เรื่องมีอยู่ว่า เรากับแฟนซื้อบ้านที่ีโครงการมีชื่อเสียงโครงการนึง ราคา 2.2 ล้าน เป็น ทาวเฮาท์ติดกันแค่ 2 หลัง คือของเรากับของเพื่อนบ้าน
ตั้งแต่ย้านเข้าไปอยู่เรากับเพื่อบ้านก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะคะ แต่พออยู่ไปสักพักเราต่างคนต่างทำงงานเลยไม่ได้ทักทายกันอย่างแต่ก่อน เพราะไม่ค่อยได้เจอกัน เรากับเพื่อบ้านคุยกันว่าจะไม่กั้นเขตที่รั้วที่ใช้แบ่งเขตบ้านเราทั้งคู่เพราะไม่อยากให้บ้านมืดและทึบ แต่อยู่ดีดีเพื่อบ้านก็กั้นเฉยเลยโดนที่ไม่บอกเราสักคำ ทั้งที่การต่อเติมหลังบ้าน เพื่อบ้านมาขอเอากระเบื้องซ้อนทับกระเบื้องบ้านเราเพราะเขาบอกว่าไม่อยากให้น้ำรั่ว เราก็โอเค ซ้อนเลย เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนหน้าบ้านที่จะต่อเติมในอนาคตก็จะต้องซ้อนกระเบื้องแบบนี้เช่นกัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ เพื่อนบ้านก็มาตั้งโครงหลังคาที่รั้วและไม่เอากระเบื้องมาซ้อนบ้านเราอย่างที่คุยกันไว้ และน้ำก็จะต้องไหลเข้าบ้านเราอยู่ฝั่งเดียวเพราะบ้านเพื่อนบ้านนั้นตีฝาทึบปิดกั้นบ้านเราไปหมดแล้ว ช่องว่างที่หลังคานั้นถ้าฝนตก น้ำก็ไหลเข้ามาบ้านเราบ้านเดียวเลย เพราะเราทำเสร็จแล้ว และทำตามที่ตกลงกนไว้ตอนแรก แต่ตอนนี้บ้านเรากลับได้รับผลกระทบอะ
แค่การกั้นผนัง และปล่อยหลังคาบ้านให้เราได้รับผลกระทบที่ไม่ดีเราก็โอเคนะ เราก็แค่หาช่างมาทำให้บ้านเราดีก็พอ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ เพื่อนบ้านตัดสติ๊กเกอร์คำว่า " Selfish" และพ่นด้วยสีเมทาลิค ที่แผ่นกระดานที่จะใช้ตีผนังกั้นบ้านขอเรากับเขา จำนวน 4 แผ่น และทำการปิดผนังด้วยแผ่นไม้เหล่านั้น ให้คำๆนั้นหันมาทางบ้านเราให้บ้านเรามองเห็น (4 แผน นะคะ ไม่ใช่แผ่นเดียว) เพื่อบ้านทำงานเสร็จตั้งแต่วันจันทร์ เรากลับบ้านมาก็ดึกแล้ว เราเลยไม่ได้สังเกตุผนังที่เขากั้นนั้น จนตอนเช้า เราก็แต่งตัวจะออกไปทำงาน น้องเราเป็นคนเห็นคำนั้นก่อนจึงเรียกเราออกมาดู เพราะเเฟนไปทำงงานที่ญี่ปุ่นน้องเลยต้องมานอนเป็นเพื่อน วันนั้นเราประหลาดใจมาก ว่าทำไม่ถึงเกินเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คือเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราทำอะไรให้เพื่อนบ้านไม่พอใจ เขาถึงได้ทำอะไรแบบนี้ เพราะเช้าเราก็ไปทำงาน ดึกๆถึงจะกลับ เราก็ไม่เคยทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ไม่เคยส่งเสียงดัง หรือต่อเติมบ้านในเวลาที่โครงการเขาห้าม หรือก่อนทำเราก็เดินไปกดกริ่งบ้านเพื่อนบ้าน ทุกครั้งที่จะทำ เช่น วันนั้นมันเป็นวันอาทิตย์ เวลา 16.00 น. เราจะเจาะผนังติดราวแขวนผ้าที่ื้ซื้อมา เราก็บอกเพื่อนบ้านตลอด
