สวัสดีค่ะ ทุกคน
นี่น่าจะเป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของดิฉันในชีวิตนี้เลยกก็ว่าได้ค่ะ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะคะ ที่มาโพสเนื่องจากอยากได้ความคิดเห็นจริงๆค่ะ ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาประจาน หรือให้ร้ายอะไรใครทั้งสิ้นค่ะ ตอนนี้เครียดมากๆค่ะ กับปัญหาที่เจอในตอนนี้ค่ะ มาตั้งกระทู้ในนี้ เผื่อจะได้คำแนะนำ และแนวทางดีๆที่จะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ค่ะ คือ ดิฉันทำงานอยุ่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ ยังเป็นบริษัทเล็กๆอยู่ ถามว่าทำในตำแหน่งอะไร? ที่ผ่านมาก็ควบหลายตำแหน่งอยู่ค่ะ ทั้ง Management, Marketing, Products etc. (ทำในเวลาเดียวกันค่ะ) ทำมาได้เข้าปีที่ 2 แล้วค่ะ ปีแรกทำไปไม่มีปัญหาอะไรค่ะ มาปีที่ 2 นี่แหละค่ะ ด้วยความที่ต้องรับผิดชอบมากกับหลายงานที่ได้รับ บวกกับกำลังคนที่ทำงานไม่ได้มีเยอะเท่ากับงานที่มี งานช่วงหลังเริ่มมีปัญหาค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงปรับเปลี่ยนขยายแบรนด์บวกกับเมื่อก่อนยังไม่มีระบบอะไร กำลังอยุ่ในช่วงวางระบบค่ะงานเลยเยอะสักหน่อย แต่ก็สู้จนผ่านไปค่ะ
จนมาเมื่อเดือนที่แล้ว ทราบข่าวว่าตัวเองตั้งครรภ์ ตอนแรก ลังเลใจว่าจะบอกเจ้านายยังไงดี เพราะเรารู้ตัวเองดีค่ะ ว่าคนที่ตั้งครรภ์ อาจจะมีผลกระทบบ้างกับงาน แต่ดิฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรนะคะ คิดว่าตัวเองสู้ค่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการทำงาน วันนึงได้ตัดสินใจบอกเจ้านายไปเรื่องตั้งครรภ์ค่ะ ก็ไม่มีอะไรค่ะ พูดคุยกันตามปกติ(คุยไลน์กันค่ะ) ดิฉันก็ยังบอกเลยว่าถ้าคลอดลูกแล้วก็คงให้พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดช่วยเลี้ยงค่ะ (เนื่องจาก บ้านเกิดเป็นคนต่างจังหวัดค่ะ และ ดิฉันกับแฟนมาทำงานใน กทม ค่ะ) และดิฉันจะกลับมาทำงานปกติ เจ้านายยังแนะนำเลยว่า ดิฉันคงทนไม่ได้หรอก เนื่องจากเจ้านายก็มีลูกเค้าเข้าใจความรู้สึกว่า คนมีลูกไม่อยากจะห่างลูกสักนาทีเลย เค้าแนะนำให้ดิฉันคิดดีๆ ควรคิดถึงลูกก่อน ดิฉันขอบคุณและตอบรับกลับเจ้านายไปว่า ที่ดิฉันทำงานทุกวันนี้ ก็เพื่อลูกของดิฉันนี่แหละค่ะ พยายามทำงานเก็บเงิน เพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมาค่ะ เจ้านายหยุดการสนทนาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาค่ะ
