กระทู้นี้ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่า เราจะไม่รีรอในการ SPOIL หนัง.. เนื่องจากสิ่งที่จะพูดออกมา อาจนำมาสู่การเผยเนื้อเรื่องแต่ต้นจนหนังจบ ถึงต่อให้ผมจะพยายามหลีกหนีส่วนสำคัญหรือไฮไลท์ซะแค่ไหน แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเขียนออกไปแล้วจะทำให้เดาได้ยากขึ้นกว่าเดิท
เอาเป็นว่า ถ้าใครยังไม่ได้ดูหนัง ขอความกรุณาอย่าเพิ่งอ่าน.. อยากไปดู ก็ขอให้ได้ดูจนจบก่อน แล้วค่อยกลับมาถกกันเนาะ
Batman V Superman: Dawn of Justice.. หนังที่แฟนคอมมิค (โดยเฉพาะผู้นิยมเรื่องเล่าพาดาร์คของ D.C. Comics) ล้วนรอคอยวันเวลานี้ ให้คนคู่นี้วกมาเจอกันบนจอหนังสักที ส่วนผมที่ไม่ใช่คอมมิคบอยนั้น อาจจะมีความขัดแย้งในแง่เกรงว่าการจับนู้นนี่นั่นมาประทะกัน มันจะเละ แต่ขึ้นชื่อว่า Batman ประทะ Superman เราก็แอบตื่นเต้นปนกระสันจะดูอยู่ดีแหละ
ในแง่หนัง Batman อาจขึ้นใจ น่าจดจำสำหรับผมมากกว่า โดยเฉพาะจากกลุ่มงานของ
"Christopher Nolan" ที่สามารถพาหนังซูเปอร์ฮีโร่กู้โลกไปสู่งานดรามา ตั้งแง่จริยธรรมที่ชวนฉุกคิด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยังหาไม่ค่อยได้ในหนังแนวนี้ และจนถึงวันนี้ แม้จะมีคนพยายาม ก็ยังพยายามไม่ถึงขั้นเดียวกันกับ
"The Dark Knight" Trilogy อยู่ดี
ส่วน Superman ที่ผมเริ่มมาทันได้ดูเวอร์ของ
"Bryan Singer" (ที่ทุกวันนี้ ไปได้สวยกับการทำ X-Men จนลืมว่าเคยทำหนังจากฮีโร่ D.C.ไปละมั้ง) อันนั้นก็แทบไม่หลงเหลือความทรงจำแล้ว.. ขณะที่
"Man of Steel" ของ
"Zack Snyder" นี่ถือว่าเป็นงานที่ได้รับอิทธิพลจาก The Dark Knight มาเต็มๆ (ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะมี คริส โนแลน มาร่วมวางฐานรากให้ในฐานะ Producer) มันจึงเป็นจุดที่พาพี่ซุปกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันการทำหนังของแซค ก็ก่อให้เกิดฉากแอ๊คชั่นมหาวินาศที่ตราตรึง
ฺBvS ที่ได้พา แซค กลับมาด้วยในครั้งนี้นั้น มันก็เลยชวนให้คาดหวังได้นิดนึงตรงที่ คงจะได้เห็นฉากการปะฉะดะที่โคตรจะมันส์ การฟาดฟันของพี่แบทและพี่ซุปคงจะทำให้หนังสนุกได้แต่ต้นจนจบ.. โดยผมดันลืมไปนิดนึงตรงที่ว่า แซค มีดีตรงงานที่ต้องการ Vision ที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำหนังให้ออกมาดีได้ทั้งเรื่อง
หากใครเคยดู
