ในลู่วิ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งแข่งกัน ถ้าเราคือผู้ชมการแข่งขันวิ่งครั้งนี้ บางทีเราอาจจะแค่มองก็รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันวิ่งครั้งนี้โดยไม่ต้องรอให้คนที่ชนะวิ่งเข้าเส้นชัย คนตัวสูงมีกล้ามเนื้อมากย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ตัวเล็กผอมบางเสมอ…….
อยากให้ทุกคนจิตนาการมองไปที่โรงเรียนสถานศึกษาสองแห่งและเปรียบเทียบกัน โรงเรียนแห่งแรกตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีขนาดใหญ่ มีทุกอย่างพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนมีบุคลากรที่ครบเพียงพอกับการสอนนักเรียนและมีความชำนาญ มีโรงอาหารที่ดี สะอาดถูกหลักอนามัย ประชาชนผู้ปกครองต้องการคาดหวังที่จะให้บุตรของตัวเองได้เข้าไปเรียนในเรียนแห่งนี้ที่พร้อมทุกอย่างมีการสอบแข่งขันเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เข้ารับการศึกษาของโรงเรียนนี้ ไม่แปลกที่คนต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนที่ตัวเองรัก
เราลองตัดภาพไปที่โรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งตัวผมเองก็เคยศึกษาโรงเรียนที่อยู่ในชนบท ถ้าลองมองลึกเข้าไปในโครงสร้างการศึกษาของโรงเรียนนี้ แน่นอนมันเทียบไม่ได้เลยกับโรงเรียนที่ยกตัวอย่างมาในกรณีแรก ตัวผมเองได้ศึกษาอยู่โรงเรียนชนบทตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะตัดสินใจไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่อยู่ในตัวเมืองจังหวัด ผมได้พูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับโรงเรียนประถามของตนเองที่จบมา (เพื่อนจบโรงเรียนประถมที่ตั้งอยู่กลางเมือง) ภาพของโรงเรียนในทุกๆด้านมันต่างกันสิ้นเชิง แล้วตั้งคำถามในใจว่าทำไมโรงเรียนแห่งนี้ถึงได้มีทุกอย่างพร้อมต่างจากโรงเรียนชนบท ทั้งที่เราทุกคนก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน เราทุกคนควรที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกันทุกคน ตัวผมเองได้เรียน วิชาคอมพิวเตอร์ และ ภาษาอังกฤษ ตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งต่างจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันที่ได้เรียนวิชาเหล่านี้มาตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 และโรงเรียนชนบทนั้นบุคลากรไม่เพียงพอ ต้องเอาครูสอนคณิตไปเรียนภาษาไทย ต้องเอาครูสอนพละไปสอนอังกฤษซึ่งมันก็ต่างกันอีกกับโรงเรียนในกรณีแรกที่มีบุคลากรครบ โรงอาหารมีขนาดเล็กมีร้านอาหารอยู่ไม่กี่ร้าน และไม่มีการดูแลเรื่องการักษาความสะอาด
ถ้าทุกโรงเรียนมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกันภาพที่นักเรียนแย่งสอบแข่งขันเพื่อจะได้รับในเข้าในสถานศึกษานั้นๆก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จะให้ไปโทษนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนชนบทว่านักเรียนเหล่านี้จบมาแบบไม่มีคุณภาพจะไปโทษนักเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองถึงโครงสร้างของโรงเรียนตามชนบทด้วย โรงเรียนในตัวเมือง VS เรียนตามชนบท ถ้าจะให้สองโรงเรียนนี้มาอยู่ในลู่วิ่งทุกคนก็หน้าจะรู้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ
ภาพทั้งสองภาพนี้มันต่างกันทั้งๆที่มันควรจะเหมือนกันควรที่จะได้รับอะไรที่มันเท่าเทียมกัน การพัฒนาที่มันไม่เท่าเทียม มันยุติธรรมหรือไม่ ? ชนบทมันคือสิ่งที่ดำรงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีไม่ได้หมายความว่าชนบทคือสิ่งที่ล้าหลัง ชนบทควรที่จะได้รับการพัฒนาที่เท่าเทียมกับตัวเมืองไม่ใช่แค่เรืองการศึกษาแต่เป็นในทุกๆเรื่อง คนควรที่จะมีคุณภาพชีวิตที่เท่ากัน จริงอยู่ที่จะทำให้คนทุกคนเสมอภาคจะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันหมดมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสังคมไหนที่ทุกคนจะเท่าเทียมกัน แต่คนในสังคมมันควรที่จะใกล้เคียงกันที่สุด ความจริงที่มันแสนเจ็บปวด คนทุกคนเหมือนกันแต่สิ่งที่ทุกคนควรจะได้รับทำไมมันต่างกัน คำถามเหล่านี้ยังคงรอคำตอบ และต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
ต้นทุนของชีวิตของคนเราที่เกิดมามันไม่เท่ากัน บางคนเริ่มจากไม่มีอะไรเลยและทำให้พลาดโอกาสหลายๆโอกาสไป บางคนเกิดมาพร้อมกับโอกาสหลายๆอย่างอยู่รอบตัว สิ่งนี้มันยุติธรรมหรือไม่ ?
