ฉันเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงฉลองการแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งจะมาตัดสินใจแต่งงานตอนอายุ 35 แต่ก็คงไม่ค่อยแปลกสักเท่าไหร่น่ะ เพราะฝรั่งถือว่าผู้ชายนั้นชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุสามสิบห้า งานนี้จีงเป็นงานแต่งงานของเพื่อนในกลุ่มที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในระยะหลังๆ สืบเนื่องมาจากเพื่อนหลายๆคนได้ตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวไปก่อนหน้านี้แล้ว งานเลี้ยงคืนนี้จึงเสหมือนเป็นงานเลี้ยงรุ่นกลายๆ ที่ใครๆในรุ่นต่างก็แห่มาร่วมฉลองและยินดีกับความสุขของเพื่อน หรือบางที่อาจเพราะคิดว่านี่คงเป็นงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของเพื่อนคนสุดท้ายในรุ่นแล้วก็ได้
เพื่อนๆที่มาร่วมในงานส่วนใหญ่ก็จะมาพร้อมกับคนรักของตน แต่สำหรับฉันก็ยังคงต้องไปไหนต่อไหนคนเดียว และยังคงเป็นที่สนใจของผองเพื่อนว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้ฤกษ์ร่วมหอลงโรงกับใครสักคนเสียที แต่ฉันก็ยังคงเป็นฉันไม่ว่าวันไหนๆ ไม่ว่าหัวใจจะแห้งแล้งโดดเดี่ยวอย่างไร ก็ไม่เคยลังเลที่จะเชิดหน้าตอบใครๆด้วยท่วงท่าที่งามสง่าและมาดมั่นพร้อมรอยยิ้มสวย ว่าฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ก็ดีและมีสุขมากพอแล้ว ฉันกำหนดและจัดการกับสุขหรือทุกข์ของตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือขอแบ่งปันจากใครๆ
แต่ถ้ามีใครสักคนเป็นผู้วิเศษที่สามารถหยั่งรู้จิตใจใครอื่นได้ เขาคงได้เห็นว่าหัวใจของฉันกำลังร้องไห้
ในวัยสาวน้อยช่างฝันฉันก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วๆไปที่เคยวาดภาพตัวเองเป็นเจ้าสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ งดงามราวเทพธิดาเคียงข้างชายคนรักที่งามสง่าปานประดุจเทพบุตร แต่เพราะชีวิตไม่อาจเป็นได้ดังฝันไปเสียทุกอย่าง ภาพเจ้าสาวแสนสวยภาพนั้นจึงเป็นได้แค่เพียงภาพฝันสีซีดจาง เลือนลางอยู่ในซอกมุมของความทรงจำ
อีกไม่กี่วันฉันก็จะอายุครบสามสิบห้า แต่คำนำหน้าชื่อฉันก็ยังคงเป็นนางสาว แม้ว่ามันจะไม่ค่อยเต็มภาคภูมิสักเท่าไหร่ ก็ในชีวิตที่กว่าฉันจะเดินมาถึงวันนี้นั้นฉันได้เดินทางผ่านความรักมาแล้วมากมายหลายครั้งกับหลายคน แม้บางครั้งกับบางคนจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกฉาบฉวยที่เรียกว่ารัก แต่ฉันก็มีคนที่ฉันรักลึกซึ้งและเกินเลย แต่สุดท้ายความรักสำหรับฉันก็เป็นได้แค่เพียงสายลมที่พัดผ่านรู้สึกได้ว่าฉ่ำเย็นแต่ครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ ฉันไม่อาจเก็บความรักครั้งไหนๆกับใครๆไว้ได้ และทุกครั้งที่ความรักเดินทางมาถึงจุดที่ต้องจากลา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันจะไม่เสียใจ แต่ที่ไม่เคยมีใครเห็นฉันร้องไห้คร่ำครวญก็เพราะฉันก็คือฉันที่ไม่อาจอวดน้ำตากับใครๆเพื่อแลกคำปลอบใจมาทดแทน
บ่อยครั้งที่ฉันนั่งเงียบๆในมุมมืดๆคุยกับตัวเอง ถามไถ่ถึงเหตุและผลที่ทำให้ความรักต้องลงเอยด้วยการร่ำลา ฉันพบว่าเหตุนั้นเป็นเพราะฉันเสียส่วนใหญ่ ฉันที่เชื่อมั่นและทนงในตนเองเสียมากมาย มันมากเสียจนทำให้ฉันไม่เคยเชื่อมั่นและศรัทธาในคนอื่น ฉันที่ภาคภูมิในสิ่งที่ฉันมีและฉันเป็นจนไม่เคยมองเห็นความสำคัญของคนอื่น ฉันที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครๆ แต่กลับคาดหวังให้ใครๆยอมเปลี่ยนแปลงไปตามใจฉัน
หัวใจของฉันอาจจะโกหกใครๆทั้งโลกได้ แต่โกหกตัวเองไม่สำเร็จ เพราะทุกคืนค่ำที่ฉันซบหน้าลงกับหมอนนอนฟังเสียงหัวใจร้องไห้เพราะอ่อนไหว ความอ่อนไหวในหัวใจผู้หญิงที่ยังคงต้องการความรักมาหล่อเลี้ยงหัวใจ อยากมีใครสักคนมาเติมเต็มในบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไป ต้องการใครสักคนที่พร้อมนั่งลงฟังทุกเรื่องราวแล้วหัวเราะหรือร้องไห้ไปพร้อมๆกัน แม้ในเช้าวันหนึ่งของคืนที่ฝันร้ายก็อยากให้มีใครสักคนกอดปลอบฝันและบอกกับฉันอย่างอบอุ่นและอ่อนโยนว่าไม่เป็นไรแค่เพียงฝันไป.....
