ความหมายที่ซ่อนอยู่ ปรากฏในทั้งคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ลุงตู่กับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และรายการคืนความสุขฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดังนี้
“จีนไม่ได้ติดใจอะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้ เขาโอเค เขาเข้าใจผม และจีนได้ขอบคุณไทยโดยระบุว่า อยากช่วย ไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ และอยากให้ผมช่วยอธิบายให้คนไทยเข้าใจด้วยว่า เพราะเขาได้ยินมาว่าเหมือนไทยไม่ไว้ใจคนจีน..."
“นายกรัฐมนตรีจีนเขาฝากมาว่า ขอให้คนไทยเชื่อมั่น จีนกับไทยนั้นเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ขอให้เชื่อมั่นว่าทางจีนก็มีความปรารถนาดีกับไทย ผมก็ตอบเขาไปว่า เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชนในประเทศ ซึ่งท่านก็รับปากว่าโอเค ต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจนขึ้น ไม่ได้มุ่งหวังแต่เรื่องธุรกิจเพียงอย่างเดียว”
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเราคนไทยซึ่งไม่ชินกับวัฒนธรรมการเมืองจีนนั้นก็อาจคิดว่าไม่มีนัยสำคัญอะไร
แต่จริงๆ แล้ว ประโยคเหล่านี้นับเป็นความสั่นสะเทือนพอสมควร เมื่อผู้พูดคือ หลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ผู้มีอำนาจเหนือแผ่นดินจีน โดยพูดกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้กุมอำนาจบริหารประเทศไทย
พูดกันในระหว่างการหารือทวิภาคี ซึ่งจะเรียกว่านอกรอบก็คงได้ เพราะหัวข้อหลักคือการบริหารจัดการแม่น้ำโขง แต่คุยกันเรื่องอื่นตัวต่อตัวเรื่องรถไฟจีน
จีนไม่ใช่ฝรั่งเสรีประชาธิปไตย แต่จีนคือสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คำพูดทุกคำทุกประโยคของผู้นำจีนนั้นจึงมีความหมายซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเมื่อพูดกันซึ่งหน้ากับผู้นำประเทศอื่น
โดยเฉพาะในกรณีนี้
หกสิบปีที่แล้ว พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ผู้แทนไทย ชี้หน้าประณามโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีนอย่างเผ็ดร้อนกลางที่ประชุมนานาชาติที่เมืองบันดุง อินโดนีเซีย
โดยไทยกล่าวหาว่า จีนต้องการยึดครองประเทศไทยด้วยการส่งคนจีนเข้ามาอาศัย และทำธุรกิจการค้าในประเทศไทยอย่างล้นหลาม
ซึ่งนายกฯ โจวเอินไหลปฏิเสธ และประกาศยืนยันเป็นสัญญาประชาคมโลกไว้อย่างมั่นเหมาะนับแต่นั้นว่า จีนไม่เคยมีนโยบาย และจีนจะไม่มีนโยบายดังกล่าวทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างแน่นอน
แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นยังคงมีการพูดถึงกันในจีนจนถึงทุกวันนี้ ปรากฏอยู่ในสารคดีและหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน
กระทั่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทย เข้าพบคาราวะเหมาเจ๋อตงที่กรุงปักกิ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เมืองบันดุงผ่านไปแล้วยี่สิบปี
ซึ่งด้วยบุคลิกท่าทีของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ที่นุ่มนวล และบทสนทนาที่ลึกซึ้ง นับเพื่อนนับฝูงกับเหมาเจ๋อตง และจีนก็ให้การต้อนรับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ความบาดหมางหวาดระแวงต่อกันระหว่างไทยกับจีนแทบจะคลายไปหมดสิ้น
