** เคล็ดลับคำโคลง ** ตอน..ธรรมชาติของโคลง

** เคล็ดลับคำโคลง ** ตอน..ธรรมชาติของโคลง

      “ธรรมชาติ คือ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
      ทุกสิ่งรอบตัวเราคือส่วนผสมของหลักธรรมชาติ
      ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด เปรียบเสมือนความว่างเปล่า..”


         " ความว่างเปล่า " ในที่นี้ไม่ใช่ว่าไม่สนใจอะไรเลย หากทว่าเราควรสนใจและใส่ใจในความว่างเปล่านั้นต่างหาก..

          ๕๕๕+ เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยแนวปรัชญาก็จริง แต่ขอหักมุมมาประชุมโคลงต่อกันเถอะครับพี่น้องผองเพื่อนถนนฯ...

…ตอนที่ผ่านมาสองตอนแรกผู้เขียนคิดว่าได้ปูพื้นฐานให้ผู้ที่สนใจพอสมควรแล้ว ตอนนี้อยากจะขอเจาะลึกเป็นกรณีๆไป

     ๑. งานประพันธ์โคลงจุดเริ่มต้นมาจากการนำเสนอถ่ายทอดอารมณ์ของมนุษย์..
    ตามธรรมชาติที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง เศร้า สุข ทุกข์ สะอึกสะอื้น คร่ำครวญ รำพัน เปรมปรีดิ์ ฯลฯ
    จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องมีการกำหนดเอก-โทในโคลง ?
    เพราะเอก-โทนั้นจะใกล้เคียงกับการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก น้ำเสียง คำพูดของมนุษย์หรือธรรมชาติค่อนข้างมาก
    ยกตัวอย่างเช่น...

    ๐ วิเวกวิโยคล้น                ราตรี
เจรียงระกาขับวจี                   เอกเอ้
ผสานแซ่ศุภศรี                     จักจั่น นั่นนา
หรีดหริ่งร่ายตะเข้                  แข่งเศร้าเรียมศัลย์ ฯ

    โคลงสี่จึงเหมาะกับการแต่งนิราศหรือบทพร่ำรำพันเป็นอย่างมาก ด้วยประการฉะนี้แฮ

๒.นอกจากออกแนวรักพิศวาสหวานฉ่ำปนเศร้าสร้อยแล้ว โคลงยังนำเสนอในรูปแบบอื่นได้อีก เช่น..

๒.๑ แนวโกรธา ::

   ๐ ปรากฏการณ์กลับขั้ว              กลัวอุบาทว์  พ่อเฮย
กลียุคทุกข์ยากราษฎร์                  เดือดร้อน
จัณฑาลร่านหินชาติ                     เลวชั่ว  ชาติแล
ภูวนัตตรัยต้อน                            ต่อต้านกังฉิน ฯ

๒.๒ แนวอื่นๆ :: ได้แก่ ธรรมะ/สุภาษิต/คำคม/พรรณาต่างๆ ฯลฯ

  ๐ ยอมรับความผิดไร้                  ซึ่งหวัง
จำกัดขีดพลัง                             เพื่อไซร้
ไป่สิ้นจิตใจขลัง                          ควรก่อ
มิอาจสูญเสียได้                          แค่ไร้ความหวัง ฯ

๓.การใช้วรรณยุกต์รูปเอก-โทวางคู่กัน สามารถทำให้เกิดเสียงได้แตกต่างกันถึง ๔ แบบ

กรณีที่ ๑ ได้เสียงเอก - โท

๐ ลักเมาโคลงกล่อมแกล้ม    กานดา

กรณีที่ ๒ ได้เสียง เอก - ตรี

๐ อกหักดีกว่าไร้             ไฟสวาสดิ์

กรณีที่ ๓ ได้เสียงโท - ตรี

๐ ดารกผ็อยร่วงพื้น          ภูคูถ

กรณีที่ ๔ ได้เสียง โท – โท

มีรักมีร่างอ้าง                ว้างเหงา

หมายเหตุ :: หากใช้คำตายมาแทนรูปเอกก็จะได้เสียงหลากหลายขึ้น
เช่น  ตรี – โท

๐ ปรุงรักปักรสป้อ                  ปลดลวง

     ตรี – ตรี

๐ เพราะทะเลรักนั้น              หนักอก

..พยายามใช้กลยุทธ์นี้ในการเล่นเสียงโคลงจะทำให้เกิดความหลากหลายทางรสคำ
เปรียบเหมือนการร้องเพลงหากเป็นทำนองเสียงโทนเดียวตลอดจะน่าเบื่อและไม่ไพเราะเท่าเสียงหลายโทนฉะนั้น..

