ต้นโพธิ์เก่าแก่สลัดใบทิ้งจนเหลือแต่กิ่งโกร๋น บัดนี้กำลังผลิใบอ่อนสีเขียวแซมม่วง ไม่ช้าคงเขียวชอุ่มเป็นมันวับเต็มต้น
กาบแก่หลุดล่อน มดดำก็เข้าซอกซอนตามกาบกอแตกอ้า ตามลายร่องไม้แตกลึกผุกร่อน อาศัยทำรังออกลูกออกหลานมายาวนาน หากจะเอาอายุของโพธิ์ต้นนี้เป็นประมาณ มดรุ่นนี้จะเป็นลูกหลานเหลนรุ่นที่กี่ร้อยก็ไม่รู้ได้ โน่น มดงานกลุ่มน้อยทางนั้น กำลังหาบหามเอาซากแมลงใหญ่กว่าตัวหลายเท่า ผ่านโคนรากโพธิ์ใหญ่ขึ้นไปสู่รัง ช่างแข็งแรง ช่างสามัคคีกันดีเสียจริง มดตัวน้อยแค่นี้ พละกำลังมันได้มาจากไหนมากมายหนอ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ไปดีกว่า เดี๋ยวจะโดนหลวงพ่อด่าว่าอู้งานอีก
เณรน้อยผุดลุกขึ้นยืนก็เดินฉิวไปทางหลังศาลา แล้วคว้าเอาไม้กวาดทางมะพร้าวไปสมทบกับพระเณรรูปอื่นที่กำลังกวาดลานอยู่ข้างกำแพง
ตึ้ง!!!
กิ่งโพธิ์ขนาดใหญ่หักตกลงมาบนพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาพระเณรแตกตื่นรีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงพ่อเองก็เดินมาดูแล้วก็สั่งให้ช่วยกันหามเอาไปทิ้งหลังวัด กิ่งยาวเกือบห้าวา ใหญ่กว่าขาของผู้ใหญ่ ขนาดพระเณรรวมกันหกเจ็ดรูปยังหามแทบจะไม่ไหว
“เอ้า ฮึ้บบบบ”
พระเณรรวมพลังกันยกขึ้นใส่บ่าแล้วแบกไปทางหลังวัดอย่างทุลักทุเล หลวงพ่อเองยืนดูเขาหามกิ่งไม้ออกไป แล้วหันตัวกลับมาทางต้นโพธิ์อีกครั้ง
“หากถูกหัวเณรเลือดตกยางออกจะเป็นบาปหนักนะ ยักษิณี”
เบื้องหน้าต้นโพธิ์ เหมือนมีกลุ่มก้อนเงาดำก่อตัวขึ้นมาเหมือนตัวคน
“หลวงพ่อจะรู้อะไร มันเคยทำอะไรกับฉันไว้หลวงพ่อรู้บ้างมั้ย นานแค่ไหนที่ฉันเฝ้ารอโอกาศเอาคืน ชาตินี้แม้มันจะบวชเป็นพระเป็นเณร ก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้นไปง่ายๆ”
เสียงอำมหิตเคียดแค้นดังมาจากโคนต้นโพธิ์ใหญ่เบื้องหน้าหลวงพ่อ เธอผู้นั้นเผยร่างออกมาเพียงเงาสีดำไม่เห็นหน้า แต่คุกรุ่นไปด้วยความเกรี้ยวกราดรุนแรง
“เณรรูปนี้จะไปทำอะไรให้เธอในชาติก่อนฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนนี้ภพชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว เณรเองก็คงเวียนว่ายใช้กรรมของเขามามากแล้ว ยังมีแต่เธอนี่แหละที่ยังไปไหนไม่ได้ เพราะความเคียดแค้นที่มันเป็นไฟมอดไหม้หัวใจของเธอทั้งคืนทั้งวันนี่ไงล่ะ ถึงทำให้เป็นอมนุษย์อยู่แบบนี้ เธอชอบหรือ เธอมีความสุขดีอยู่หรือ ยักษิณี”
ร่างนั้นยืนนิ่งคล้ายจะฟัง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา
“หากเธออยากจะแก้ไขตนเอง อยากจะพ้นจากกำเนิดอันทุกข์ทรมานนี้ ก็ให้เลิกจองเวรเขาเสียเถิด ฉันขอได้ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน หลวงพ่อ!!!!”