"Sucker Punch" ของผกก.เจ้านี้ จะเข้าใจในการอธิบายของผม.. Visionที่ดีของ แซค คือ การสร้างภาพที่ดูดี งานอาร์ตที่ฟุ้งๆ มาsupportกับการสร้างเรื่องได้น่าสนใจ แต่ในขณะที่ พอเอาแต่ละภาพ แต่ละฉาก มาต่อเรียงความกัน กลายเป็นองค์รวมของหนังมันเหลวเป๋วอย่างหน้าตาเฉย เพราะผกก.สร้างได้แต่จุดเด่น จุดขาย แต่ผสานทุกๆจุดให้ชูเรื่องเด่นไปด้วยไม่ได้เลย.. แล้วถ้าหนังเรื่องนั้น มีตัวละครเยอะ หรือตัวเรื่องเอง พลอตหลัก พลอตรอง ก็มีเยอะเช่นกัน คนที่ทำงานเน้น Vision แบบนี้ ก็มักจะเอาไม่อยู่ (ถ้าจะมีคนที่หลุดข้อต่อว่านี้ได้ คงต้องพูดถึงระดับปรมาจารย์อย่าง "George Miller" แล้วล่ะ)
ความจริง แซค ก็เริ่มจะส่อออกอาการ Good Visioner, Bad Storyteller ตอนทำ MOS บ้างแล้ว.. รู้สึกได้ถึงความบ้า Vision จนไม่ผลักดันให้เรื่องเดินได้อย่างน่าสนใจได้ตลอดทาง แต่มันก็ยังโชคดีตรงที่ โฟกัสหลักของหนัง คือ การเล่าเรื่องจากจุดเริ่มต้นของ Superman นำไปสู่การเป็นที่รู้จักของมนุษย์โลก ซึ่งไม่ได้ต้องการความยากในการสร้างเรื่อง (และคงเพราะมี โนแลน มาช่วยตบๆให้เข้าร่องเข้ารอยได้อีก)
แต่พอมาเป็น BvS แล้ว การจะสร้างเรื่องมันย่อมต้องเป็นสองเท่า ซูเปอร์แมนก็ยังต้องเล่าต่อไป และการมี แบทแมน เข้ามาก็ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน (ไม่งั้นก็ไม่ต้องจ้าง "Ben Affleck" มาเล่นเป็นแบทแมนให้ก็ได้หรอก) หนำซ้ำ การสร้างเหตุให้สองผู้ยิ่งใหญ่มาป๊ะกันแฮ่ม ก็ต้องทำให้มันมีเหตุผลที่ Grand มากพอ จึงจะทำให้ศึกนี้ มันสมศักดิ์ศรี
แต่นั่นแหละ พอหนังจะให้ศึกนี้ มันเริ่มมาจาก ความคิดสุดบ้าบอของ
"Lex Luthor" ..นี่แหละ คือ ความน่าผิดหวัง!!
จากที่พอจำได้ เล็กซ์นี่คือ ตัวร้ายแสบสุดในโลกของพี่ซุป เช่นเดียวกับที่โลกของพี่แบท มี Joker เป็นคู่อาฆาตตลอดกาลไงงั้น.. แต่ก็ที่พอจำได้จริงๆ คือ เล็กซ์ ไม่ใช่พวกแสบแบบจิตป่วย สิ่งที่ตัวละครนี้มักจะทำ มันออกไปในทางมาเฟียคุมถิ่น ผู้ทรงอิทธิพลตัวเอ้ มีเงินทองมากมายก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อจะขัดขวางคนดีอย่างซูเปอร์แมน
แต่พอ คิดจะเปลี่ยนลุค เล็กซ์ ให้แสบขึ้น ดูสะรุ่นขึ้น และต้องเกรียนด้วยนะ.. มันจึงเป็นการเอาคาแรกเตอร์แบบอัจฉริยะเด็กเนิร์ด
"Mark Suckerberg" ลงมาเกลือกกลั้วกับโลกด้านมืด และ
"๋Jesse Eisenberg" ก็เลยเข้าแก๊ปนี้ พอดีเด๊ะๆ
ความจริง องค์ประกอบนี้มันน่าสนใจนะ แม้มันอาจจะกระทบกับความรู้สึกของคอคอมมิคไปบ้างแหละ แต่มันก็น่าจะลองดูชมเผื่อว่าสูตรนี้มันอาจเวิร์กก็ได้
แต่สุดท้าย ส่วนตัวผม ก็พบว่า มันไม่เวิร์กกกกกก!! เพราะว่า...