หลังจากนั้นยังตามด้วยเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเยือนไทยเป็นประเทศแรกนับจากขึ้นกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในจีน อีกทั้งยังเข้าร่วมพระราชพิธีสมเด็จพระบรมฯ ทรงผนวชที่วัดพระแก้ว และร่วมชมการซ้อมรบของทหารไทยอีกด้วย
ความระแวงซึ่งกันและกันจึงมลายหายไปหมดสิ้น และเปิดศักราชหน้าใหม่ต่อกันด้วยการค้าและการลงทุน และเพิ่มเติมด้วยการท่องเที่ยวที่เติบโตขยายตัวอย่างมหาศาลจนถึงปัจจุบัน
จนกระทั่ง แค่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กระแสด่าประจานดูถูกเหยียดหยามนักท่องเที่ยวจีนอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นบนสังคมโซเชียลมีเดียในประเทศไทย ผสมโรงด้วยการต่อต้านการลงทุนจากนักลงทุนจีนเข้าไปอีก ซึ่งเกิดขึ้นด้วยข้อหาเดิมที่ไทยเคยกล่าวหาจีนไว้เมื่อหกสิบปีก่อนที่เมืองบันดุงอย่างไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากรัฐบาลไทยเป็นสังคมเฟซบุ๊กไทยแทน
หากเพียงแค่ปรากฏในประเทศไทยก็คงไม่มีปัญหาอะไรนัก แต่เนื่องจากโลกปัจจุบันนั้นไร้พรมแดน แม้จีนบล็อกเฟซบุ๊กก็ตาม แต่ก็ข้อเขียน คอมเมนต์ ภาพถ่าย และวิดีโอบนเฟซบุ๊กก็สามารถถูกแปลและนำไปเผยแพร่ต่อบนเว่ยปั๋ว หรือเฟซบุ๊กจีน ซึ่งมีผู้ใช้งานถึง 800 ล้านคนได้ทันควัน
ข้อความด่ากราดคนจีนโดยคนไทยกรณีวัดร่องขุ่น นางแบบไทยด่าคนจีนไม่เข้าคิว และคนจีนตักกุ้งที่คิงเพาเวอร์ ฯลฯ ล้วนถูกเผยแพร่ในเว่ยปั๋ว และยังถูกนำออกอากาศทางโทรทัศน์จีนอีกด้วย
คนจีนรู้สึกขายหน้าอับอาย ด่าประณามพวกเดียวกันที่สร้างเรื่องสร้างราวที่น่าอาย แต่ขณะเดียวกันก็น้อยใจในคำด่าเหมารวมของคนไทยที่มีต่อกรณีดังกล่าวอย่างรุนแรง และตามด้วยงุนงงกับท่าทีต่อต้านคนจีนที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศไทยโดยคนไทยด้วยเช่นกัน
ปฏิกิริยาในแง่ลบต่อคนไทยจึงเริ่มเกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียของจีน และกระแสต่อต้านไทยในวงกว้างก็เริ่มเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้นเมื่อนายกฯ จีนถึงขั้นเอ่ยปากเรื่องกระแสไทยเกลียดจีนนี้กับนายกฯ ไทยกลางที่ประชุม และขอให้นายกฯ ไทยช่วยฝากคำพูดของตัวเองไปถึงคนไทยอีกด้วย
เรามี “มหามิตร” ซึ่งเคยอุ้มชูเราในสมัยสงครามเย็น แต่ปัจจุบันก็วุ่นวายเดินสายแทรกแซงการเมืองไทยไปทั่ว ออกแถลงการณ์ประณามเราอย่างเป็นทางการบนเวทีโลกก็บ่อยครั้ง และให้เงินสนับสนุนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งเหลายในเมืองไทยอย่างเปิดเผยอีกต่างหาก
แต่มิตรเก่าแก่ยักษ์ใหญ่ข้างบ้าน ซึ่งไม่เคยแทรกแซงเรา ไม่เคยด่าประณามเราบนเวทีโลก มีแต่ผู้คนที่รักชอบเรา มาเที่ยวบ้านเมืองเรากันอย่างล้นหลาม และการค้าการลงทุนก็มีอีกมหาศาล
แต่เรากลับด่าเขา ประณามเขา ดูถูกเหยียดหยามเขา วาดภาพเขาเป็นยักษ์กำลังเขมือบประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เคยทำอะไร แต่เรากลับทำให้บานปลายถึงขั้นผู้นำจีนยังเอ่ยปาก
ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนั้นล้วนพึ่งพาจีนทั้งการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน
งานนี้จึงไม่ธรรมดาอย่างที่คิด และมีโอกาสสุ่มเสี่ยงลุกลามกลายเป็นงานพิเศษอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย รัฐบาลโดยสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ฯลฯ จึงควรหามาตรการรับมือ และควบคุมไม่ให้เรื่องไม่เรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้สักวัน.