ต่อค่ะ กลับมาเรื่องเดิม เช้าวันนั้นหลังจากเราเจอข้อความเหล่านั้น เราตัดสินใจลางาน เพื่อดำเนินการอะไรก็แล้วแต่เพื่อรักษาสิทธิของเรา เราเริ่มจากไปทำสำนักงานเขตเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบว่า สิ่งปลูกสร้างของเพื่อนบ้านนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อบ้านเราตามที่เราคิดหรือไม่ และกำลังจะไปแจ้งความเรื่องข้อความหมิ่นประมาทนั้น พอดีขับรถไปยังไม่ถึงสถานีตำรวจเลย ทืางเจ้าหน้าที่โครงการก็โทรแจ้งเราว่า เพื่อบ้านกลับมาที่บ้านแล้ว จะเข้าไปคุยไหม เราเลยตัดสินใจกลับบ้านเพื่อไปคุยกับเพื่อนบ้าน เราเจอเพื่อนบ้าน ผู้ชายกำลังต่อเติมบ้านเช่นเคย ส่วนผู้หญิงก็อยู่ที่ทำงาน
เราเริ่มคุยเรื่องรอยเปื้อนที่เกิดขึ้นหลังเพื่อบ้านต่อเติมเสร็จซึ่งเขาควรจะทำความความสะอาดให้เรา แต่เขาไม่ทำ อันนั้นเรายังไม่รวมรอยที่ช่างแอร์ทำผนังบ้านเราเปื้อนตั้งแต่ตอนติดตั้งแอร์นะ เราคิดว่าเล็กน้อยเราก็ปล่อยไป หลังจากติดตั้งแอร์ บ้านเพื่อนบ้านไม่ได้ต่อท่อลงมาข้างล่าง เขาให้น้ำหยดจาก Compresser เลย และน้ำนั้นก็ไหลเข้ามาในเขตบ้านเรา เราก็เฉยไม่ด้บอกกล่าวใดใด เพราะเรารู้ว่าเดี๋ญวเพื่อนบ้านก็ทำหลังคา แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร เราคุยกับแฟนว่า ถ้าน้ำไหลเข้ามาแบบนี้ทุกวัน จนมีตะไคร่น้ำขึ้น แล้วเพื่อนบ้านยังไม่ทำหลังคา เราถึงจะบอกเขา แต่ก็โอเคแหละไม่มีตะไคร่ เพื่อนบ้านทำหลังคาซะก่อน เราก็จบไป กลับเข้าเรื่องอีกครั้ง หลังจากแจ้งเรื่องรอยสกปรกต่างๆ เพื่อนบ้านก็บอกจะแก้ไขให้ เราเลยถามเรื่องข้อความต่อ เดี๋ญวจะทำเป็นไทม์ไลน์ดีกว่าจะได้อ่านง่าย เริ่มเลยละกันค่ะ
เรา : พี่คะรอยเปื้อนพี่จะเก็บงานให้เมื่อไรคะ
เพื่อนบ้าน : เดี๋ยวเก็บให้
เรา : เมื่อไรคะ
เพื่อนบ้าน : วันนี้แหละ อยู่บ้านไหมหละ
เรา : อยู่ ทำวันนี้เลยนะคะ
เพื่อนบ้าน : ตอนเย็นนะ เดี๋ญวจะกลับไปทำงาน เย็นจะมาทำให้
เรา : โอเค
เรา : แล้วเรื่องข้อความนั้นละคะ หมายความว่าอย่างไร คืออะไร เราทำอะไรให้ไม่พอใจหรอ
เพื่อนบ้าน : ไม่รู้
เรา : ไม่รู้ได้ไง มันมาจากผนังบ้านพี่ที่จงใจหันมาว่าเรา
เพื่อนบ้าน : ไม่ได้ทำ
เรา : ไม่ได้ทำได้ไง แล้วใครทำ
เพื่อนบ้าน : คุยกับเขาเอง
เรา : เขาคือใครคะ
เพื่อนบ้าน : ผู้หญิง (เมียเพื่อนบ้านค่ะ) เขาโกรธมาก