1) การตีความ เล็กซ์ ในรูปทรงนี้ มันเหมือนจะได้แรงบันดาลใจจาก คาแรกเตอร์ Joker ของ Batman มาแทบจะเต็มๆ ..รู้สึกได้ถึงการอยากสร้าง เล็กซ์ ให้เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ กับพี่ซุป แต่ต้องได้วายร้ายที่วายป่วงกับโลกของพี่แบทได้อย่างสมบูรณ์ มันเลยต้องลอกคาแรกเตอร์ของ โจ๊กเกอร์ มาเพื่อsupportตรงนี้กันอย่างง่ายๆนี่แหละ
ซึ่งในแง่หนึ่ง ถือว่าน่าสนใจ เพราะคนที่จะคิดแผนให้สองฮีโร่มาล่อกันเอง มันก็ต้องมีความจิตๆ มีลักษณะของคนเจ้าความคิด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เงินมหาศาลในการทำให้แผนนี้เข้าทางตัวเอง ซึ่งมันทำให้ เล็กซ์ มีความเหมาะเหม็งที่จะเป็นโปรโมเตอร์ในมวยคู่นี้ได้อย่างลงตัว
แต่ปัญหาคือ หนังกลับให้คนดูรับรู้และซึมซับคาแรกเตอร์ของ เล็กซ์ น้อยมากๆ เพื่อจะดันไปให้เวลากับการเล่าแผนการณ์ ปูทางโดยเหมือนจะให้ เล็กซ์ พ้นความเกี่ยวพันตลอดเวลา ทั้งๆที่คนดูก็รู้ว่า คนจะทำแบบนี้ได้ มันก็ต้องเล็กซ์นี่แหละ.. ซึ่งต่อจะให้พยายามจะสับขาหลอกซะแค่ไหน สุดท้ายการตัดภาพกลับมาที่เล็กซ์ มันก็หลอกไม่ได้ว่าเค้าไม่เกี่ยวนะตะเอง!!
มันพอจะมีความพยายาม พูดถึงปูมหลังของเล็กซ์อยู่บ้าง (โดนพ่อรังแกมากมาย.. อยู่ในเงื้อมเงาของพ่อมานานจนอยากหาทางสำเร็จ จนคนต้องยกย่องมันมากกว่าพ่อ) แต่มันก็น้อยนิดเหลือเกิน จนผ่านไปไม่ทันไร ก็ลืมกันได้.. เอาเข้าจริง ตรงนี้ผมได้มาคุยกับเพื่อน แล้วก็เห็นตรงกันว่า มันควรจะทำหนังสักเรื่องหรืออีกสักภาค มา support ตรงนี้โดยเฉพาะ ก่อนการมาอยู่ใน BvS เพื่อที่จะรองรับน้ำหนักความร้ายกาจของ เล็กซ์ ได้ดียิ่งไปกว่านี้
เพราะความพยายามรวบรัดตัดตอนความเป็นไปของตัวละคร แต่ยังต้องการจะทำให้เห็นว่า เล็กซ์ มันยิ่งใหญ่มากพอจะทำอะไรแบบนี้ได้ มันเป็นอะไรที่สวนทางกันเลย
ส่วนการใส่ความเป็น Joker เข้าไปนั้น ก็เพราะว่ามันเล่าปูม หรือลักษณะความจิตของตัวละครแบบบางมากๆ เราเลยไม่รู้สึกว่านี่จะใช่ Joker No.2 ได้ และถ้าเทียบกับ No.1 (ตอนนี้ ขอเทียบกับ การแสดงของ
"Heath Ledger" ไปก่อนละกัน) ถือว่าความเลวยังห่างไกลมากๆ แค่ตัว Wanna be ตัวหนึ่ง ที่จะถูก No.1 ฆ่ากันได้ง่ายๆด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่า นี่คือ Joker ในภาพมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ที่ความพยายามนี้ ถือว่า Fail!