มาถึงตอนนี้เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ จริงๆแล้วปํญหาที่มีมันเริ่มมีมาได้สักพักแล้วค่ะ อาจจะด้วยเรื่องงานที่มันเยอะมาก และความผิดพลาดของตัวดิฉันเอง ที่ทำให้งานโหลด แต่ดิฉันน้อมรับความผิดพลาดนะคะ ช่วงหลังเจ้านายมีการสับเปลี่ยนคนมาดูแลตำแหน่ง เราก็คิดในแง่ดีค่ะ ว่าเค้าอาจจะเห็นว่าเรางานเยอะไป ทำให้ดูแลงานได้ไม่ดี ก็พยายามคิดในทางที่ดีค่ะ จากที่เคยคุยกันเรื่องงานตลอด การคุยกันก็ลดลงค่ะ เจ้านายเริ่มไม่ดิลงานโดยตรงกับดิฉัน สั่งไลน์ในกลุ่มก็ไม่มีดิลกะดิฉันโดยตรง ที่เคยประชุมก็ไม่เรียกดิฉันประชุม ดิฉันจะได้ทราบข่าวจากน้องๆที่ไปประชุมอีกทีค่ะ ดิฉันก็สงสัยมาสักพักแล้ว แต่ดิฉันเอง ก็พยายามคิดในแง่ดีไว้
จนมาวันนึง มีงานเร่งมาก ดิฉันพยายามแก้ไขงาน (คือจริงๆแล้วมีรายละเอียดเยอะมากค่ะ แต่มันจะยาวไปค่ะ) และวันนั้นดิฉันแก้งานถึง สองทุ่มกว่า เพื่อนร่วมงานที่นี่ดีมากๆค่ะ พอรู้ว่าดิฉันงานไม่เสร็จ ก็อยู่เป็นเพื่อนจนงานเสร็จ ดิฉันเดินขึ้นลงบันไดวันนั้นเกือบ 10 รอบ ช่วงนั้นดิฉันเครียดมากๆค่ะ จริงๆแล้วที่ดิฉันเครียด เรื่องงานเป็นปกติค่ะ ไม่ได้คิดว่ามันเป้นปัญหาอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันเครียดมากๆในตอนนั้นคือ ท่าทีของเจ้านายค่ะ ดิฉันบอกตามตรงว่าตอนนั้นทำตัวไม่ถูกจริงๆค่ะ เคยถามเค้าตรงๆ แบบเปิดใจ เค้าก็บอกว่า เค้าโอเคกับเราทุกอย่างนะ แต่เรื่องงาน อาจจะต้องมีการปรับ เราก็โอเคน้อมรับ แต่พอมาช่วงหลัง งานทุกอย่างเค้าไม่ดิลกกับดิฉันเลย เหมือนดิฉันไม่มีตัวตนเลย ซึ่ง ตามนิสัยดิฉันๆจะเครียดมากค่ะ เพราะไม่ชอบการทำงานที่มานั่งเฉยๆ รอเวลาเลิกงานแล้วกลับบ้าน ช่วงเวลนั้นดิฉันก็พยายามหาอะไรทำ ช่วยประสานงานในส่วนต่างๆ ที่คิดว่างานจะเสร็จไม่ทัน กลับเหตุการณ์วันที่งานไม่เสร็จต่อค่ะ(ขอโทษนะคะเล่ากระโดไปกระโดมา พิมจากที่นึกได้ค่ะ นึกอะไรได้ก็พิมมาค่ะ) วันนั้นกว่าจะเคลียงานเสร็จ ดิฉันรุ้สึกตัวว่าเครียดมากค่ะ และเริ่มรู้สึกปวดท้อง แต่ก็คิดว่า มันน่าจะไม่เป็นอะไรเป็นอาการปกติค่ะ กลับไปบ้าน ก็รู้ว่าตัวเองเครียดก็พยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้เครียด แต่แล้วก็วนมาคิดถึงเรื่องงานอีกจนได้ จนไม่ไหวแล้ว บอกแฟนว่าปวดท้อง แฟนถามว่าไหวไม๊? ไม่ไหวก็ไปหาหมอดีกว่าไม๊? แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไร เดี๋ยวนอนคงจะหาย ก็บอกแฟนขออาบน้ำนอนก่อนนะ
พอรุ่งเช้า ตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำ เราเห็นมีเลือดออกที่กางเกง เรารีบบอกแฟนว่าเธอฉันมีเลือดออก ไม่รอช้าค่ะ รีบโทรหาแพทย์ที่ฝากครรภ์ คุณหมอบอกให้ดิฉันรีบไปหาหมอตอนนั้นเลยค่ะ ดิฉันกับแฟนลางาน ไปโรงพยายบาลทันทีค่ะ เมื่อพบคุณหมอๆรีบอัลตราซาวน์ และ ตรวจภายใน ผลที่ออกมา หมอระบุอาการว่าเป็น "ภาวะแท้งคุกคาม" ต้องฉีดยากันแท้ง และคุณหมอให้พักยาเลยค่ะ 1 อาทิตย์เต็มๆเลยค่ะ เนื่องจากคุณหมออยากให้พัก ไม่อยากให้เครียด ไม่อยากให้เคลื่อนไหวมาก ช่วงเวลาที่ดิฉันได้หยุดงานดิฉันกลับบ้านค่ะ และยังคงคิดเรื่องงาน ถึงตอนนี้คงปิดเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว (คือปกติ ดิฉันจะไม่ค่อยเล่าเรื่องปัญหาใดๆให้พ่อกับแม่ฟังค่ะ กลัวเค้าเป็นห่วงและเครียดไปกับเรา) หยุดงานนานขนาดนี้ ไม่รู้จะบอกเหตุผลกับพ่อกับแม่ยังไงค่ะ แต่ตอนนั้นรุ้แค่เพียงว่าอยากกลับบ้านค่ะ อยากกลับไปอยุ่กับพ่อกับแม่ค่ะ ตอนแรกดิฉันยังไม่บอกเค้าค่ะ เพราะกำลังตั้งหลัก จนกระทั่งดิฉันถ่ายรูปใบรับรองแพทย์ ไปลากับเจ้านาย และแจ้งสาเหตุของการลา และเจ้านายตอบกลับมาว่า "หายไวๆ ต่อไปนี้ ดิฉันคงทำงานเครียดๆไม่ได้แล้ว แต่ที่บริษัทมีแต่งานเครียดๆ เร่งๆ รีบๆทั้งนั้น ต้องรับผิดชอบสูง พี่ไม่กล้าใช้งานเรา กลัวกระทบกระเทือนลูกในท้อง เค้าค่อนข้างเครียดมาก" ถึงตอนนี้ ดิฉันกลับมานั่งคิดค่ะ จริงๆแล้วจะบอกว่าดิฉันไม่ได้เครียดเรื่องงานมากเท่าไหร่ค่ะ เพราะดิฉันเจองานเครียดมาตลอด งานเยอะ มาตลอด แต่ที่ดิฉันมาทำงานและเครียดทุกวันนี้คือ ท่าทีของเจ้านายทีเค้าไม่ดิลงาน กับดิฉันเลย พยายามลดหน้าที่ของดิฉันออกทุกอย่างเอาคนอื่นมาทำแทนหมด ดิฉันเครียดมากค่ะ ดิฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้นะคะว่าเค้ากำลังบีบดิฉันออก ดิฉันคิดไม่ตก อ่อ ลืมบอกไปค่ะ ว่าหลังจากที่คุยกับพ่อแม่ดิฉันแล้ว ท่านแนะนำให้ดิฉันออกค่ะ ท่านบอกว่า เอาลูกเราก่อน เค้าเป็นห่วงสุขภาพจิตเราเพราะมันมีผลถึงลูกในครรภ์ เค้าบอกว่า ออกมาพักสักปีแล้วค่อยว่ากัน พ่อกับแม่เลี้ยงได้ลูกคนเดียว แต่ในความคิดดิฉันๆ เครียดค่ะ ตอนนี้ดิฉันอายุ 33 แล้ว ถ้าออกจากงาน ก็ต้องไปรบกวนพ่อกับแม่อีก ไหนจะค่าหมอ ค่าคลอดที่จะต้องเตรียมเงินจ่ายไว้ และไหนจะนิสัยดิฉันเป็นคนที่ทำงานมาตลอด ให้ออกไปอยุ๋บ้านเฉยๆดิฉันคงจะอยุ๋ไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่าง ตอนนี้ค่าใช้จ่าย ภาระต่างๆ ในตอนนี้ดิฉันกับแฟนหารครึ่งกัน ช่วยกันออก ถ้าดิฉันไม่ทำงาน มันจะหนักมาค่ะ คือ ดิฉันก็ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองค่ะ ก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ ดิฉันกับแฟนก็คงแย่เหมือนกันค่ะ (ไม่อยากไปรบกวนพ่อกะแม่ค่ะ โตมาขนาดนี้แล้ว) แต่ถ้าดิฉันอดทนทำงานที่นี่ไป ดิฉันก็จะต้องเจอกับภาวะเครียดในทุกๆวัน ตั้งแต่ดิฉันท้อง ดิฉันมักกลับไปร้องไห้หลังเลิกงานทุกวัน แต่โชคดีที่มีเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่น่ารักค่ะ ดีกับดิฉันมากๆ ทุกคนคอยให้กำลังใจ และทุกคนอยากให้ดิฉันอยู่ต่อจนคลอด และกำลังใจสำคัญที่สุดก็คือ ครอบครัวและสามีค่ะ ตลอดเวลาทุกคนให้กำลังใจ และ เป็นห่วงดิฉันมาตลอด สามี อยุ๋ กทม ด้วยกันก็ดูแลเป็นอย่างดีมากๆ เ้คารู้นิสัยของดิฉันค่ะ เค้าเลยบอกว่าตามใจดิฉันเลย เอาที่ดิฉันสบายใจที่สุด เพราะเค้ารู้ว่าถ้าดิฉันออก ดิฉันจะเครียดเพราะเคยทำงาน เค้าเลยให้ดิฉันตัดสินใจเลยเค้าพร้อมจะอยุ๋เคียงข้างพร้อมจะทำงานหนักขึ้น แต่ดิฉันก็ไม่รู้จริงๆค่ะ ว่าจะตัดสินใจกับปัญหาตอนนี้อย่างไร ไม่ทราบจริงๆค่ะ ว่าควรทำตัวอย่างไรในตอนนี้ค่ะ
อ่อ และเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเจอกับตัวคือ เจ้านายเค้าเรียกทุกฝ่ายมาประชุม ดิฉันก็เข้าประชุมด้วย ดิฉันเจอหน้าเค้าดิฉันทักทายสวัสดีปกติ แต่เค้าไม่มีการตอบโต้อะไร ดิฉันก็คิดในทางดีเค้าคงยุ่งๆอยุ่ ระหว่างรอประชุม รอคนเข้าประชุมครบ เจ้านายเดินมานั่งตรงข้ามกับดิฉัน แต่เจ้านายไม่พูดอะไรกับดิฉันเลยค่ะ ไม่แม้แต่มองหน้า (วันนี้คือวันแรก หลังจากดิฉันหยุดไป 1 อาทิตย์ตอบที่หมอสั่งค่ะ) ท่าทีของเค้าทำเหมือนดิฉันไม่มีตัวตนในห้องประชุมเลย คำทักทายสักคำว่าเป็นไงบ้าง? ดีขึ้นยัง? ไม่มีหลุดออกมาจากปากเค้าเลยค่ะ (ปกติก่อนหน้านี้ เจ้านายและดิฉันค่อนข้างคุยกันบ่อยค่ะ จะทักทายกันปกติค่ะ) มันเลยทำให้ดิฉันกลับมาคิดทบทวน ว่าที่ผ่านมาที่เค้าพิมคุยกับเรา นั่นคือเค้าห่วงเราจริงๆ หรือ เค้าแค่มาพูดหว่านล้อมให้เราลาออกกันแน่นะ?
ตอนนี้ ดิฉันยังคงมาทำงานเหมือนเดิมค่ะ แต่บรรยากาศก็เหมือนเดิมค่ะไม่มีงานอะไร เจ้านายไม่ดิลงาน ดิฉันเลือกที่จะ เปลี่ยนวิธีทำงาน โดยการคิดงานและพิมพ์ใส่ไฟล์ เสนองานต่างๆ ดิฉันเห็นอะไรที่มันพอจะช่วย หรือ จะเป็นประโยชน์กับบริษัท ได้ดิฉันก็ทำเป็นเอกสาร ส่งเมลล์ไปเสนอเค้า เพราะทราบดีค่ะ ว่าเจ้านายคงไม่อยากเจอหน้าดิฉันสักเท่าไหร่ ส่งเป็นอีเมลล์ให้เจ้านาย ค่ะ แต่ก็ ไม่มีอะไรตอบโต้กลับมาค่ะ ดิฉันพยายามอดทนค่ะ หลายคนบอกว่าก็ดีเหมือนกันที่เค้าไม่เอางานมาให้ดิฉันปวดหัว แต่สำหรับดิฉันแล้ว ดิฉันเครียดค่ะ กับภาวะนี้ เรารับเงินเดือนเค้า แต่เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับองค์กรเลย สู้งานเยอะ ให้ดิฉันได้คิด ได้ทำแบบนั้นดิฉันสบายใจกว่าอีกค่ะ ก็ไม่ร็ว่าดิฉันจะทนในสภาพแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่นะคะ แต่ทุกวันนี้ที่ทนอยู่ตรงนี้ ก็เพราะลูกคำเดียวเลยค่ะ ถึงตรงนี้ขอทราบความคิดเห็นหน่อยได้ไม๊ค่ะ ว่าดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ?
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ ยาวสักหน่อย พิมเล่าเรื่องอาจจะกระโดดไปกระโดดมา เนื่องจากพิมพ์สดเลยค่ะ ไม่ไหวแล้ว เลยมาพิมพ์ขอความเห็นในนี้ค่ะ
ถ้าคุณโดนเจ้านายบีบให้ออกจากงานช่วงตั้งท้องคุณจะทำอย่างไร?