เรา : โกรธเรื่องอะไรคะ
เพื่อนบ้าน : คืออะไรนักหนา กฏระเบียบบ้า บอ ที่โครงการตั้งขึ้นมาเนี่ย ทำให้เกิดการร้องเรียนขึ้นเนี่ย ถ้าขายบ้านได้นะ จะขายและไม่อยากอยู่แล้วเนี่ย รำคาญ บ้านคุณอะร้องเรียนบ้านผทหลายครั้งแล้วเนี่ยไอ่เรื่องต่อเติมเนี่ย ผมซื้อบ้านราคาขนาดนี้ ไม่มีสิทธิทำอะไรเลยหรอ ถ้าไม่ให้ทำ ทำไมไม่ทำมาให้เรียบร้อยวะ ผมบอกเลยนะว่าเงินผมไม่พอที่จะจ้างช่าง อะไรที่ผมทำเองได้ ผมก็พยายามทำ แต่ผมต้องทำงานผมไม่มีเวลา ผทก็ต้องทำหลังเลิกงาน หรือเสาร์-อาทิตย์ แล้วจะมาร้องเรียนอะไรนักหนานตั้ง 2-3 ครั้ง ( เจ้าของกระทู้ขออธิบายนิดนึงนะคะว่าเขาต่อเติมบ้าน เสียงดัง ถึง 21.30 น. ติดต่อกันหลายวัน โดยไม่เคยบอกเราเลย เดินมาบอกเราก็ได้ เราก็เพื่อนบ้านกัน)
เรา : พี่คะ ไอ่เรื่องร้องเรียนอะ เราร้องเรียนพี่แค่ครั้งเดียวนะคะ คือวันเสาร์ ตอน 19.30 น. อีก 2 ครั้ง เราไม่ได้เป็นคนร้องเรียนค่ะ
เพื่อนบ้าน : แล้วทำไมไม่เดินมาบอกดีดี ไปแจ้งคนอื่นทำไม ไปแจ้งโครงการทำไม
เรา : พี่คะ พี่ต่อเติมบ้านในยามวิกาล พี่ยังไม่มาบอกเราเลย ถ้าพี่โกรธที่เราเป็นเพื่อนบ้านกัน คุยกัน ทำไมพี่ไม่เคยแคร์เราเลยคะ ว่าจะเสียงดังมาบ้านเราหรือเปล่า
เพื่อนบ้าน : ผมทำในบ้านนะ และเสียงมันก็ก้องอยู่ในห้อง ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะดังมาบ้านคุณ ถ้ามันดังคุณก็เดินมาบอกสิ ผมจะได้หยุด
เรา : พี่คะ เอาเป็นว่า เราขอโทษละกันนะคะ เรื่องแจ้งนิติให้มาบอกพี่ให้พี่เลิกทำเสียงดัง แต่พี่ก็ไม่เคยมาบอกเรา เพื่อนบ้านกันจะทำอะไรที่เกิดเสียง พี่ก็ต้องมาบอกเราบ้าง และการขอโทษนี้ ขอโทษแค่กรณีแจ้ง นิติ แค่ 1 ครั้งนะคะ ที่เหลือที่พี่โกนร้องเรียนนั้น เราไม่รับค่ะ เพราะเราไม่ได้ทำ
เพื่อนบ้าน : เนี่ยถ้าคุฯเดินมาคุยแบบนี้แต่แรกก็ไม่มีเรื่องหรอก เอาเป็นว่า เรื่องข้อความนี้รอคุยกับแฟนตอนเย็นละกันนะ เพราะเขาโกรธมาก ผมก็ห้ามแล้ว
เรา : อืม และเดินกลับบ้าน
เราก็คิดนะว่า เขาคิดแต่เข้าข้างตัวเอง เขาตำหนิเราว่า เป็นเพื่อนบ้านกัน คุยกัน ทำไมต้องแจ้งนิติให้ดำเนินการมาบอกเขา ทำไมเราไม่เดินมาบอกเอง เราก็คิดว่า คุณเป็นเพื่อนบ้าน ทำไมคุณทำอะไรไม่บอกเรา คุณเจาะบ้าน ทำเสียงดังในยามวิกาล ติดต่อกันหลายวัน และไม่เคยที่จะเดินมาบอกเราเลย เราไม่รู้ว่าคุณคิดอะไร คุณถึงไม่บอกเรา เราจะกล้าเดินไปบอกคุณเองหรอ แล้วยังมาด่าเราว่าเห็นแก่ตัวอีก