2) แต่ที่อาการหนักกว่า การ Wanna be คือ การที่ Lex ไม่สามารถใช้ความเป็นมหาเศรษฐี เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองได้
อันนี้ ผมขอให้นึก Crossover ไปหา
"Tony Stark" (Iron Man) ของโลก Marvel นะ.. จะเห็นภาพได้ชัดมากว่า นี่คือมหาเศรษฐีที่ Wanna be Superhero ซึ่งสามารถใช้เงินหมื่นล้านของตัวเอง โยงไปสู่ผลประโยชน์ต่อตัวเองและบริษัทแบบที่ต้องใช้คำว่า ตลอดเวลา ได้เลย
แม้ปากจะบอกมีจิตอาสา คิดต่อส่วนรวม (ถึงขั้นออกตัวว่า ต้องมีกฎควบคุมซุปฮีโร่) แต่ทุกการกระทำมันก็ต้องกระทบต่อการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง.. นี่แหละคือ คนที่คิดหาช่องทางความร่ำรวยให้ตัวเองมากขึ้นๆ เพื่อทำให้แบรนด์ของ Stark ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปใหญ่
ภาพตัดกลับมาที่ เล็กซ์.. นี่คือ ตัวอย่างของคนรวยที่ใช้เงินผลาญไปเพื่อความสะใจส่วนตัวล้วนๆ โดยไม่ก่อให้เกิดผลทางดีกับแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งเพราะข้อแรกที่กล่าวไปด้านบน มันก็ดันมีน้ำหนักน้อยอยู่แล้ว มันก็ยิ่งมาทำให้ข้อสอง กลายเป็นส่วนผิดพลาดกับตัวละครนี้หนักขึ้นไปอีก
มันเป็นได้เพียงนักธุรกิจสติเลอะเทอะ ที่มีแผนการใหญ่โตจะสร้างความชอบธรรมให้เกิดการห้ำของสองตัวแสบในวงการอาชญากรรม แต่สุดท้ายดันไม่คาดหวังผลประโยชน์ต่อตัวเอง หนำซ้ำสิ่งที่ทำใหญ่โต จนเกิดผลเป็น
"Doomsday" ยิ่งกลายเป็นการทำลายตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ว ในฐานะมนุษย์ เอ็งก็ไม่มีสิทธิ์่ควบคุมเทพเจ้าในร่างสัตว์ประหลาด และทุกอย่างก็จบลงในทางที่สร้างผลร้ายให้ตัวเอง ถูกตราหน้ากลายเป็นไอ้อาชญากร ผู้ที่ทำให้เกิดการสูญเสียใหญ่หลวงต่อโลก เท่านั้นเอง
การที่ทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งทางสถานะสังคม ความมั่งคั่ง และกับตัวตน.. มันทำให้ เล็กซ์ กลายเป็นไอ้โง่ดักดานคนหนึ่ง ที่ทำร้ายตัวเอง ด้วยสิ่งที่ตัวเองทำล้วนๆ และดันไม่ได้โอกาสสร้างภาพไอ้ตัวร้ายที่โลกต้องมี อย่างที่ Joker ทำได้ในโลกของแบทแมน (คือ ถึงต่อเอ็งต้องถูกจับกุม สุดท้าย เอ็งก็ยังจะมีโอกาสมาสร้างความป่วงได้อีกเรื่อยๆ ไม่แน่อยู่ในคุกมันก็ยังทำอะไรๆได้)
3) มาถึงข้อนี้ มันเลยตอบโจทย์ที่ว่า การเปลี่ยนลุคของ เล็กซ์ ประสบผลสำเร็จมั้ย? ก็ตอบได้เลยว่า ไม่! และทำให้ภาพเก่าๆ ของ
"Kevin Spacey" หวนกลับมาทำให้คิดถึง
นี่มันเหมือนการทำลายภาพลักษณ์ที่มีลายเซ็นของ เล็กซ์ ให้กลายเป็นเพียงไอ้เศรษฐีสตึๆคนหนึ่ง ที่เก่งจะสร้างเรื่องทำลายภาพพจน์ตัวเอง มากกว่าจะทำให้ภาพของตัวเองมีแต่คนนับหน้าถือตา ส่งผลให้ความทรงอิทธิพลของตัวละครนี้ ยังคงอยู่ต่อไปในสังคม Metropolis.. พอจบ BvS ไป ภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ มันเลยเหลือแค่ไอ้คนคุกคนหนึ่ง ที่ไม่หลงเหลือที่ทางจะให้ตัวเองได้แผลงฤทธิ์แสบอีกต่อไป
ขณะที่ ภาพจากเควิน ถึงต่อให้จะจบได้ดูเป็นวายร้ายอ่อนด้อยตัวหนึ่ง.. แต่ภาพของเล็กซ์ ที่ดูทรงภูมิ มันก็ยังคงค้างคาติดผนึก ให้รู้สึกว่า ถ้าสักวันตัวละครนี้จะกลับมา เราก็จะมีภาพจำจากคนๆนี้นี่แหละ ที่บอกว่า นี่คือคนที่เคยใช่ที่สุด สำหรับการเป็น เล็กซ์
แต่เล็กซ์ ในร่างของ เจซซี่ จบคือจบ.. และพร้อมจะถูกลบจากความทรงจำ ในเวลาอีกไม่นานนี้
ในส่วนของจุดอ่อนที่เหลือของหนังนั้น จะขอนำไปพูดถึงต่อไป...
ชวนถกเถียง... #BvS ว่าด้วยเรื่องของ "Lex Luthor" และจุดอ่อนทั้งหมดที่นำไปสู่ ความน่าผิดหวัง!!
เอาเป็นว่า ถ้าใครยังไม่ได้ดูหนัง ขอความกรุณาอย่าเพิ่งอ่าน.. อยากไปดู ก็ขอให้ได้ดูจนจบก่อน แล้วค่อยกลับมาถกกันเนาะ
Batman V Superman: Dawn of Justice.. หนังที่แฟนคอมมิค (โดยเฉพาะผู้นิยมเรื่องเล่าพาดาร์คของ D.C. Comics) ล้วนรอคอยวันเวลานี้ ให้คนคู่นี้วกมาเจอกันบนจอหนังสักที ส่วนผมที่ไม่ใช่คอมมิคบอยนั้น อาจจะมีความขัดแย้งในแง่เกรงว่าการจับนู้นนี่นั่นมาประทะกัน มันจะเละ แต่ขึ้นชื่อว่า Batman ประทะ Superman เราก็แอบตื่นเต้นปนกระสันจะดูอยู่ดีแหละ
ในแง่หนัง Batman อาจขึ้นใจ น่าจดจำสำหรับผมมากกว่า โดยเฉพาะจากกลุ่มงานของ "Christopher Nolan" ที่สามารถพาหนังซูเปอร์ฮีโร่กู้โลกไปสู่งานดรามา ตั้งแง่จริยธรรมที่ชวนฉุกคิด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยังหาไม่ค่อยได้ในหนังแนวนี้ และจนถึงวันนี้ แม้จะมีคนพยายาม ก็ยังพยายามไม่ถึงขั้นเดียวกันกับ "The Dark Knight" Trilogy อยู่ดี
ส่วน Superman ที่ผมเริ่มมาทันได้ดูเวอร์ของ "Bryan Singer" (ที่ทุกวันนี้ ไปได้สวยกับการทำ X-Men จนลืมว่าเคยทำหนังจากฮีโร่ D.C.ไปละมั้ง) อันนั้นก็แทบไม่หลงเหลือความทรงจำแล้ว.. ขณะที่ "Man of Steel" ของ "Zack Snyder" นี่ถือว่าเป็นงานที่ได้รับอิทธิพลจาก The Dark Knight มาเต็มๆ (ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะมี คริส โนแลน มาร่วมวางฐานรากให้ในฐานะ Producer) มันจึงเป็นจุดที่พาพี่ซุปกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันการทำหนังของแซค ก็ก่อให้เกิดฉากแอ๊คชั่นมหาวินาศที่ตราตรึง
ฺBvS ที่ได้พา แซค กลับมาด้วยในครั้งนี้นั้น มันก็เลยชวนให้คาดหวังได้นิดนึงตรงที่ คงจะได้เห็นฉากการปะฉะดะที่โคตรจะมันส์ การฟาดฟันของพี่แบทและพี่ซุปคงจะทำให้หนังสนุกได้แต่ต้นจนจบ.. โดยผมดันลืมไปนิดนึงตรงที่ว่า แซค มีดีตรงงานที่ต้องการ Vision ที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำหนังให้ออกมาดีได้ทั้งเรื่อง