นี่น่าจะเป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของดิฉันในชีวิตนี้เลยกก็ว่าได้ค่ะ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะคะ ที่มาโพสเนื่องจากอยากได้ความคิดเห็นจริงๆค่ะ ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาประจาน หรือให้ร้ายอะไรใครทั้งสิ้นค่ะ ตอนนี้เครียดมากๆค่ะ กับปัญหาที่เจอในตอนนี้ค่ะ มาตั้งกระทู้ในนี้ เผื่อจะได้คำแนะนำ และแนวทางดีๆที่จะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ค่ะ คือ ดิฉันทำงานอยุ่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ ยังเป็นบริษัทเล็กๆอยู่ ถามว่าทำในตำแหน่งอะไร? ที่ผ่านมาก็ควบหลายตำแหน่งอยู่ค่ะ ทั้ง Management, Marketing, Products etc. (ทำในเวลาเดียวกันค่ะ) ทำมาได้เข้าปีที่ 2 แล้วค่ะ ปีแรกทำไปไม่มีปัญหาอะไรค่ะ มาปีที่ 2 นี่แหละค่ะ ด้วยความที่ต้องรับผิดชอบมากกับหลายงานที่ได้รับ บวกกับกำลังคนที่ทำงานไม่ได้มีเยอะเท่ากับงานที่มี งานช่วงหลังเริ่มมีปัญหาค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงปรับเปลี่ยนขยายแบรนด์บวกกับเมื่อก่อนยังไม่มีระบบอะไร กำลังอยุ่ในช่วงวางระบบค่ะงานเลยเยอะสักหน่อย แต่ก็สู้จนผ่านไปค่ะ
จนมาเมื่อเดือนที่แล้ว ทราบข่าวว่าตัวเองตั้งครรภ์ ตอนแรก ลังเลใจว่าจะบอกเจ้านายยังไงดี เพราะเรารู้ตัวเองดีค่ะ ว่าคนที่ตั้งครรภ์ อาจจะมีผลกระทบบ้างกับงาน แต่ดิฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรนะคะ คิดว่าตัวเองสู้ค่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการทำงาน วันนึงได้ตัดสินใจบอกเจ้านายไปเรื่องตั้งครรภ์ค่ะ ก็ไม่มีอะไรค่ะ พูดคุยกันตามปกติ(คุยไลน์กันค่ะ) ดิฉันก็ยังบอกเลยว่าถ้าคลอดลูกแล้วก็คงให้พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดช่วยเลี้ยงค่ะ (เนื่องจาก บ้านเกิดเป็นคนต่างจังหวัดค่ะ และ ดิฉันกับแฟนมาทำงานใน กทม ค่ะ) และดิฉันจะกลับมาทำงานปกติ เจ้านายยังแนะนำเลยว่า ดิฉันคงทนไม่ได้หรอก เนื่องจากเจ้านายก็มีลูกเค้าเข้าใจความรู้สึกว่า คนมีลูกไม่อยากจะห่างลูกสักนาทีเลย เค้าแนะนำให้ดิฉันคิดดีๆ ควรคิดถึงลูกก่อน ดิฉันขอบคุณและตอบรับกลับเจ้านายไปว่า ที่ดิฉันทำงานทุกวันนี้ ก็เพื่อลูกของดิฉันนี่แหละค่ะ พยายามทำงานเก็บเงิน เพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมาค่ะ เจ้านายหยุดการสนทนาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาค่ะ