เรารอเพื่อนบ้านเลิกงานจนถึง 18.30 น. เพื่อนบ้านกลับมาถึงบ้านตั้งแต่ 17.30 น. ไม่มีใครมากดกริ่งบ้านเราเพื่อเจรจา หรือขอแก้ไขรอยสกปรกที่ีทิ้งไว แฟนเราโทรมาจากญี่ปุ่น เราก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง แฟนเราเลยบอกให้เราล็อคบ้าน และไม่ต้องคุยกับเพื่อนบ้านแล้ว เราไม่ต้องเดินไปเพื่อไกล่เกลี่ยแล้ว เราทำดีที่สุดแล้ว เขาไม่เคยมาเจรจาข้อพิพาทนี้กับเราเลย มีแต่เราที่เดินเข้าไปหาเขา แฟนให้เราหยุดทุกอย่างและอยู่เฉยๆ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาดีกันแล้วเพราะแฟนคิดว่า ตั้งแต่ย้ายเข้ามา เขาเป็นฝ่ายพึ่งพาเรามาตลอด กับครั้งนี้พึ่งพาเราไม่ได้ก็มาโกรธเรา คงไม่ใช่เราหรอกที่เห็นแก่ตัว ความจริงก็คือความจริง เวลาจะพิสูทเองว่าเราเปผ็นคนแบบนั้นจริงหรือไม่ ต่อให้เขาไปโฆษณาให้เพื่อนบ้านคนอื่นๆ เกียจเรา เเต่เชื่อเหอะเขาคงไม่ได้เชื่อ 100 % เขาก็อาจจะแค่จับตาดูเรา และเป็นการดีซะอีกที่เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นยังไง เขาพึ่งพาเรา และยังมาว่าเราแบบนี้ เราเดินเข้าไปคุยเพื่อปรับความเข้าใจ เขาก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเราเลย ตอนต่อเติมบ้าน บันไดก็มายืมบ้านเราม หลังคาบ้านก็มาขอต่อเรา, รอยเปื้อนเราก็ไม่ได้ว่าอะไร, รอยน้ำแอร์เราก็ไม้ได้ว่าอะไร, เสียงดังหลายวัน ดึกๆ เสาร์-อาทิตย์ เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จนเราเกิดการสงสัยว่า ทำมานานแล้วจะเสร็จเมื่อไร ทำไมไม่บอกเราบ้าน เพราะเราคือบ้านที่ได้รับผลกระทบ เราก็แค่ให้เจ้าหน้าที่ ไปแจ้งว่าเสียงดัง และถามว่าจะทำถึงเมื่อไร แค่นั้น... ส่วนบ้านเพื่อนบ้านนั้น ร้องเรียนเพื่อบ้านคนอื่นๆ เขาไปทั่ว และอ้างว่าตัวเองไม่สบาย เช่น เรื่องเพื่อนบ้านจัดงานเลี้ยงปีใหม่คุยกันเสียงดัง, มีเพื่อนบ้านจอดรถที่ช่องกลับรถของซอยบ้าน อะไรพวกนี้ ตัวเองยังร้องเรียนเพื่อนบ้านเลย แล้วพอตัวเองโดนร้องเรียนทำเป็นรับไม่ได้ แถมคิดเองเออเองว่าบ้านเราร้องเรียนตัวเองหลายรอบ โดยการสันนิฐานว่า เสียงดังนี้อะมันไม่ได้ยินถึงบ้านอื่นหรอก อย่างมากก็แค่บ้านของเจ้าของกระทู้ แล้วจะเป็นใครไปได้... ดูความคิด เราโดยกล่าวหา ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าจริงหรือเปล่า และเราก็ไม่รู้อีกว่า เขาเอาความคิดของเขาไปพูดกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ให้เข้าใจเราผิดด้วยหรือไม่.... เอาวะ เวลาจะพิสูจน์เอง
เรื่องก็ประมาณนี้ จากสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดทั้งมวล เราเป็น "Selfish Person" อย่างที่เขาเข้าใจจริงๆ หรอ