Link :
http://www.thaipost.net/?q=จีนน้อยใจ-ไทยก็ควรฟัง
▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ จีนน้อยใจ ไทยก็ควรฟัง █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂
ความหมายที่ซ่อนอยู่ ปรากฏในทั้งคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ลุงตู่กับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และรายการคืนความสุขฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดังนี้
“จีนไม่ได้ติดใจอะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้ เขาโอเค เขาเข้าใจผม และจีนได้ขอบคุณไทยโดยระบุว่า อยากช่วย ไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ และอยากให้ผมช่วยอธิบายให้คนไทยเข้าใจด้วยว่า เพราะเขาได้ยินมาว่าเหมือนไทยไม่ไว้ใจคนจีน..."
“นายกรัฐมนตรีจีนเขาฝากมาว่า ขอให้คนไทยเชื่อมั่น จีนกับไทยนั้นเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ขอให้เชื่อมั่นว่าทางจีนก็มีความปรารถนาดีกับไทย ผมก็ตอบเขาไปว่า เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชนในประเทศ ซึ่งท่านก็รับปากว่าโอเค ต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจนขึ้น ไม่ได้มุ่งหวังแต่เรื่องธุรกิจเพียงอย่างเดียว”
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเราคนไทยซึ่งไม่ชินกับวัฒนธรรมการเมืองจีนนั้นก็อาจคิดว่าไม่มีนัยสำคัญอะไร
แต่จริงๆ แล้ว ประโยคเหล่านี้นับเป็นความสั่นสะเทือนพอสมควร เมื่อผู้พูดคือ หลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ผู้มีอำนาจเหนือแผ่นดินจีน โดยพูดกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้กุมอำนาจบริหารประเทศไทย
พูดกันในระหว่างการหารือทวิภาคี ซึ่งจะเรียกว่านอกรอบก็คงได้ เพราะหัวข้อหลักคือการบริหารจัดการแม่น้ำโขง แต่คุยกันเรื่องอื่นตัวต่อตัวเรื่องรถไฟจีน
จีนไม่ใช่ฝรั่งเสรีประชาธิปไตย แต่จีนคือสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คำพูดทุกคำทุกประโยคของผู้นำจีนนั้นจึงมีความหมายซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเมื่อพูดกันซึ่งหน้ากับผู้นำประเทศอื่น
โดยเฉพาะในกรณีนี้
หกสิบปีที่แล้ว พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ผู้แทนไทย ชี้หน้าประณามโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีนอย่างเผ็ดร้อนกลางที่ประชุมนานาชาติที่เมืองบันดุง อินโดนีเซีย
โดยไทยกล่าวหาว่า จีนต้องการยึดครองประเทศไทยด้วยการส่งคนจีนเข้ามาอาศัย และทำธุรกิจการค้าในประเทศไทยอย่างล้นหลาม
ซึ่งนายกฯ โจวเอินไหลปฏิเสธ และประกาศยืนยันเป็นสัญญาประชาคมโลกไว้อย่างมั่นเหมาะนับแต่นั้นว่า จีนไม่เคยมีนโยบาย และจีนจะไม่มีนโยบายดังกล่าวทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างแน่นอน
แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นยังคงมีการพูดถึงกันในจีนจนถึงทุกวันนี้ ปรากฏอยู่ในสารคดีและหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน
กระทั่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทย เข้าพบคาราวะเหมาเจ๋อตงที่กรุงปักกิ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เมืองบันดุงผ่านไปแล้วยี่สิบปี
ซึ่งด้วยบุคลิกท่าทีของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ที่นุ่มนวล และบทสนทนาที่ลึกซึ้ง นับเพื่อนนับฝูงกับเหมาเจ๋อตง และจีนก็ให้การต้อนรับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ความบาดหมางหวาดระแวงต่อกันระหว่างไทยกับจีนแทบจะคลายไปหมดสิ้น
หลังจากนั้นยังตามด้วยเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเยือนไทยเป็นประเทศแรกนับจากขึ้นกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในจีน อีกทั้งยังเข้าร่วมพระราชพิธีสมเด็จพระบรมฯ ทรงผนวชที่วัดพระแก้ว และร่วมชมการซ้อมรบของทหารไทยอีกด้วย
ความระแวงซึ่งกันและกันจึงมลายหายไปหมดสิ้น และเปิดศักราชหน้าใหม่ต่อกันด้วยการค้าและการลงทุน และเพิ่มเติมด้วยการท่องเที่ยวที่เติบโตขยายตัวอย่างมหาศาลจนถึงปัจจุบัน
จนกระทั่ง แค่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กระแสด่าประจานดูถูกเหยียดหยามนักท่องเที่ยวจีนอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นบนสังคมโซเชียลมีเดียในประเทศไทย ผสมโรงด้วยการต่อต้านการลงทุนจากนักลงทุนจีนเข้าไปอีก ซึ่งเกิดขึ้นด้วยข้อหาเดิมที่ไทยเคยกล่าวหาจีนไว้เมื่อหกสิบปีก่อนที่เมืองบันดุงอย่างไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากรัฐบาลไทยเป็นสังคมเฟซบุ๊กไทยแทน
หากเพียงแค่ปรากฏในประเทศไทยก็คงไม่มีปัญหาอะไรนัก แต่เนื่องจากโลกปัจจุบันนั้นไร้พรมแดน แม้จีนบล็อกเฟซบุ๊กก็ตาม แต่ก็ข้อเขียน คอมเมนต์ ภาพถ่าย และวิดีโอบนเฟซบุ๊กก็สามารถถูกแปลและนำไปเผยแพร่ต่อบนเว่ยปั๋ว หรือเฟซบุ๊กจีน ซึ่งมีผู้ใช้งานถึง 800 ล้านคนได้ทันควัน
ข้อความด่ากราดคนจีนโดยคนไทยกรณีวัดร่องขุ่น นางแบบไทยด่าคนจีนไม่เข้าคิว และคนจีนตักกุ้งที่คิงเพาเวอร์ ฯลฯ ล้วนถูกเผยแพร่ในเว่ยปั๋ว และยังถูกนำออกอากาศทางโทรทัศน์จีนอีกด้วย
คนจีนรู้สึกขายหน้าอับอาย ด่าประณามพวกเดียวกันที่สร้างเรื่องสร้างราวที่น่าอาย แต่ขณะเดียวกันก็น้อยใจในคำด่าเหมารวมของคนไทยที่มีต่อกรณีดังกล่าวอย่างรุนแรง และตามด้วยงุนงงกับท่าทีต่อต้านคนจีนที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศไทยโดยคนไทยด้วยเช่นกัน
ปฏิกิริยาในแง่ลบต่อคนไทยจึงเริ่มเกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียของจีน และกระแสต่อต้านไทยในวงกว้างก็เริ่มเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้นเมื่อนายกฯ จีนถึงขั้นเอ่ยปากเรื่องกระแสไทยเกลียดจีนนี้กับนายกฯ ไทยกลางที่ประชุม และขอให้นายกฯ ไทยช่วยฝากคำพูดของตัวเองไปถึงคนไทยอีกด้วย
เรามี “มหามิตร” ซึ่งเคยอุ้มชูเราในสมัยสงครามเย็น แต่ปัจจุบันก็วุ่นวายเดินสายแทรกแซงการเมืองไทยไปทั่ว ออกแถลงการณ์ประณามเราอย่างเป็นทางการบนเวทีโลกก็บ่อยครั้ง และให้เงินสนับสนุนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งเหลายในเมืองไทยอย่างเปิดเผยอีกต่างหาก
แต่มิตรเก่าแก่ยักษ์ใหญ่ข้างบ้าน ซึ่งไม่เคยแทรกแซงเรา ไม่เคยด่าประณามเราบนเวทีโลก มีแต่ผู้คนที่รักชอบเรา มาเที่ยวบ้านเมืองเรากันอย่างล้นหลาม และการค้าการลงทุนก็มีอีกมหาศาล
แต่เรากลับด่าเขา ประณามเขา ดูถูกเหยียดหยามเขา วาดภาพเขาเป็นยักษ์กำลังเขมือบประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เคยทำอะไร แต่เรากลับทำให้บานปลายถึงขั้นผู้นำจีนยังเอ่ยปาก
ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนั้นล้วนพึ่งพาจีนทั้งการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน
งานนี้จึงไม่ธรรมดาอย่างที่คิด และมีโอกาสสุ่มเสี่ยงลุกลามกลายเป็นงานพิเศษอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย รัฐบาลโดยสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ฯลฯ จึงควรหามาตรการรับมือ และควบคุมไม่ให้เรื่องไม่เรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้สักวัน.
Link : http://www.thaipost.net/?q=จีนน้อยใจ-ไทยก็ควรฟัง