๔.พลิกแพลงลีลา เช่น

  การวางสลับ เอก – โท เป็น โท –เอก ในบาทแรก ( เท่านั้น )

๐ ใจบางจางเบื้อจ่อ                รอถวิล

การใช้เอกโทษ – โทโทษ

    ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมแล้วหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆจะพยายามไม่ใช้
ยกเว้นบางกรณี เช่น โคลงกลอักษรถอยหลังเข้าคลอง

( กลอักษรถอยหลังเข้าคลอง / โคลงดั้นวิวิธมาลี )

๐ ฟ้าสง่าสมฤทธิ์ร้อย           รัตน์หนุน
หนุนรัตน์ร้อยฤทธิ์สม            สง่าฟ้า
ไสวสว่างล่าท้ากุล               เกริกแม่  
แม่เกริกกุลท้าหล้า               สว่างไสว ฯ

---กรณีตัวอย่างถือว่า “ล่า” เป็นเอกโทษ ของคำ “หล้า”

๕. แต่ละบทไม่จำเป็นต้องมีการร้อยโคลง ยกเว้น จงใจแต่งเพื่อการโชว์การประกวด หรือจงใจแต่งเป็นโคลงสุภาพลิลิต
    ส่วนใหญ่กวีจะแต่งในเชิง โคลงสุภาพชาตรี ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการร้อยโคลง

๖. ไม่จำเป็นต้องมีสัมผัสอักษรแพรวพราวมากนักอาจจะเฝือได้
    หากแต่งหลายๆบทต้องมีแบบธรรมดาบ้างแต่เน้นในเชิงความนัย/คำคมจะดูมีพลัง

๗. นอกเหนือตำแหน่งเอกเจ็ด – โทสี่ และตำแหน่งคำสุภาพทั้งสี่แห่งนั้นแล้ว
    พยายามอย่าให้มีวรรณยุกต์รกเรื้อเพราะจะทำให้น้ำหนักโคลงเกิดการโคลงเคลงเสียสมดุลโคลงได้
    รสโคลงจะด้อยลง อ่าน/ฟังไม่รื่นหู ทั้งนี้รวมถึงคำสร้อยด้วยถ้าความในบาทนั้นครบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเติมคำสร้อยให้รก
    ( บาทที่สอง ไม่มีคำสร้อย อย่าลืม )

๘. เทคนิคการเล่นคำซ้ำในบาท คล้ายเน้นคำพูด

เช่น..  

๐ ทั้งทราย-ลม-กรวดแกล้ง      ทะเล
กระหน่ำหวนคลื่นเห                ฝั่งหั้น
เสียงลมเยาะหยันเก-               เรเก่ง
อย่างยักษ์อย่างมารกั้น            กีดกั้นขวางทะเล ฯ

๙. วรรคหลังของทุกบาทต้องฉีก คือต้องเดินหน้า อย่าย่ำอยู่กับที่

กรณีย่ำอยู่กับที่ เช่น

  ๐ แม้นทำพลาดผิดแม้น       ทำพลาด

อาจแก้เป็น >>>

๐ แม้นทำผิดพลาดด้วย        เผลอไผล

จะทำให้การดำเนินเรื่องไปข้างหน้า ไม่เสียพื้นที่โคลงซึ่งมีจำกัดอยู่แล้ว
พยายามใช้คำที่มีความหมายครอบคลุมในขณะเดียวกันกับการไม่เปลืองเนื้อที่ ดังนั้นไม่ควรใช้คำหลากมากเกินไปถ้าไม่จำเป็น

๑๐. สัมผัสระหว่างบาท

ควรพยายามอย่าให้โทนเสียงเดียวกันมาสัมผัสกันหากไม่จำเป็นจริงๆ เช่น

๐ คำโคลงโยงผูกร้อย       วิชา
คำพ่อผูกใจพา               ผ่องแผ้ว
คำแม่ห่วงลูกยา             ลูกตระหนัก
คำคุรุสอนศิษย์แกล้ว       ศิษย์น้อมรับฟัง

---อ่านๆไปบทเดียวไม่เท่าไหร่แต่พอหลายบทผ่านไปเหมือนท่องอาขยาน ชวนง่วงแท้
ลองแก้ไขดูครับ เช่น...

๐ คำโคลงโยงผูกร้อย        เนื้อหา
คำพ่อผูกใจพา                 ผ่องแผ้ว
คำแม่ท่านปรารถนา           ลูกตระหนัก
คำคุรุสอนศิษย์แพร้ว          พ่างถ้อยควรถนอม ฯ

ในส่วนคำสุภาพ ...

... หา พา -ถนา  ถนอม  
   
>>> จัตวา – สามัญ – จัตวา – จัตวา

ในส่วนรูปโท …

... ร้อย – แผ้ว – แพร้ว – ถ้อย

>>> ตรี – โท – ตรี – โท

จะได้เสียงโคลงที่ไพเราะดุจเสียงโน้ตดนตรี เวลาขับเสียงขับโคลงจะฟังเสนาะหู
แต่อย่าไปจริงจังกับการหาคำมากนัก เพราะบางครั้งอาจนำสู่ความเพี้ยนแห่งความหมาย( คำด้าน )
ซึ่งโดยส่วนตัวแนะนำว่าความหมายต้องมาก่อนความไพเราะดังกล่าว
อันนี้แล้วแต่มุมมองนะครับ

  โปรดติดตามตอนต่อไป... ขอบคุณที่รับชม อมยิ้ม17อมยิ้ม29อมยิ้ม26อมยิ้ม25อมยิ้ม23อมยิ้ม22อมยิ้ม21
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่