บนลู่วิ่งที่เต็มไปด้วยคนที่แข่งขันกัน บางทีอาจดูก็รู้แล้วว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของนักวิ่งมันไม่เหมือนกัน คนที่วิ่งนำไปข้างหน้าอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งกว่าแต่คนที่วิ่งนำคือคนที่พร้อมกว่าและคนดูก็หาว่าคนที่แพ้คือคนที่ยังไม่เก่งพอ คนที่แพ้ไม่ได้อยากที่จะเป็นแบบนั้น แต่คนดูต่างหากไปกำหนดว่าเขาเป็นคนที่ไม่เก่งพอ ความต่างในความเหมือนที่ได้แต่ทำใจยอมรับมัน……
ความต่างในความเหมือน
อยากให้ทุกคนจิตนาการมองไปที่โรงเรียนสถานศึกษาสองแห่งและเปรียบเทียบกัน โรงเรียนแห่งแรกตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีขนาดใหญ่ มีทุกอย่างพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนมีบุคลากรที่ครบเพียงพอกับการสอนนักเรียนและมีความชำนาญ มีโรงอาหารที่ดี สะอาดถูกหลักอนามัย ประชาชนผู้ปกครองต้องการคาดหวังที่จะให้บุตรของตัวเองได้เข้าไปเรียนในเรียนแห่งนี้ที่พร้อมทุกอย่างมีการสอบแข่งขันเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เข้ารับการศึกษาของโรงเรียนนี้ ไม่แปลกที่คนต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนที่ตัวเองรัก
เราลองตัดภาพไปที่โรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งตัวผมเองก็เคยศึกษาโรงเรียนที่อยู่ในชนบท ถ้าลองมองลึกเข้าไปในโครงสร้างการศึกษาของโรงเรียนนี้ แน่นอนมันเทียบไม่ได้เลยกับโรงเรียนที่ยกตัวอย่างมาในกรณีแรก ตัวผมเองได้ศึกษาอยู่โรงเรียนชนบทตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะตัดสินใจไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่อยู่ในตัวเมืองจังหวัด ผมได้พูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับโรงเรียนประถามของตนเองที่จบมา (เพื่อนจบโรงเรียนประถมที่ตั้งอยู่กลางเมือง) ภาพของโรงเรียนในทุกๆด้านมันต่างกันสิ้นเชิง แล้วตั้งคำถามในใจว่าทำไมโรงเรียนแห่งนี้ถึงได้มีทุกอย่างพร้อมต่างจากโรงเรียนชนบท ทั้งที่เราทุกคนก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน เราทุกคนควรที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกันทุกคน ตัวผมเองได้เรียน วิชาคอมพิวเตอร์ และ ภาษาอังกฤษ ตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งต่างจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันที่ได้เรียนวิชาเหล่านี้มาตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 และโรงเรียนชนบทนั้นบุคลากรไม่เพียงพอ ต้องเอาครูสอนคณิตไปเรียนภาษาไทย ต้องเอาครูสอนพละไปสอนอังกฤษซึ่งมันก็ต่างกันอีกกับโรงเรียนในกรณีแรกที่มีบุคลากรครบ โรงอาหารมีขนาดเล็กมีร้านอาหารอยู่ไม่กี่ร้าน และไม่มีการดูแลเรื่องการักษาความสะอาด
ถ้าทุกโรงเรียนมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกันภาพที่นักเรียนแย่งสอบแข่งขันเพื่อจะได้รับในเข้าในสถานศึกษานั้นๆก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จะให้ไปโทษนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนชนบทว่านักเรียนเหล่านี้จบมาแบบไม่มีคุณภาพจะไปโทษนักเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองถึงโครงสร้างของโรงเรียนตามชนบทด้วย โรงเรียนในตัวเมือง VS เรียนตามชนบท ถ้าจะให้สองโรงเรียนนี้มาอยู่ในลู่วิ่งทุกคนก็หน้าจะรู้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ
ภาพทั้งสองภาพนี้มันต่างกันทั้งๆที่มันควรจะเหมือนกันควรที่จะได้รับอะไรที่มันเท่าเทียมกัน การพัฒนาที่มันไม่เท่าเทียม มันยุติธรรมหรือไม่ ? ชนบทมันคือสิ่งที่ดำรงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีไม่ได้หมายความว่าชนบทคือสิ่งที่ล้าหลัง ชนบทควรที่จะได้รับการพัฒนาที่เท่าเทียมกับตัวเมืองไม่ใช่แค่เรืองการศึกษาแต่เป็นในทุกๆเรื่อง คนควรที่จะมีคุณภาพชีวิตที่เท่ากัน จริงอยู่ที่จะทำให้คนทุกคนเสมอภาคจะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันหมดมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสังคมไหนที่ทุกคนจะเท่าเทียมกัน แต่คนในสังคมมันควรที่จะใกล้เคียงกันที่สุด ความจริงที่มันแสนเจ็บปวด คนทุกคนเหมือนกันแต่สิ่งที่ทุกคนควรจะได้รับทำไมมันต่างกัน คำถามเหล่านี้ยังคงรอคำตอบ และต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
ต้นทุนของชีวิตของคนเราที่เกิดมามันไม่เท่ากัน บางคนเริ่มจากไม่มีอะไรเลยและทำให้พลาดโอกาสหลายๆโอกาสไป บางคนเกิดมาพร้อมกับโอกาสหลายๆอย่างอยู่รอบตัว สิ่งนี้มันยุติธรรมหรือไม่ ?
บนลู่วิ่งที่เต็มไปด้วยคนที่แข่งขันกัน บางทีอาจดูก็รู้แล้วว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของนักวิ่งมันไม่เหมือนกัน คนที่วิ่งนำไปข้างหน้าอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งกว่าแต่คนที่วิ่งนำคือคนที่พร้อมกว่าและคนดูก็หาว่าคนที่แพ้คือคนที่ยังไม่เก่งพอ คนที่แพ้ไม่ได้อยากที่จะเป็นแบบนั้น แต่คนดูต่างหากไปกำหนดว่าเขาเป็นคนที่ไม่เก่งพอ ความต่างในความเหมือนที่ได้แต่ทำใจยอมรับมัน……