เราท้องแฝด (ท้อง2) เริ่มจากการฝากครรภ์ที่รพ.เอกชนใกล้บ้าน ที่ตัดสินใจฝากที่เอกชนเพราะสะดวกและได้ประเมิน package คลอด+ทำหมัน ตามที่คุณหมอแจ้งเรียบร้อยแล้ว ค่าคลอด+ทำหมันจะอยู่ที่ประมาณ 65,000 บาท กรณีที่ทั้งคุณแม่และลูกแข็งแรงไม่มีภาวะแทรกซ้อน คุณหมอที่นี่ดูแลดีมากๆ และไม่ต้องรอนานเพราะเราไปช่วงใกล้คุณออกเวร โดยรวมแล้วประทับใจทั้งรพ.และคุณหมอ
แต่พอมาถึงประมาณ 4 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด เราและสามีก็เช็คคชจ.กับทางการเงินของ รพ.อีกทีเพื่อที่จะได้เตรียมตัว จนท.รพ.แจ้งว่าคชจ.ปกติของครรภ์แฝดจะอยู่ที่ประมาณ 70,000 – 80,000 บาท กรณีมีภาวะแทรกซ้อนก็น่าจะอยู่ที่ประมาณแสนกว่าบาท เราก็กลับมาปรึกษากับสามีและญาติๆ หลายๆคนก็แนะนำว่าควรย้ายรพ.ไปรัฐเพราะเสียดายตังค์ เราก็เลยตัดสินใจโทรไปสอบถามที่รพ.จุฬาและทำการย้าย รพ.ไปจุฬาในช่วง 3 วีคสุดท้าย (ถือว่าโชคดีมากๆที่ย้ายทัน เพราะปกติเค้าจะไม่รับกรณีอายุครรภ์ใกล้คลอดแล้ว)
การฝากครรภ์ที่นี่ถือว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่การบริการของเจ้าหน้าที่จะต่างจาก รพ.เอกชนมากๆเพราะเราต้องทำทุกอย่างเองหมด เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และการบริการของเจ้าหน้าที่พยาบาลตึกนี้ (ตึก ภปร ส่วนของการฝากครรภ์) พยาบาลไม่ค่อยน่ารัก แต่คุณหมอทุกๆท่านน่ารักดีค่ะ ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้เพราะคนไข้เค้าเยอะ ประกอบกับเราเป็นคนออกแนวไม่ยอมคนและหน้าดุ พยาบาลก็เลยไม่กล้าพูดจาไม่ดี (แต่เราเห็นเค้าพูดกับคนไข้คนอื่นๆ) อีกเรื่องคือคิวค่อนข้างเยอะ รอนานมาก (แต่เราทำใจเผื่อไว้แล้ว) หลังจากฝากครรภ์ที่นี่ เราก็ไปพบหมอตามนัดปกติทุกๆ วีค
หลังจากนั้นก็ได้กำหนดการคลอดจากคุณหมอที่ดูแลเรา เป็นคุณหมอสาวสวยอายุน่าจะ 30 ต้นๆ คุณหมอท่านนี้น่ารักมากค่อนข้างประทับใจเพราะคุณหมอท่านนี้คือหนึ่งในทีมแพทย์ที่ผ่าคลอด+ทำหมันให้เราด้วย เราคลอดต้นเดือน ก.พ. 2559 เราพยายามทำทุกอย่างตาม Process ที่รพ.มี เช่นวันก่อนคลอดรีบไปรพ.ตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้จองคิวห้องพิเศษและ check up ก่อนคลอด และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่แพลนไว้ พอถึงวันคลอดไม่ค่อยตื่นเต้น และไม่กังวลเพราะเป็นท้องที่สองแล้ว คืนก่อนคลอดเรานอนกับน้องสาวสองคนเพราะสามีทำงานกลับดึกประกอบกับเป็นกฎของรพจุฬาคือให้คนเฝ้าไข้ได้แค่ 1 คนเท่านั้น (แต่ถ้าจำเป็นต้องเฝ้ามากกว่า 1 คนจริงๆ ก็คุยกับคุณพยาบาลได้ พยาบาลตึกนี้ใจดีและน่ารัก ต่างจากตึกฝากครรภ์มากๆ) ส่วนแม่เรากับสามีและลูกสาวคนโตตามมาเช้าวันคลอด