เรื่องราวที่เกิดขึ้น บ้านเรามีนิสัยเห็นแก่ตัวจริงๆ หรือไม่ อยากให้ทุกคนช่วยตัดสิน โดยที่ไม่ต้องเข้าข้างใคร
ตั้งแต่ย้านเข้าไปอยู่เรากับเพื่อบ้านก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะคะ แต่พออยู่ไปสักพักเราต่างคนต่างทำงงานเลยไม่ได้ทักทายกันอย่างแต่ก่อน เพราะไม่ค่อยได้เจอกัน เรากับเพื่อบ้านคุยกันว่าจะไม่กั้นเขตที่รั้วที่ใช้แบ่งเขตบ้านเราทั้งคู่เพราะไม่อยากให้บ้านมืดและทึบ แต่อยู่ดีดีเพื่อบ้านก็กั้นเฉยเลยโดนที่ไม่บอกเราสักคำ ทั้งที่การต่อเติมหลังบ้าน เพื่อบ้านมาขอเอากระเบื้องซ้อนทับกระเบื้องบ้านเราเพราะเขาบอกว่าไม่อยากให้น้ำรั่ว เราก็โอเค ซ้อนเลย เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนหน้าบ้านที่จะต่อเติมในอนาคตก็จะต้องซ้อนกระเบื้องแบบนี้เช่นกัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ เพื่อนบ้านก็มาตั้งโครงหลังคาที่รั้วและไม่เอากระเบื้องมาซ้อนบ้านเราอย่างที่คุยกันไว้ และน้ำก็จะต้องไหลเข้าบ้านเราอยู่ฝั่งเดียวเพราะบ้านเพื่อนบ้านนั้นตีฝาทึบปิดกั้นบ้านเราไปหมดแล้ว ช่องว่างที่หลังคานั้นถ้าฝนตก น้ำก็ไหลเข้ามาบ้านเราบ้านเดียวเลย เพราะเราทำเสร็จแล้ว และทำตามที่ตกลงกนไว้ตอนแรก แต่ตอนนี้บ้านเรากลับได้รับผลกระทบอะ
แค่การกั้นผนัง และปล่อยหลังคาบ้านให้เราได้รับผลกระทบที่ไม่ดีเราก็โอเคนะ เราก็แค่หาช่างมาทำให้บ้านเราดีก็พอ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ เพื่อนบ้านตัดสติ๊กเกอร์คำว่า " Selfish" และพ่นด้วยสีเมทาลิค ที่แผ่นกระดานที่จะใช้ตีผนังกั้นบ้านขอเรากับเขา จำนวน 4 แผ่น และทำการปิดผนังด้วยแผ่นไม้เหล่านั้น ให้คำๆนั้นหันมาทางบ้านเราให้บ้านเรามองเห็น (4 แผน นะคะ ไม่ใช่แผ่นเดียว) เพื่อบ้านทำงานเสร็จตั้งแต่วันจันทร์ เรากลับบ้านมาก็ดึกแล้ว เราเลยไม่ได้สังเกตุผนังที่เขากั้นนั้น จนตอนเช้า เราก็แต่งตัวจะออกไปทำงาน น้องเราเป็นคนเห็นคำนั้นก่อนจึงเรียกเราออกมาดู เพราะเเฟนไปทำงงานที่ญี่ปุ่นน้องเลยต้องมานอนเป็นเพื่อน วันนั้นเราประหลาดใจมาก ว่าทำไม่ถึงเกินเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คือเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราทำอะไรให้เพื่อนบ้านไม่พอใจ เขาถึงได้ทำอะไรแบบนี้ เพราะเช้าเราก็ไปทำงาน ดึกๆถึงจะกลับ เราก็ไม่เคยทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ไม่เคยส่งเสียงดัง หรือต่อเติมบ้านในเวลาที่โครงการเขาห้าม หรือก่อนทำเราก็เดินไปกดกริ่งบ้านเพื่อนบ้าน ทุกครั้งที่จะทำ เช่น วันนั้นมันเป็นวันอาทิตย์ เวลา 16.00 น. เราจะเจาะผนังติดราวแขวนผ้าที่ื้ซื้อมา เราก็บอกเพื่อนบ้านตลอด