เสียงตะคอกดังด้วยความขุ่นเคืองพร้อมกับเงาดำนั้นได้จางหายไป
โอหนอ…นางยักษ์ ความโกรธแค้นมันทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เจ้าชาติเด็กวัดรุ่นใหญ่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า
“จะให้เผากิ่งโพธิ์เลยมั้ยครับหลวงพ่อ”
“ยัง ยังก่อน เอาไว้ตรงนั้นก่อนนะ”
………….
เสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นก้องกระหึ่มในวิหารช่างสงบเยือกเย็น ความฟุ้งซ่านก็ระงับ ความขุ่นข้องหมองใจก็ดับหาย ทั้งคนสวดคนฟังราวจะเข้าสู่ภวังค์สมาธิได้อย่างง่ายดาย เมื่อนั่งสมาธิแผ่เมตตาเรียบร้อย พระเณรก็แยกย้ายกันเข้ากุฏิของใครของมัน
“เณรภูมิ”
“ครับหลวงพ่อ” เสียงหลวงพ่อเรียก ทำให้หยุดเดินแล้วยกมือขึ้นพนมโดยอัตโนมัติ
“เดี๋ยวตามหลวงพ่อมาที่กุฏิหน่อย”
“ครับ”
จะมีเรื่องอะไรหนอ สีหน้าหลวงพ่อวันนี้ดูกังวล หรือว่าเราทำผิดอะไรไปหรือเปล่านะ
หลวงพ่อเดินนำหน้าไม่ช้าไม่เร็ว เณรภูมิเดินตามอยู่ห่างๆ
ในใจตุ๊มๆต่อมๆ กลัวหลวงพ่อกล่าวโทษก็กลัว แต่ใจหนึ่งก็ยังสบายใจ เพราะเท่าที่ผ่านมา เราไม่เคยทำความผิดที่ร้ายแรงเลย
ประตูกุฏิไม้ของหลวงพ่อถูกเปิดออก เบื้องหน้าเป็นโต๊ะหมู่บูชาที่จัดอย่างเรียบง่าย ที่ตรงนี้หลวงพ่อมักใช้รับแขกทั้งพระและฆราวาสเป็นประจำ แต่ตอนนี้ตนเองไม่ใช่แขกของหลวงพ่อ แต่เหมือนหลวงพ่อพามาตัดสินโทษอะไรบางอย่างมากกว่า ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น
หลวงพ่อนั่งบนอาสนะใกล้โต๊ะหมู่ ส่วนเณรภูมินั่งบนพื้นถัดลงมา ไม่มีบทสนทนาใดๆ บรรยากาศช่างน่าอึดอัดอะไรอย่างนี้
“หลวงพ่อขอถามนะ เณรเชื่อเรื่องเวรกรรมมั้ย”
“เชื่อครับหลวงพ่อ” เณรแปลกใจในคำถาม
“แล้วเณรเชื่อเรื่องภพชาติมั้ย”
“อันนี้ผมก็เชื่อครับ”
“ทำไมถึงเชื่อ”
“พระอาจารย์ท่านสอนแบบนั้นครับ”
“เชื่อตามหนังสือสินะ ดีแล้วละ คืนนี้หลังจากเข้ากุฏิของตัวเองแล้ว ให้ตั้งใจนั่งสมาธิภาวนานะ หลังออกจากสมาธิแล้ว ให้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเณรเอง หลังจากนั้นให้จำวัดตามปกติ ให้ตั้งใจนะคืนนี้ เข้าใจมั้ยเณร”
“ครับ หลวงพ่อ”
………..