มาถึงตอนนี้เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ จริงๆแล้วปํญหาที่มีมันเริ่มมีมาได้สักพักแล้วค่ะ อาจจะด้วยเรื่องงานที่มันเยอะมาก และความผิดพลาดของตัวดิฉันเอง ที่ทำให้งานโหลด แต่ดิฉันน้อมรับความผิดพลาดนะคะ ช่วงหลังเจ้านายมีการสับเปลี่ยนคนมาดูแลตำแหน่ง เราก็คิดในแง่ดีค่ะ ว่าเค้าอาจจะเห็นว่าเรางานเยอะไป ทำให้ดูแลงานได้ไม่ดี ก็พยายามคิดในทางที่ดีค่ะ จากที่เคยคุยกันเรื่องงานตลอด การคุยกันก็ลดลงค่ะ เจ้านายเริ่มไม่ดิลงานโดยตรงกับดิฉัน สั่งไลน์ในกลุ่มก็ไม่มีดิลกะดิฉันโดยตรง ที่เคยประชุมก็ไม่เรียกดิฉันประชุม ดิฉันจะได้ทราบข่าวจากน้องๆที่ไปประชุมอีกทีค่ะ ดิฉันก็สงสัยมาสักพักแล้ว แต่ดิฉันเอง ก็พยายามคิดในแง่ดีไว้
จนมาวันนึง มีงานเร่งมาก ดิฉันพยายามแก้ไขงาน (คือจริงๆแล้วมีรายละเอียดเยอะมากค่ะ แต่มันจะยาวไปค่ะ) และวันนั้นดิฉันแก้งานถึง สองทุ่มกว่า เพื่อนร่วมงานที่นี่ดีมากๆค่ะ พอรู้ว่าดิฉันงานไม่เสร็จ ก็อยู่เป็นเพื่อนจนงานเสร็จ ดิฉันเดินขึ้นลงบันไดวันนั้นเกือบ 10 รอบ ช่วงนั้นดิฉันเครียดมากๆค่ะ จริงๆแล้วที่ดิฉันเครียด เรื่องงานเป็นปกติค่ะ ไม่ได้คิดว่ามันเป้นปัญหาอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันเครียดมากๆในตอนนั้นคือ ท่าทีของเจ้านายค่ะ ดิฉันบอกตามตรงว่าตอนนั้นทำตัวไม่ถูกจริงๆค่ะ เคยถามเค้าตรงๆ แบบเปิดใจ เค้าก็บอกว่า เค้าโอเคกับเราทุกอย่างนะ แต่เรื่องงาน อาจจะต้องมีการปรับ เราก็โอเคน้อมรับ แต่พอมาช่วงหลัง งานทุกอย่างเค้าไม่ดิลกกับดิฉันเลย เหมือนดิฉันไม่มีตัวตนเลย ซึ่ง ตามนิสัยดิฉันๆจะเครียดมากค่ะ เพราะไม่ชอบการทำงานที่มานั่งเฉยๆ รอเวลาเลิกงานแล้วกลับบ้าน ช่วงเวลนั้นดิฉันก็พยายามหาอะไรทำ ช่วยประสานงานในส่วนต่างๆ ที่คิดว่างานจะเสร็จไม่ทัน กลับเหตุการณ์วันที่งานไม่เสร็จต่อค่ะ(ขอโทษนะคะเล่ากระโดไปกระโดมา พิมจากที่นึกได้ค่ะ นึกอะไรได้ก็พิมมาค่ะ) วันนั้นกว่าจะเคลียงานเสร็จ ดิฉันรุ้สึกตัวว่าเครียดมากค่ะ และเริ่มรู้สึกปวดท้อง แต่ก็คิดว่า มันน่าจะไม่เป็นอะไรเป็นอาการปกติค่ะ กลับไปบ้าน ก็รู้ว่าตัวเองเครียดก็พยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้เครียด แต่แล้วก็วนมาคิดถึงเรื่องงานอีกจนได้ จนไม่ไหวแล้ว บอกแฟนว่าปวดท้อง แฟนถามว่าไหวไม๊? ไม่ไหวก็ไปหาหมอดีกว่าไม๊? แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไร เดี๋ยวนอนคงจะหาย ก็บอกแฟนขออาบน้ำนอนก่อนนะ
พอรุ่งเช้า ตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำ เราเห็นมีเลือดออกที่กางเกง เรารีบบอกแฟนว่าเธอฉันมีเลือดออก ไม่รอช้าค่ะ รีบโทรหาแพทย์ที่ฝากครรภ์ คุณหมอบอกให้ดิฉันรีบไปหาหมอตอนนั้นเลยค่ะ ดิฉันกับแฟนลางาน ไปโรงพยายบาลทันทีค่ะ เมื่อพบคุณหมอๆรีบอัลตราซาวน์ และ ตรวจภายใน ผลที่ออกมา หมอระบุอาการว่าเป็น "ภาวะแท้งคุกคาม" ต้องฉีดยากันแท้ง และคุณหมอให้พักยาเลยค่ะ 1 