หากใครเคยดู "Sucker Punch" ของผกก.เจ้านี้ จะเข้าใจในการอธิบายของผม.. Visionที่ดีของ แซค คือ การสร้างภาพที่ดูดี งานอาร์ตที่ฟุ้งๆ มาsupportกับการสร้างเรื่องได้น่าสนใจ แต่ในขณะที่ พอเอาแต่ละภาพ แต่ละฉาก มาต่อเรียงความกัน กลายเป็นองค์รวมของหนังมันเหลวเป๋วอย่างหน้าตาเฉย เพราะผกก.สร้างได้แต่จุดเด่น จุดขาย แต่ผสานทุกๆจุดให้ชูเรื่องเด่นไปด้วยไม่ได้เลย.. แล้วถ้าหนังเรื่องนั้น มีตัวละครเยอะ หรือตัวเรื่องเอง พลอตหลัก พลอตรอง ก็มีเยอะเช่นกัน คนที่ทำงานเน้น Vision แบบนี้ ก็มักจะเอาไม่อยู่ (ถ้าจะมีคนที่หลุดข้อต่อว่านี้ได้ คงต้องพูดถึงระดับปรมาจารย์อย่าง "George Miller" แล้วล่ะ)
ความจริง แซค ก็เริ่มจะส่อออกอาการ Good Visioner, Bad Storyteller ตอนทำ MOS บ้างแล้ว.. รู้สึกได้ถึงความบ้า Vision จนไม่ผลักดันให้เรื่องเดินได้อย่างน่าสนใจได้ตลอดทาง แต่มันก็ยังโชคดีตรงที่ โฟกัสหลักของหนัง คือ การเล่าเรื่องจากจุดเริ่มต้นของ Superman นำไปสู่การเป็นที่รู้จักของมนุษย์โลก ซึ่งไม่ได้ต้องการความยากในการสร้างเรื่อง (และคงเพราะมี โนแลน มาช่วยตบๆให้เข้าร่องเข้ารอยได้อีก)
แต่พอมาเป็น BvS แล้ว การจะสร้างเรื่องมันย่อมต้องเป็นสองเท่า ซูเปอร์แมนก็ยังต้องเล่าต่อไป และการมี แบทแมน เข้ามาก็ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน (ไม่งั้นก็ไม่ต้องจ้าง "Ben Affleck" มาเล่นเป็นแบทแมนให้ก็ได้หรอก) หนำซ้ำ การสร้างเหตุให้สองผู้ยิ่งใหญ่มาป๊ะกันแฮ่ม ก็ต้องทำให้มันมีเหตุผลที่ Grand มากพอ จึงจะทำให้ศึกนี้ มันสมศักดิ์ศรี
แต่นั่นแหละ พอหนังจะให้ศึกนี้ มันเริ่มมาจาก ความคิดสุดบ้าบอของ "Lex Luthor" ..นี่แหละ คือ ความน่าผิดหวัง!!
จากที่พอจำได้ เล็กซ์นี่คือ ตัวร้ายแสบสุดในโลกของพี่ซุป เช่นเดียวกับที่โลกของพี่แบท มี Joker เป็นคู่อาฆาตตลอดกาลไงงั้น.. แต่ก็ที่พอจำได้จริงๆ คือ เล็กซ์ ไม่ใช่พวกแสบแบบจิตป่วย สิ่งที่ตัวละครนี้มักจะทำ มันออกไปในทางมาเฟียคุมถิ่น ผู้ทรงอิทธิพลตัวเอ้ มีเงินทองมากมายก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อจะขัดขวางคนดีอย่างซูเปอร์แมน
แต่พอ คิดจะเปลี่ยนลุค เล็กซ์ ให้แสบขึ้น ดูสะรุ่นขึ้น และต้องเกรียนด้วยนะ.. มันจึงเป็นการเอาคาแรกเตอร์แบบอัจฉริยะเด็กเนิร์ด "Mark Suckerberg" ลงมาเกลือกกลั้วกับโลกด้านมืด และ "๋Jesse Eisenberg" ก็เลยเข้าแก๊ปนี้ พอดีเด๊ะๆ
ความจริง องค์ประกอบนี้มันน่าสนใจนะ แม้มันอาจจะกระทบกับความรู้สึกของคอคอมมิคไปบ้างแหละ แต่มันก็น่าจะลองดูชมเผื่อว่าสูตรนี้มันอาจเวิร์กก็ได้
แต่สุดท้าย ส่วนตัวผม ก็พบว่า มันไม่เวิร์กกกกกก!! เพราะว่า...