ต่อค่ะ กลับมาเรื่องเดิม เช้าวันนั้นหลังจากเราเจอข้อความเหล่านั้น เราตัดสินใจลางาน เพื่อดำเนินการอะไรก็แล้วแต่เพื่อรักษาสิทธิของเรา เราเริ่มจากไปทำสำนักงานเขตเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบว่า สิ่งปลูกสร้างของเพื่อนบ้านนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อบ้านเราตามที่เราคิดหรือไม่ และกำลังจะไปแจ้งความเรื่องข้อความหมิ่นประมาทนั้น พอดีขับรถไปยังไม่ถึงสถานีตำรวจเลย ทืางเจ้าหน้าที่โครงการก็โทรแจ้งเราว่า เพื่อบ้านกลับมาที่บ้านแล้ว จะเข้าไปคุยไหม เราเลยตัดสินใจกลับบ้านเพื่อไปคุยกับเพื่อนบ้าน เราเจอเพื่อนบ้าน ผู้ชายกำลังต่อเติมบ้านเช่นเคย ส่วนผู้หญิงก็อยู่ที่ทำงาน
เราเริ่มคุยเรื่องรอยเปื้อนที่เกิดขึ้นหลังเพื่อบ้านต่อเติมเสร็จซึ่งเขาควรจะทำความความสะอาดให้เรา แต่เขาไม่ทำ อันนั้นเรายังไม่รวมรอยที่ช่างแอร์ทำผนังบ้านเราเปื้อนตั้งแต่ตอนติดตั้งแอร์นะ เราคิดว่าเล็กน้อยเราก็ปล่อยไป หลังจากติดตั้งแอร์ บ้านเพื่อนบ้านไม่ได้ต่อท่อลงมาข้างล่าง เขาให้น้ำหยดจาก Compresser เลย และน้ำนั้นก็ไหลเข้ามาในเขตบ้านเรา เราก็เฉยไม่ด้บอกกล่าวใดใด เพราะเรารู้ว่าเดี๋ญวเพื่อนบ้านก็ทำหลังคา แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร เราคุยกับแฟนว่า ถ้าน้ำไหลเข้ามาแบบนี้ทุกวัน จนมีตะไคร่น้ำขึ้น แล้วเพื่อนบ้านยังไม่ทำหลังคา เราถึงจะบอกเขา แต่ก็โอเคแหละไม่มีตะไคร่ เพื่อนบ้านทำหลังคาซะก่อน เราก็จบไป กลับเข้าเรื่องอีกครั้ง หลังจากแจ้งเรื่องรอยสกปรกต่างๆ เพื่อนบ้านก็บอกจะแก้ไขให้ เราเลยถามเรื่องข้อความต่อ เดี๋ญวจะทำเป็นไทม์ไลน์ดีกว่าจะได้อ่านง่าย เริ่มเลยละกันค่ะ
เรา : พี่คะรอยเปื้อนพี่จะเก็บงานให้เมื่อไรคะ
เพื่อนบ้าน : เดี๋ยวเก็บให้
เรา : เมื่อไรคะ
เพื่อนบ้าน : วันนี้แหละ อยู่บ้านไหมหละ
เรา : อยู่ ทำวันนี้เลยนะคะ
เพื่อนบ้าน : ตอนเย็นนะ เดี๋ญวจะกลับไปทำงาน เย็นจะมาทำให้
เรา : โอเค
เรา : แล้วเรื่องข้อความนั้นละคะ หมายความว่าอย่างไร คืออะไร เราทำอะไรให้ไม่พอใจหรอ
เพื่อนบ้าน : ไม่รู้
เรา : ไม่รู้ได้ไง มันมาจากผนังบ้านพี่ที่จงใจหันมาว่าเรา
เพื่อนบ้าน : ไม่ได้ทำ
เรา : ไม่ได้ทำได้ไง แล้วใครทำ
เพื่อนบ้าน : คุยกับเขาเอง
เรา : เขาคือใครคะ
เพื่อนบ้าน : ผู้หญิง (เมียเพื่อนบ้านค่ะ) เขาโกรธมาก
เรา : โกรธเรื่องอะไรคะ
