จะคั้นกินเป็นน้ำส้มคั้นก็ไม่น่าจะมีคนนิยมเพราะมันไม่มีรสหวานปนเลย
                                                        
เช้านี้ เราเจอปัญหาที่ไม่แน่ใจว่าจะแก้ตกหรือไม่ เงินสดที่แลกไว้หมดแล้ว เพราะเราไม่คิดว่าจะเจอค่าที่พักที่ฮอกไกโดและที่โตเกียวแพงแบบนี้ ใช้บัตรกดเงินก็กดไม่ออก ต้องส่งข้อความให้ลูกส่งเบอร์บัญชีให้ กะจะลองเดินไปที่แบงค์ ไปติดต่อเบิกเงินญี่ปุ่น พอได้เบอร์บัญชีจากลูกแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ติดต่อธนาคารไม่ได้ 2 คืนนี้คงต้องอาศัยที่โล่งหน้าสถานีรถไฟ เพราะสถานีปิดหลังรถไฟขบวนสุดท้ายซึ่งไม่เกินเที่ยงคืน แต่น่าจะไม่ทรมานเท่าเซนได เพราะอากาศคงไม่หนาวเท่านั้น
ในที่สุด เราก็ตกลงกันได้ว่า เราจะไปใช้ชีวิตตอนค่ำที่สนามบินฟุกุโอกะ เราจะนั่งเครื่องไปปูซานเกาหลีใต้ ในอีก 3 วันข้างหน้า ที่สนามบินมีที่แลกเงิน เราอาจใช้เงินไทยแลกได้ หรือไม่ก็มีจนท.ที่จะให้เราขอความช่วยเหลือวิธีการกดเงิน หรือใช้บัตรเครดิตขึ้นเงินสด อย่างแย่ที่สุดเราก็น่าจะได้เงินวันจันทร์ เรายังนั่งรถไฟเที่ยวได้ตามปกติตามสิทธิ์ตั๋วพาส ยังมีเงินค่าอาหารจนจบทริป แต่ขาดค่าที่พัก
ชื่อสินค้า:   เกียวโต ญี่ปุ่น Kyoto, Japan
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่