Process การผ่าคลอด+ทำหมัน ก็จะมีอาจารย์หมอ คุณหมอเจ้าของไข้และนักเรียนแพทย์อยู่ในห้องคลอดและทำการผ่าตัดให้ บรรยากาศในห้องคลอดถือว่าโอเคมากๆ เพราะทั้งคุณหมอและนักเรียนแพทย์พูดจาดี มีการอธิบายรายละเอียดต่างๆ และทำให้คนไข้ผ่อนคลาย ขั้นตอนผ่าคลอดเป็นไปด้วยดีทั้งเราและลูกสาวทั้งสองคนแข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ พอออกจากห้องคลอดก็นอนพักฟื้นที่ห้องข้างๆประมาณครึ่งชม.แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาเรามาส่งที่ห้อง และแยกน้องไปที่ห้องทารกแรกเกิดและอนุญาตให้เราเจอลูกอีกทีประมาณ 3 ชม.หลังจากนั้น เรานอนรพ. 4 คืน 5 วัน ในระหว่างนั้นเราได้รับการบริการจากเจ้าหน้าพยาบาลและคุณหมอดีมากๆ โดยเฉพาะพยาบาลที่ตึกนี้ เห็นเค้าทำงานกันหนักมาก ใส่ใจคนไข้ดีมาก ๆ การพูดจา กริยามารยาทก็ดี และให้คำแนะนำดีๆ หลายๆอย่าง ทำให้เราฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้เร็ว และไม่ค่อยเจ็บแผลมากเหมือนผ่าคลอดท้องแรก ทั้งๆ ที่การผ่าคลอดครั้งนี้ทำหมันด้วย
ปกติเห็นเค้าพูดกันว่าผ่าคลอด+ทำหมันจะเจ็บกว่าผ่าคลอดอย่างเดียว แต่จากประสบการณ์ตรงของเราแล้วรู้สึกว่าไม่จริงเลยค่ะ อยู่ที่การปฏิบัติตัวของเรามากกว่า เราต้องขยันขยับตัวให้เยอะที่สุดหลังผ่าตัดค่ะ ตรงนี้ช่วยได้มากๆ เลย เพราะจำได้ว่าตอนผ่าคลอดท้องแรกเจ็บและทรมานมากกว่านี้เยอะเพราะเราขยับตัวน้อย และเคลื่อนไหวร่างกายหลังคลอดน้อย ถึงวันนี้เราคลอดลูกสาวแฝดได้ 1 เดือนกับ 20 วันแล้วค่ะ แผลผ่าตัดดีมาก ไม่เคยเจ็บแปล๊บหรือมีอาการผิดปกติใดๆ เลย เราต้องยกเครดิตให้คุณหมอทีมผ่าตัดและทีมพยาบาลที่ดูแลเราค่ะ อีกเรื่องที่สำคัญมากที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ คชจ.ในการคลอดค่ะ คชจ.ถูกต่างจากรพ.เอกชนมากๆ เราเห็นบิลแล้วแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าถูกขนาดนี้ บิลค่าคลอดทั้งหมดอยู่ที่ 28,xxx บาทค่ะ
ที่เราตั้งใจเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อแชร์ประสบการณ์และอยากแนะนำ รพ.จุฬาค่ะ เหมือนฝากชีวิตไว้กับทีมแพทย์มืออาชีพ และทุกอย่างไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แถมยังประหยัดเงินมากๆ ด้วย ยิ่งท่านไหนท้องแฝดแนะนำเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะอาจมีภาวะเสี่ยงในเรื่องของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งถ้าเจอภาวะนี้ในการคลอดที่รพ.เอกชน คชจ.จะสูงมากๆ ค่ะ
ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะแชร์คือเรื่องการลดน้ำหนักหลังคลอด ถ้ามีเวลาจะมาแชร์ให้ฟังนะคะ เพราะเวลาที่เราท้องทีไรน้ำหนักขึ้นเยอะมากๆๆๆๆทุกที ท้องแรกขึ้น 28 โล (เราสามารถลดน้ำหนักทั้งหมดและผอมกว่าก่อนท้องอีก 2 โล ภายใน 6 –7เดือน) ท้องนี้ขึ้น 33 โล (ตอนนี้หลังคลอด 1 เดือนกับ 20 วัน ลดไปแล้ว 22 โล) เผื่อคุณแม่ท่านไหนกลุ้มใจเรื่องการลดน้ำหนักอยู่ สิ่งที่จะฝากไว้ก่อนที่จะมาแชร์ให้ฟังคือ การลดน้ำหนัก อยู่ที่ใจและวินัยล้วนๆ ค่ะ ไม่เคยทานยาลดความอ้วนหรือผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักใดๆเลยนะคะ อยากเป็นกำลังใจให้ว่าที่คุณแม่และคุณแม่ทุกๆคนค่ะ