ทุ่งดอกไม้ในหัวใจของฉันมันเหี่ยวเฉาโรยราไปนานแล้ว และเวลาสำหรับการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนมันคงไม่มีอีกแล้ว ….
ความในใจ
เพื่อนๆที่มาร่วมในงานส่วนใหญ่ก็จะมาพร้อมกับคนรักของตน แต่สำหรับฉันก็ยังคงต้องไปไหนต่อไหนคนเดียว และยังคงเป็นที่สนใจของผองเพื่อนว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้ฤกษ์ร่วมหอลงโรงกับใครสักคนเสียที แต่ฉันก็ยังคงเป็นฉันไม่ว่าวันไหนๆ ไม่ว่าหัวใจจะแห้งแล้งโดดเดี่ยวอย่างไร ก็ไม่เคยลังเลที่จะเชิดหน้าตอบใครๆด้วยท่วงท่าที่งามสง่าและมาดมั่นพร้อมรอยยิ้มสวย ว่าฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ก็ดีและมีสุขมากพอแล้ว ฉันกำหนดและจัดการกับสุขหรือทุกข์ของตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือขอแบ่งปันจากใครๆ
แต่ถ้ามีใครสักคนเป็นผู้วิเศษที่สามารถหยั่งรู้จิตใจใครอื่นได้ เขาคงได้เห็นว่าหัวใจของฉันกำลังร้องไห้
ในวัยสาวน้อยช่างฝันฉันก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วๆไปที่เคยวาดภาพตัวเองเป็นเจ้าสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ งดงามราวเทพธิดาเคียงข้างชายคนรักที่งามสง่าปานประดุจเทพบุตร แต่เพราะชีวิตไม่อาจเป็นได้ดังฝันไปเสียทุกอย่าง ภาพเจ้าสาวแสนสวยภาพนั้นจึงเป็นได้แค่เพียงภาพฝันสีซีดจาง เลือนลางอยู่ในซอกมุมของความทรงจำ
อีกไม่กี่วันฉันก็จะอายุครบสามสิบห้า แต่คำนำหน้าชื่อฉันก็ยังคงเป็นนางสาว แม้ว่ามันจะไม่ค่อยเต็มภาคภูมิสักเท่าไหร่ ก็ในชีวิตที่กว่าฉันจะเดินมาถึงวันนี้นั้นฉันได้เดินทางผ่านความรักมาแล้วมากมายหลายครั้งกับหลายคน แม้บางครั้งกับบางคนจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกฉาบฉวยที่เรียกว่ารัก แต่ฉันก็มีคนที่ฉันรักลึกซึ้งและเกินเลย แต่สุดท้ายความรักสำหรับฉันก็เป็นได้แค่เพียงสายลมที่พัดผ่านรู้สึกได้ว่าฉ่ำเย็นแต่ครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ ฉันไม่อาจเก็บความรักครั้งไหนๆกับใครๆไว้ได้ และทุกครั้งที่ความรักเดินทางมาถึงจุดที่ต้องจากลา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันจะไม่เสียใจ แต่ที่ไม่เคยมีใครเห็นฉันร้องไห้คร่ำครวญก็เพราะฉันก็คือฉันที่ไม่อาจอวดน้ำตากับใครๆเพื่อแลกคำปลอบใจมาทดแทน
บ่อยครั้งที่ฉันนั่งเงียบๆในมุมมืดๆคุยกับตัวเอง ถามไถ่ถึงเหตุและผลที่ทำให้ความรักต้องลงเอยด้วยการร่ำลา ฉันพบว่าเหตุนั้นเป็นเพราะฉันเสียส่วนใหญ่ ฉันที่เชื่อมั่นและทนงในตนเองเสียมากมาย มันมากเสียจนทำให้ฉันไม่เคยเชื่อมั่นและศรัทธาในคนอื่น ฉันที่ภาคภูมิในสิ่งที่ฉันมีและฉันเป็นจนไม่เคยมองเห็นความสำคัญของคนอื่น ฉันที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครๆ แต่กลับคาดหวังให้ใครๆยอมเปลี่ยนแปลงไปตามใจฉัน
หัวใจของฉันอาจจะโกหกใครๆทั้งโลกได้ แต่โกหกตัวเองไม่สำเร็จ เพราะทุกคืนค่ำที่ฉันซบหน้าลงกับหมอนนอนฟังเสียงหัวใจร้องไห้เพราะอ่อนไหว ความอ่อนไหวในหัวใจผู้หญิงที่ยังคงต้องการความรักมาหล่อเลี้ยงหัวใจ อยากมีใครสักคนมาเติมเต็มในบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไป ต้องการใครสักคนที่พร้อมนั่งลงฟังทุกเรื่องราวแล้วหัวเราะหรือร้องไห้ไปพร้อมๆกัน แม้ในเช้าวันหนึ่งของคืนที่ฝันร้ายก็อยากให้มีใครสักคนกอดปลอบฝันและบอกกับฉันอย่างอบอุ่นและอ่อนโยนว่าไม่เป็นไรแค่เพียงฝันไป.....
ทุ่งดอกไม้ในหัวใจของฉันมันเหี่ยวเฉาโรยราไปนานแล้ว และเวลาสำหรับการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนมันคงไม่มีอีกแล้ว ….