1) การตีความ เล็กซ์ ในรูปทรงนี้ มันเหมือนจะได้แรงบันดาลใจจาก คาแรกเตอร์ Joker ของ Batman มาแทบจะเต็มๆ ..รู้สึกได้ถึงการอยากสร้าง เล็กซ์ ให้เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ กับพี่ซุป แต่ต้องได้วายร้ายที่วายป่วงกับโลกของพี่แบทได้อย่างสมบูรณ์ มันเลยต้องลอกคาแรกเตอร์ของ โจ๊กเกอร์ มาเพื่อsupportตรงนี้กันอย่างง่ายๆนี่แหละ
ซึ่งในแง่หนึ่ง ถือว่าน่าสนใจ เพราะคนที่จะคิดแผนให้สองฮีโร่มาล่อกันเอง มันก็ต้องมีความจิตๆ มีลักษณะของคนเจ้าความคิด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เงินมหาศาลในการทำให้แผนนี้เข้าทางตัวเอง ซึ่งมันทำให้ เล็กซ์ มีความเหมาะเหม็งที่จะเป็นโปรโมเตอร์ในมวยคู่นี้ได้อย่างลงตัว
แต่ปัญหาคือ หนังกลับให้คนดูรับรู้และซึมซับคาแรกเตอร์ของ เล็กซ์ น้อยมากๆ เพื่อจะดันไปให้เวลากับการเล่าแผนการณ์ ปูทางโดยเหมือนจะให้ เล็กซ์ พ้นความเกี่ยวพันตลอดเวลา ทั้งๆที่คนดูก็รู้ว่า คนจะทำแบบนี้ได้ มันก็ต้องเล็กซ์นี่แหละ.. ซึ่งต่อจะให้พยายามจะสับขาหลอกซะแค่ไหน สุดท้ายการตัดภาพกลับมาที่เล็กซ์ มันก็หลอกไม่ได้ว่าเค้าไม่เกี่ยวนะตะเอง!!
มันพอจะมีความพยายาม พูดถึงปูมหลังของเล็กซ์อยู่บ้าง (โดนพ่อรังแกมากมาย.. อยู่ในเงื้อมเงาของพ่อมานานจนอยากหาทางสำเร็จ จนคนต้องยกย่องมันมากกว่าพ่อ) แต่มันก็น้อยนิดเหลือเกิน จนผ่านไปไม่ทันไร ก็ลืมกันได้.. เอาเข้าจริง ตรงนี้ผมได้มาคุยกับเพื่อน แล้วก็เห็นตรงกันว่า มันควรจะทำหนังสักเรื่องหรืออีกสักภาค มา support ตรงนี้โดยเฉพาะ ก่อนการมาอยู่ใน BvS เพื่อที่จะรองรับน้ำหนักความร้ายกาจของ เล็กซ์ ได้ดียิ่งไปกว่านี้
เพราะความพยายามรวบรัดตัดตอนความเป็นไปของตัวละคร แต่ยังต้องการจะทำให้เห็นว่า เล็กซ์ มันยิ่งใหญ่มากพอจะทำอะไรแบบนี้ได้ มันเป็นอะไรที่สวนทางกันเลย
ส่วนการใส่ความเป็น Joker เข้าไปนั้น ก็เพราะว่ามันเล่าปูม หรือลักษณะความจิตของตัวละครแบบบางมากๆ เราเลยไม่รู้สึกว่านี่จะใช่ Joker No.2 ได้ และถ้าเทียบกับ No.1 (ตอนนี้ ขอเทียบกับ การแสดงของ "Heath Ledger" ไปก่อนละกัน) ถือว่าความเลวยังห่างไกลมากๆ แค่ตัว Wanna be ตัวหนึ่ง ที่จะถูก No.1 ฆ่ากันได้ง่ายๆด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่า นี่คือ Joker ในภาพมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ที่ความพยายามนี้ ถือว่า Fail!