อาทิตย์เต็มๆเลยค่ะ เนื่องจากคุณหมออยากให้พัก ไม่อยากให้เครียด ไม่อยากให้เคลื่อนไหวมาก ช่วงเวลาที่ดิฉันได้หยุดงานดิฉันกลับบ้านค่ะ และยังคงคิดเรื่องงาน ถึงตอนนี้คงปิดเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว (คือปกติ ดิฉันจะไม่ค่อยเล่าเรื่องปัญหาใดๆให้พ่อกับแม่ฟังค่ะ กลัวเค้าเป็นห่วงและเครียดไปกับเรา) หยุดงานนานขนาดนี้ ไม่รู้จะบอกเหตุผลกับพ่อกับแม่ยังไงค่ะ แต่ตอนนั้นรุ้แค่เพียงว่าอยากกลับบ้านค่ะ อยากกลับไปอยุ่กับพ่อกับแม่ค่ะ ตอนแรกดิฉันยังไม่บอกเค้าค่ะ เพราะกำลังตั้งหลัก จนกระทั่งดิฉันถ่ายรูปใบรับรองแพทย์ ไปลากับเจ้านาย และแจ้งสาเหตุของการลา และเจ้านายตอบกลับมาว่า "หายไวๆ ต่อไปนี้ ดิฉันคงทำงานเครียดๆไม่ได้แล้ว แต่ที่บริษัทมีแต่งานเครียดๆ เร่งๆ รีบๆทั้งนั้น ต้องรับผิดชอบสูง พี่ไม่กล้าใช้งานเรา กลัวกระทบกระเทือนลูกในท้อง เค้าค่อนข้างเครียดมาก" ถึงตอนนี้ ดิฉันกลับมานั่งคิดค่ะ จริงๆแล้วจะบอกว่าดิฉันไม่ได้เครียดเรื่องงานมากเท่าไหร่ค่ะ เพราะดิฉันเจองานเครียดมาตลอด งานเยอะ มาตลอด แต่ที่ดิฉันมาทำงานและเครียดทุกวันนี้คือ ท่าทีของเจ้านายทีเค้าไม่ดิลงาน กับดิฉันเลย พยายามลดหน้าที่ของดิฉันออกทุกอย่างเอาคนอื่นมาทำแทนหมด ดิฉันเครียดมากค่ะ ดิฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้นะคะว่าเค้ากำลังบีบดิฉันออก ดิฉันคิดไม่ตก อ่อ ลืมบอกไปค่ะ ว่าหลังจากที่คุยกับพ่อแม่ดิฉันแล้ว ท่านแนะนำให้ดิฉันออกค่ะ ท่านบอกว่า เอาลูกเราก่อน เค้าเป็นห่วงสุขภาพจิตเราเพราะมันมีผลถึงลูกในครรภ์ เค้าบอกว่า ออกมาพักสักปีแล้วค่อยว่ากัน พ่อกับแม่เลี้ยงได้ลูกคนเดียว แต่ในความคิดดิฉันๆ เครียดค่ะ ตอนนี้ดิฉันอายุ 33 แล้ว ถ้าออกจากงาน ก็ต้องไปรบกวนพ่อกับแม่อีก ไหนจะค่าหมอ ค่าคลอดที่จะต้องเตรียมเงินจ่ายไว้ และไหนจะนิสัยดิฉันเป็นคนที่ทำงานมาตลอด ให้ออกไปอยุ๋บ้านเฉยๆดิฉันคงจะอยุ๋ไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่าง ตอนนี้ค่าใช้จ่าย ภาระต่างๆ ในตอนนี้ดิฉันกับแฟนหารครึ่งกัน ช่วยกันออก ถ้าดิฉันไม่ทำงาน มันจะหนักมาค่ะ คือ ดิฉันก็ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองค่ะ ก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ ดิฉันกับแฟนก็คงแย่เหมือนกันค่ะ (ไม่อยากไปรบกวนพ่อกะแม่ค่ะ โตมาขนาดนี้แล้ว) แต่ถ้าดิฉันอดทนทำงานที่นี่ไป ดิฉันก็จะต้องเจอกับภาวะเครียดในทุกๆวัน ตั้งแต่ดิฉันท้อง ดิฉันมักกลับไปร้องไห้หลังเลิกงานทุกวัน แต่โชคดีที่มีเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่น่ารักค่ะ ดีกับดิฉันมากๆ ทุกคนคอยให้กำลังใจ และทุกคนอยากให้ดิฉันอยู่ต่อจนคลอด และกำลังใจสำคัญที่สุดก็คือ ครอบครัวและสามีค่ะ ตลอดเวลาทุกคนให้กำลังใจ และ เป็นห่วงดิฉันมาตลอด สามี อยุ๋ กทม ด้วยกันก็ดูแลเป็นอย่างดีมากๆ เ้คารู้นิสัยของดิฉันค่ะ เค้าเลยบอกว่าตามใจดิฉันเลย เอาที่ดิฉันสบายใจที่สุด เพราะเค้ารู้ว่าถ้าดิฉันออก ดิฉันจะเครียดเพราะเคยทำงาน เค้าเลยให้ดิฉันตัดสินใจเลยเค้าพร้อมจะอยุ๋เคียงข้างพร้อมจะทำงานหนักขึ้น แต่ดิฉันก็ไม่รู้จริงๆค่ะ ว่าจะตัดสินใจกับปัญหาตอนนี้อย่างไร ไม่ทราบจริงๆค่ะ ว่าควรทำตัวอย่างไรในตอนนี้ค่ะ
อ่อ และเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเจอกับตัวคือ เจ้านายเค้าเรียกทุกฝ่ายมาประชุม ดิฉันก็เข้าประชุมด้วย ดิฉันเจอหน้าเค้าดิฉันทักทายสวัสดีปกติ แต่เค้าไม่มีการตอบโต้อะไร ดิฉันก็คิดในทางดีเค้าคงยุ่งๆอยุ่ ระหว่างรอประชุม รอคนเข้าประชุมครบ เจ้านายเดินมานั่งตรงข้ามกับดิฉัน แต่เจ้านายไม่พูดอะไรกับดิฉันเลยค่ะ ไม่แม้แต่มองหน้า (วันนี้คือวันแรก หลังจากดิฉันหยุดไป 1 อาทิตย์ตอบที่หมอสั่งค่ะ) ท่าทีของเค้าทำเหมือนดิฉันไม่มีตัวตนในห้องประชุมเลย คำทักทายสักคำว่าเป็นไงบ้าง? ดีขึ้นยัง? ไม่มีหลุดออกมาจากปากเค้าเลยค่ะ (ปกติก่อนหน้านี้ เจ้านายและดิฉันค่อนข้างคุยกันบ่อยค่ะ จะทักทายกันปกติค่ะ) มันเลยทำให้ดิฉันกลับมาคิดทบทวน ว่าที่ผ่านมาที่เค้าพิมคุยกับเรา นั่นคือเค้าห่วงเราจริงๆ หรือ เค้าแค่มาพูดหว่านล้อมให้เราลาออกกันแน่นะ?
ตอนนี้ ดิฉันยังคงมาทำงานเหมือนเดิมค่ะ แต่บรรยากาศก็เหมือนเดิมค่ะไม่มีงานอะไร เจ้านายไม่ดิลงาน ดิฉันเลือกที่จะ เปลี่ยนวิธีทำงาน โดยการคิดงานและพิมพ์ใส่ไฟล์ เสนองานต่างๆ ดิฉันเห็นอะไรที่มันพอจะช่วย หรือ จะเป็นประโยชน์กับบริษัท ได้ดิฉันก็ทำเป็นเอกสาร ส่งเมลล์ไปเสนอเค้า เพราะทราบดีค่ะ ว่าเจ้านายคงไม่อยากเจอหน้าดิฉันสักเท่าไหร่ ส่งเป็นอีเมลล์ให้เจ้านาย ค่ะ แต่ก็ ไม่มีอะไรตอบโต้กลับมาค่ะ ดิฉันพยายามอดทนค่ะ หลายคนบอกว่าก็ดีเหมือนกันที่เค้าไม่เอางานมาให้ดิฉันปวดหัว แต่สำหรับดิฉันแล้ว ดิฉันเครียดค่ะ กับภาวะนี้ เรารับเงินเดือนเค้า แต่เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับองค์กรเลย สู้งานเยอะ ให้ดิฉันได้คิด ได้ทำแบบนั้นดิฉันสบายใจกว่าอีกค่ะ ก็ไม่ร็ว่าดิฉันจะทนในสภาพแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่นะคะ แต่ทุกวันนี้ที่ทนอยู่ตรงนี้ ก็เพราะลูกคำเดียวเลยค่ะ ถึงตรงนี้ขอทราบความคิดเห็นหน่อยได้ไม๊ค่ะ ว่าดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ?
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ ยาวสักหน่อย พิมเล่าเรื่องอาจจะกระโดดไปกระโดดมา เนื่องจากพิมพ์สดเลยค่ะ ไม่ไหวแล้ว เลยมาพิมพ์ขอความเห็นในนี้ค่ะ