ค่าคลอดรพ.จุฬา
แต่พอมาถึงประมาณ 4 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด เราและสามีก็เช็คคชจ.กับทางการเงินของ รพ.อีกทีเพื่อที่จะได้เตรียมตัว จนท.รพ.แจ้งว่าคชจ.ปกติของครรภ์แฝดจะอยู่ที่ประมาณ 70,000 – 80,000 บาท กรณีมีภาวะแทรกซ้อนก็น่าจะอยู่ที่ประมาณแสนกว่าบาท เราก็กลับมาปรึกษากับสามีและญาติๆ หลายๆคนก็แนะนำว่าควรย้ายรพ.ไปรัฐเพราะเสียดายตังค์ เราก็เลยตัดสินใจโทรไปสอบถามที่รพ.จุฬาและทำการย้าย รพ.ไปจุฬาในช่วง 3 วีคสุดท้าย (ถือว่าโชคดีมากๆที่ย้ายทัน เพราะปกติเค้าจะไม่รับกรณีอายุครรภ์ใกล้คลอดแล้ว)
การฝากครรภ์ที่นี่ถือว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่การบริการของเจ้าหน้าที่จะต่างจาก รพ.เอกชนมากๆเพราะเราต้องทำทุกอย่างเองหมด เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และการบริการของเจ้าหน้าที่พยาบาลตึกนี้ (ตึก ภปร ส่วนของการฝากครรภ์) พยาบาลไม่ค่อยน่ารัก แต่คุณหมอทุกๆท่านน่ารักดีค่ะ ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้เพราะคนไข้เค้าเยอะ ประกอบกับเราเป็นคนออกแนวไม่ยอมคนและหน้าดุ พยาบาลก็เลยไม่กล้าพูดจาไม่ดี (แต่เราเห็นเค้าพูดกับคนไข้คนอื่นๆ) อีกเรื่องคือคิวค่อนข้างเยอะ รอนานมาก (แต่เราทำใจเผื่อไว้แล้ว) หลังจากฝากครรภ์ที่นี่ เราก็ไปพบหมอตามนัดปกติทุกๆ วีค
หลังจากนั้นก็ได้กำหนดการคลอดจากคุณหมอที่ดูแลเรา เป็นคุณหมอสาวสวยอายุน่าจะ 30 ต้นๆ คุณหมอท่านนี้น่ารักมากค่อนข้างประทับใจเพราะคุณหมอท่านนี้คือหนึ่งในทีมแพทย์ที่ผ่าคลอด+ทำหมันให้เราด้วย เราคลอดต้นเดือน ก.พ. 2559 เราพยายามทำทุกอย่างตาม Process ที่รพ.มี เช่นวันก่อนคลอดรีบไปรพ.ตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้จองคิวห้องพิเศษและ check up ก่อนคลอด และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่แพลนไว้ พอถึงวันคลอดไม่ค่อยตื่นเต้น และไม่กังวลเพราะเป็นท้องที่สองแล้ว คืนก่อนคลอดเรานอนกับน้องสาวสองคนเพราะสามีทำงานกลับดึกประกอบกับเป็นกฎของรพจุฬาคือให้คนเฝ้าไข้ได้แค่ 1 คนเท่านั้น (แต่ถ้าจำเป็นต้องเฝ้ามากกว่า 1 คนจริงๆ ก็คุยกับคุณพยาบาลได้ พยาบาลตึกนี้ใจดีและน่ารัก ต่างจากตึกฝากครรภ์มากๆ) ส่วนแม่เรากับสามีและลูกสาวคนโตตามมาเช้าวันคลอด