เพื่อนบ้าน : คืออะไรนักหนา กฏระเบียบบ้า บอ ที่โครงการตั้งขึ้นมาเนี่ย ทำให้เกิดการร้องเรียนขึ้นเนี่ย ถ้าขายบ้านได้นะ จะขายและไม่อยากอยู่แล้วเนี่ย รำคาญ บ้านคุณอะร้องเรียนบ้านผทหลายครั้งแล้วเนี่ยไอ่เรื่องต่อเติมเนี่ย ผมซื้อบ้านราคาขนาดนี้ ไม่มีสิทธิทำอะไรเลยหรอ ถ้าไม่ให้ทำ ทำไมไม่ทำมาให้เรียบร้อยวะ ผมบอกเลยนะว่าเงินผมไม่พอที่จะจ้างช่าง อะไรที่ผมทำเองได้ ผมก็พยายามทำ แต่ผมต้องทำงานผมไม่มีเวลา ผทก็ต้องทำหลังเลิกงาน หรือเสาร์-อาทิตย์ แล้วจะมาร้องเรียนอะไรนักหนานตั้ง 2-3 ครั้ง ( เจ้าของกระทู้ขออธิบายนิดนึงนะคะว่าเขาต่อเติมบ้าน เสียงดัง ถึง 21.30 น. ติดต่อกันหลายวัน โดยไม่เคยบอกเราเลย เดินมาบอกเราก็ได้ เราก็เพื่อนบ้านกัน)
เรา : พี่คะ ไอ่เรื่องร้องเรียนอะ เราร้องเรียนพี่แค่ครั้งเดียวนะคะ คือวันเสาร์ ตอน 19.30 น. อีก 2 ครั้ง เราไม่ได้เป็นคนร้องเรียนค่ะ
เพื่อนบ้าน : แล้วทำไมไม่เดินมาบอกดีดี ไปแจ้งคนอื่นทำไม ไปแจ้งโครงการทำไม
เรา : พี่คะ พี่ต่อเติมบ้านในยามวิกาล พี่ยังไม่มาบอกเราเลย ถ้าพี่โกรธที่เราเป็นเพื่อนบ้านกัน คุยกัน ทำไมพี่ไม่เคยแคร์เราเลยคะ ว่าจะเสียงดังมาบ้านเราหรือเปล่า
เพื่อนบ้าน : ผมทำในบ้านนะ และเสียงมันก็ก้องอยู่ในห้อง ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะดังมาบ้านคุณ ถ้ามันดังคุณก็เดินมาบอกสิ ผมจะได้หยุด
เรา : พี่คะ เอาเป็นว่า เราขอโทษละกันนะคะ เรื่องแจ้งนิติให้มาบอกพี่ให้พี่เลิกทำเสียงดัง แต่พี่ก็ไม่เคยมาบอกเรา เพื่อนบ้านกันจะทำอะไรที่เกิดเสียง พี่ก็ต้องมาบอกเราบ้าง และการขอโทษนี้ ขอโทษแค่กรณีแจ้ง นิติ แค่ 1 ครั้งนะคะ ที่เหลือที่พี่โกนร้องเรียนนั้น เราไม่รับค่ะ เพราะเราไม่ได้ทำ
เพื่อนบ้าน : เนี่ยถ้าคุฯเดินมาคุยแบบนี้แต่แรกก็ไม่มีเรื่องหรอก เอาเป็นว่า เรื่องข้อความนี้รอคุยกับแฟนตอนเย็นละกันนะ เพราะเขาโกรธมาก ผมก็ห้ามแล้ว
เรา : อืม และเดินกลับบ้าน
เราก็คิดนะว่า เขาคิดแต่เข้าข้างตัวเอง เขาตำหนิเราว่า เป็นเพื่อนบ้านกัน คุยกัน ทำไมต้องแจ้งนิติให้ดำเนินการมาบอกเขา ทำไมเราไม่เดินมาบอกเอง เราก็คิดว่า คุณเป็นเพื่อนบ้าน ทำไมคุณทำอะไรไม่บอกเรา คุณเจาะบ้าน ทำเสียงดังในยามวิกาล ติดต่อกันหลายวัน และไม่เคยที่จะเดินมาบอกเราเลย เราไม่รู้ว่าคุณคิดอะไร คุณถึงไม่บอกเรา เราจะกล้าเดินไปบอกคุณเองหรอ แล้วยังมาด่าเราว่าเห็นแก่ตัวอีก