เอนกายนอนลง ลมหายใจทอดยาวเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่นานนักก็เกิดอาการเหมือนกึ่งหลับกึ่งฝัน ภาพนั้นจึงค่อยปรากฏขึ้นในถวังค์
จองเวร...จองจำ
กาบแก่หลุดล่อน มดดำก็เข้าซอกซอนตามกาบกอแตกอ้า ตามลายร่องไม้แตกลึกผุกร่อน อาศัยทำรังออกลูกออกหลานมายาวนาน หากจะเอาอายุของโพธิ์ต้นนี้เป็นประมาณ มดรุ่นนี้จะเป็นลูกหลานเหลนรุ่นที่กี่ร้อยก็ไม่รู้ได้ โน่น มดงานกลุ่มน้อยทางนั้น กำลังหาบหามเอาซากแมลงใหญ่กว่าตัวหลายเท่า ผ่านโคนรากโพธิ์ใหญ่ขึ้นไปสู่รัง ช่างแข็งแรง ช่างสามัคคีกันดีเสียจริง มดตัวน้อยแค่นี้ พละกำลังมันได้มาจากไหนมากมายหนอ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ไปดีกว่า เดี๋ยวจะโดนหลวงพ่อด่าว่าอู้งานอีก
เณรน้อยผุดลุกขึ้นยืนก็เดินฉิวไปทางหลังศาลา แล้วคว้าเอาไม้กวาดทางมะพร้าวไปสมทบกับพระเณรรูปอื่นที่กำลังกวาดลานอยู่ข้างกำแพง
ตึ้ง!!!
กิ่งโพธิ์ขนาดใหญ่หักตกลงมาบนพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาพระเณรแตกตื่นรีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงพ่อเองก็เดินมาดูแล้วก็สั่งให้ช่วยกันหามเอาไปทิ้งหลังวัด กิ่งยาวเกือบห้าวา ใหญ่กว่าขาของผู้ใหญ่ ขนาดพระเณรรวมกันหกเจ็ดรูปยังหามแทบจะไม่ไหว
“เอ้า ฮึ้บบบบ”
พระเณรรวมพลังกันยกขึ้นใส่บ่าแล้วแบกไปทางหลังวัดอย่างทุลักทุเล หลวงพ่อเองยืนดูเขาหามกิ่งไม้ออกไป แล้วหันตัวกลับมาทางต้นโพธิ์อีกครั้ง
“หากถูกหัวเณรเลือดตกยางออกจะเป็นบาปหนักนะ ยักษิณี”
เบื้องหน้าต้นโพธิ์ เหมือนมีกลุ่มก้อนเงาดำก่อตัวขึ้นมาเหมือนตัวคน
“หลวงพ่อจะรู้อะไร มันเคยทำอะไรกับฉันไว้หลวงพ่อรู้บ้างมั้ย นานแค่ไหนที่ฉันเฝ้ารอโอกาศเอาคืน ชาตินี้แม้มันจะบวชเป็นพระเป็นเณร ก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้นไปง่ายๆ”
เสียงอำมหิตเคียดแค้นดังมาจากโคนต้นโพธิ์ใหญ่เบื้องหน้าหลวงพ่อ เธอผู้นั้นเผยร่างออกมาเพียงเงาสีดำไม่เห็นหน้า แต่คุกรุ่นไปด้วยความเกรี้ยวกราดรุนแรง
“เณรรูปนี้จะไปทำอะไรให้เธอในชาติก่อนฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนนี้ภพชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว เณรเองก็คงเวียนว่ายใช้กรรมของเขามามากแล้ว ยังมีแต่เธอนี่แหละที่ยังไปไหนไม่ได้ เพราะความเคียดแค้นที่มันเป็นไฟมอดไหม้หัวใจของเธอทั้งคืนทั้งวันนี่ไงล่ะ ถึงทำให้เป็นอมนุษย์อยู่แบบนี้ เธอชอบหรือ เธอมีความสุขดีอยู่หรือ ยักษิณี”
ร่างนั้นยืนนิ่งคล้ายจะฟัง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา
“หากเธออยากจะแก้ไขตนเอง อยากจะพ้นจากกำเนิดอันทุกข์ทรมานนี้ ก็ให้เลิกจองเวรเขาเสียเถิด ฉันขอได้ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน หลวงพ่อ!!!!”