Process การผ่าคลอด+ทำหมัน ก็จะมีอาจารย์หมอ คุณหมอเจ้าของไข้และนักเรียนแพทย์อยู่ในห้องคลอดและทำการผ่าตัดให้ บรรยากาศในห้องคลอดถือว่าโอเคมากๆ เพราะทั้งคุณหมอและนักเรียนแพทย์พูดจาดี มีการอธิบายรายละเอียดต่างๆ และทำให้คนไข้ผ่อนคลาย ขั้นตอนผ่าคลอดเป็นไปด้วยดีทั้งเราและลูกสาวทั้งสองคนแข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ พอออกจากห้องคลอดก็นอนพักฟื้นที่ห้องข้างๆประมาณครึ่งชม.แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาเรามาส่งที่ห้อง และแยกน้องไปที่ห้องทารกแรกเกิดและอนุญาตให้เราเจอลูกอีกทีประมาณ 3 ชม.หลังจากนั้น เรานอนรพ. 4 คืน 5 วัน ในระหว่างนั้นเราได้รับการบริการจากเจ้าหน้าพยาบาลและคุณหมอดีมากๆ โดยเฉพาะพยาบาลที่ตึกนี้ เห็นเค้าทำงานกันหนักมาก ใส่ใจคนไข้ดีมาก ๆ การพูดจา กริยามารยาทก็ดี และให้คำแนะนำดีๆ หลายๆอย่าง ทำให้เราฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้เร็ว และไม่ค่อยเจ็บแผลมากเหมือนผ่าคลอดท้องแรก ทั้งๆ ที่การผ่าคลอดครั้งนี้ทำหมันด้วย
ปกติเห็นเค้าพูดกันว่าผ่าคลอด+ทำหมันจะเจ็บกว่าผ่าคลอดอย่างเดียว แต่จากประสบการณ์ตรงของเราแล้วรู้สึกว่าไม่จริงเลยค่ะ อยู่ที่การปฏิบัติตัวของเรามากกว่า เราต้องขยันขยับตัวให้เยอะที่สุดหลังผ่าตัดค่ะ ตรงนี้ช่วยได้มากๆ เลย เพราะจำได้ว่าตอนผ่าคลอดท้องแรกเจ็บและทรมานมากกว่านี้เยอะเพราะเราขยับตัวน้อย และเคลื่อนไหวร่างกายหลังคลอดน้อย ถึงวันนี้เราคลอดลูกสาวแฝดได้ 1 เดือนกับ 20 วันแล้วค่ะ แผลผ่าตัดดีมาก ไม่เคยเจ็บแปล๊บหรือมีอาการผิดปกติใดๆ เลย เราต้องยกเครดิตให้คุณหมอทีมผ่าตัดและทีมพยาบาลที่ดูแลเราค่ะ อีกเรื่องที่สำคัญมากที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ คชจ.ในการคลอดค่ะ คชจ.ถูกต่างจากรพ.เอกชนมากๆ เราเห็นบิลแล้วแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าถูกขนาดนี้ บิลค่าคลอดทั้งหมดอยู่ที่ 28,xxx บาทค่ะ
ที่เราตั้งใจเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อแชร์ประสบการณ์และอยากแนะนำ รพ.จุฬาค่ะ เหมือนฝากชีวิตไว้กับทีมแพทย์มืออาชีพ และทุกอย่างไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แถมยังประหยัดเงินมากๆ ด้วย ยิ่งท่านไหนท้องแฝดแนะนำเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะอาจมีภาวะเสี่ยงในเรื่องของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งถ้าเจอภาวะนี้ในการคลอดที่รพ.เอกชน คชจ.จะสูงมากๆ ค่ะ
ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะแชร์คือเรื่องการลดน้ำหนักหลังคลอด ถ้ามีเวลาจะมาแชร์ให้ฟังนะคะ เพราะเวลาที่เราท้องทีไรน้ำหนักขึ้นเยอะมากๆๆๆๆทุกที ท้องแรกขึ้น 28 โล (เราสามารถลดน้ำหนักทั้งหมดและผอมกว่าก่อนท้องอีก 2 โล ภายใน 6 –7เดือน) ท้องนี้ขึ้น 33 โล (ตอนนี้หลังคลอด 1 เดือนกับ 20 วัน ลดไปแล้ว 22 โล) เผื่อคุณแม่ท่านไหนกลุ้มใจเรื่องการลดน้ำหนักอยู่ สิ่งที่จะฝากไว้ก่อนที่จะมาแชร์ให้ฟังคือ การลดน้ำหนัก อยู่ที่ใจและวินัยล้วนๆ ค่ะ ไม่เคยทานยาลดความอ้วนหรือผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักใดๆเลยนะคะ อยากเป็นกำลังใจให้ว่าที่คุณแม่และคุณแม่ทุกๆคนค่ะ