เรารอเพื่อนบ้านเลิกงานจนถึง 18.30 น. เพื่อนบ้านกลับมาถึงบ้านตั้งแต่ 17.30 น. ไม่มีใครมากดกริ่งบ้านเราเพื่อเจรจา หรือขอแก้ไขรอยสกปรกที่ีทิ้งไว แฟนเราโทรมาจากญี่ปุ่น เราก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง แฟนเราเลยบอกให้เราล็อคบ้าน และไม่ต้องคุยกับเพื่อนบ้านแล้ว เราไม่ต้องเดินไปเพื่อไกล่เกลี่ยแล้ว เราทำดีที่สุดแล้ว เขาไม่เคยมาเจรจาข้อพิพาทนี้กับเราเลย มีแต่เราที่เดินเข้าไปหาเขา แฟนให้เราหยุดทุกอย่างและอยู่เฉยๆ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาดีกันแล้วเพราะแฟนคิดว่า ตั้งแต่ย้ายเข้ามา เขาเป็นฝ่ายพึ่งพาเรามาตลอด กับครั้งนี้พึ่งพาเราไม่ได้ก็มาโกรธเรา คงไม่ใช่เราหรอกที่เห็นแก่ตัว ความจริงก็คือความจริง เวลาจะพิสูทเองว่าเราเปผ็นคนแบบนั้นจริงหรือไม่ ต่อให้เขาไปโฆษณาให้เพื่อนบ้านคนอื่นๆ เกียจเรา เเต่เชื่อเหอะเขาคงไม่ได้เชื่อ 100 % เขาก็อาจจะแค่จับตาดูเรา และเป็นการดีซะอีกที่เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นยังไง เขาพึ่งพาเรา และยังมาว่าเราแบบนี้ เราเดินเข้าไปคุยเพื่อปรับความเข้าใจ เขาก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเราเลย ตอนต่อเติมบ้าน บันไดก็มายืมบ้านเราม หลังคาบ้านก็มาขอต่อเรา, รอยเปื้อนเราก็ไม่ได้ว่าอะไร, รอยน้ำแอร์เราก็ไม้ได้ว่าอะไร, เสียงดังหลายวัน ดึกๆ เสาร์-อาทิตย์ เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จนเราเกิดการสงสัยว่า ทำมานานแล้วจะเสร็จเมื่อไร ทำไมไม่บอกเราบ้าน เพราะเราคือบ้านที่ได้รับผลกระทบ เราก็แค่ให้เจ้าหน้าที่ ไปแจ้งว่าเสียงดัง และถามว่าจะทำถึงเมื่อไร แค่นั้น... ส่วนบ้านเพื่อนบ้านนั้น ร้องเรียนเพื่อบ้านคนอื่นๆ เขาไปทั่ว และอ้างว่าตัวเองไม่สบาย เช่น เรื่องเพื่อนบ้านจัดงานเลี้ยงปีใหม่คุยกันเสียงดัง, มีเพื่อนบ้านจอดรถที่ช่องกลับรถของซอยบ้าน อะไรพวกนี้ ตัวเองยังร้องเรียนเพื่อนบ้านเลย แล้วพอตัวเองโดนร้องเรียนทำเป็นรับไม่ได้ แถมคิดเองเออเองว่าบ้านเราร้องเรียนตัวเองหลายรอบ โดยการสันนิฐานว่า เสียงดังนี้อะมันไม่ได้ยินถึงบ้านอื่นหรอก อย่างมากก็แค่บ้านของเจ้าของกระทู้ แล้วจะเป็นใครไปได้... ดูความคิด เราโดยกล่าวหา ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าจริงหรือเปล่า และเราก็ไม่รู้อีกว่า เขาเอาความคิดของเขาไปพูดกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ให้เข้าใจเราผิดด้วยหรือไม่.... เอาวะ เวลาจะพิสูจน์เอง
เรื่องก็ประมาณนี้ จากสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดทั้งมวล เราเป็น "Selfish Person" อย่างที่เขาเข้าใจจริงๆ หรอ