2) แต่ที่อาการหนักกว่า การ Wanna be คือ การที่ Lex ไม่สามารถใช้ความเป็นมหาเศรษฐี เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองได้
อันนี้ ผมขอให้นึก Crossover ไปหา "Tony Stark" (Iron Man) ของโลก Marvel นะ.. จะเห็นภาพได้ชัดมากว่า นี่คือมหาเศรษฐีที่ Wanna be Superhero ซึ่งสามารถใช้เงินหมื่นล้านของตัวเอง โยงไปสู่ผลประโยชน์ต่อตัวเองและบริษัทแบบที่ต้องใช้คำว่า ตลอดเวลา ได้เลย
แม้ปากจะบอกมีจิตอาสา คิดต่อส่วนรวม (ถึงขั้นออกตัวว่า ต้องมีกฎควบคุมซุปฮีโร่) แต่ทุกการกระทำมันก็ต้องกระทบต่อการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง.. นี่แหละคือ คนที่คิดหาช่องทางความร่ำรวยให้ตัวเองมากขึ้นๆ เพื่อทำให้แบรนด์ของ Stark ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปใหญ่
ภาพตัดกลับมาที่ เล็กซ์.. นี่คือ ตัวอย่างของคนรวยที่ใช้เงินผลาญไปเพื่อความสะใจส่วนตัวล้วนๆ โดยไม่ก่อให้เกิดผลทางดีกับแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งเพราะข้อแรกที่กล่าวไปด้านบน มันก็ดันมีน้ำหนักน้อยอยู่แล้ว มันก็ยิ่งมาทำให้ข้อสอง กลายเป็นส่วนผิดพลาดกับตัวละครนี้หนักขึ้นไปอีก
มันเป็นได้เพียงนักธุรกิจสติเลอะเทอะ ที่มีแผนการใหญ่โตจะสร้างความชอบธรรมให้เกิดการห้ำของสองตัวแสบในวงการอาชญากรรม แต่สุดท้ายดันไม่คาดหวังผลประโยชน์ต่อตัวเอง หนำซ้ำสิ่งที่ทำใหญ่โต จนเกิดผลเป็น "Doomsday" ยิ่งกลายเป็นการทำลายตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ว ในฐานะมนุษย์ เอ็งก็ไม่มีสิทธิ์่ควบคุมเทพเจ้าในร่างสัตว์ประหลาด และทุกอย่างก็จบลงในทางที่สร้างผลร้ายให้ตัวเอง ถูกตราหน้ากลายเป็นไอ้อาชญากร ผู้ที่ทำให้เกิดการสูญเสียใหญ่หลวงต่อโลก เท่านั้นเอง
การที่ทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งทางสถานะสังคม ความมั่งคั่ง และกับตัวตน.. มันทำให้ เล็กซ์ กลายเป็นไอ้โง่ดักดานคนหนึ่ง ที่ทำร้ายตัวเอง ด้วยสิ่งที่ตัวเองทำล้วนๆ และดันไม่ได้โอกาสสร้างภาพไอ้ตัวร้ายที่โลกต้องมี อย่างที่ Joker ทำได้ในโลกของแบทแมน (คือ ถึงต่อเอ็งต้องถูกจับกุม สุดท้าย เอ็งก็ยังจะมีโอกาสมาสร้างความป่วงได้อีกเรื่อยๆ ไม่แน่อยู่ในคุกมันก็ยังทำอะไรๆได้)
3) มาถึงข้อนี้ มันเลยตอบโจทย์ที่ว่า การเปลี่ยนลุคของ เล็กซ์ ประสบผลสำเร็จมั้ย? ก็ตอบได้เลยว่า ไม่! และทำให้ภาพเก่าๆ ของ "Kevin Spacey" หวนกลับมาทำให้คิดถึง
นี่มันเหมือนการทำลายภาพลักษณ์ที่มีลายเซ็นของ เล็กซ์ ให้กลายเป็นเพียงไอ้เศรษฐีสตึๆคนหนึ่ง ที่เก่งจะสร้างเรื่องทำลายภาพพจน์ตัวเอง มากกว่าจะทำให้ภาพของตัวเองมีแต่คนนับหน้าถือตา ส่งผลให้ความทรงอิทธิพลของตัวละครนี้ ยังคงอยู่ต่อไปในสังคม Metropolis.. พอจบ BvS ไป ภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ มันเลยเหลือแค่ไอ้คนคุกคนหนึ่ง ที่ไม่หลงเหลือที่ทางจะให้ตัวเองได้แผลงฤทธิ์แสบอีกต่อไป
ขณะที่ ภาพจากเควิน ถึงต่อให้จะจบได้ดูเป็นวายร้ายอ่อนด้อยตัวหนึ่ง.. แต่ภาพของเล็กซ์ ที่ดูทรงภูมิ มันก็ยังคงค้างคาติดผนึก ให้รู้สึกว่า ถ้าสักวันตัวละครนี้จะกลับมา เราก็จะมีภาพจำจากคนๆนี้นี่แหละ ที่บอกว่า นี่คือคนที่เคยใช่ที่สุด สำหรับการเป็น เล็กซ์
แต่เล็กซ์ ในร่างของ เจซซี่ จบคือจบ.. และพร้อมจะถูกลบจากความทรงจำ ในเวลาอีกไม่นานนี้
ในส่วนของจุดอ่อนที่เหลือของหนังนั้น จะขอนำไปพูดถึงต่อไป...