เสียงตะคอกดังด้วยความขุ่นเคืองพร้อมกับเงาดำนั้นได้จางหายไป
โอหนอ…นางยักษ์ ความโกรธแค้นมันทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เจ้าชาติเด็กวัดรุ่นใหญ่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า
“จะให้เผากิ่งโพธิ์เลยมั้ยครับหลวงพ่อ”
“ยัง ยังก่อน เอาไว้ตรงนั้นก่อนนะ”
………….
เสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นก้องกระหึ่มในวิหารช่างสงบเยือกเย็น ความฟุ้งซ่านก็ระงับ ความขุ่นข้องหมองใจก็ดับหาย ทั้งคนสวดคนฟังราวจะเข้าสู่ภวังค์สมาธิได้อย่างง่ายดาย เมื่อนั่งสมาธิแผ่เมตตาเรียบร้อย พระเณรก็แยกย้ายกันเข้ากุฏิของใครของมัน
“เณรภูมิ”
“ครับหลวงพ่อ” เสียงหลวงพ่อเรียก ทำให้หยุดเดินแล้วยกมือขึ้นพนมโดยอัตโนมัติ
“เดี๋ยวตามหลวงพ่อมาที่กุฏิหน่อย”
“ครับ”
จะมีเรื่องอะไรหนอ สีหน้าหลวงพ่อวันนี้ดูกังวล หรือว่าเราทำผิดอะไรไปหรือเปล่านะ
หลวงพ่อเดินนำหน้าไม่ช้าไม่เร็ว เณรภูมิเดินตามอยู่ห่างๆ
ในใจตุ๊มๆต่อมๆ กลัวหลวงพ่อกล่าวโทษก็กลัว แต่ใจหนึ่งก็ยังสบายใจ เพราะเท่าที่ผ่านมา เราไม่เคยทำความผิดที่ร้ายแรงเลย
ประตูกุฏิไม้ของหลวงพ่อถูกเปิดออก เบื้องหน้าเป็นโต๊ะหมู่บูชาที่จัดอย่างเรียบง่าย ที่ตรงนี้หลวงพ่อมักใช้รับแขกทั้งพระและฆราวาสเป็นประจำ แต่ตอนนี้ตนเองไม่ใช่แขกของหลวงพ่อ แต่เหมือนหลวงพ่อพามาตัดสินโทษอะไรบางอย่างมากกว่า ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น
หลวงพ่อนั่งบนอาสนะใกล้โต๊ะหมู่ ส่วนเณรภูมินั่งบนพื้นถัดลงมา ไม่มีบทสนทนาใดๆ บรรยากาศช่างน่าอึดอัดอะไรอย่างนี้
“หลวงพ่อขอถามนะ เณรเชื่อเรื่องเวรกรรมมั้ย”
“เชื่อครับหลวงพ่อ” เณรแปลกใจในคำถาม
“แล้วเณรเชื่อเรื่องภพชาติมั้ย”
“อันนี้ผมก็เชื่อครับ”
“ทำไมถึงเชื่อ”
“พระอาจารย์ท่านสอนแบบนั้นครับ”
“เชื่อตามหนังสือสินะ ดีแล้วละ คืนนี้หลังจากเข้ากุฏิของตัวเองแล้ว ให้ตั้งใจนั่งสมาธิภาวนานะ หลังออกจากสมาธิแล้ว ให้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเณรเอง หลังจากนั้นให้จำวัดตามปกติ ให้ตั้งใจนะคืนนี้ เข้าใจมั้ยเณร”
“ครับ หลวงพ่อ”
………..
เอนกายนอนลง ลมหายใจทอดยาวเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่นานนักก็เกิดอาการเหมือนกึ่งหลับกึ่งฝัน ภาพนั้นจึงค่อยปรากฏขึ้นในถวังค์