พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) บทนำ ==>>
http://ppantip.com/topic/34847580
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๑ แสงแรก ==>>
http://ppantip.com/topic/34875682
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๒ แสงเร้น ==>>
http://ppantip.com/topic/34904297
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๓ แสงแห่งความหวัง ==>>
http://ppantip.com/topic/34925193
แสงที่ ๔ แสงแห่งจุดเริ่มต้น (๑)
รถที่ทางสิมขาลส่งมารับแล่นผ่านชายหาดสลับภูเขาขนาดเล็กที่บางส่วนกลายเป็นเกาะในทะเลพาแขกพิเศษจากการ์เมียนมาหยุดลงยัง Pana de La Flora แห่งนี้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงจากท่าเรือ
เมื่อก้าวลงจากรถ บุตรชายของประธานาธิบดีแห่งการ์เมียนที่มาร่วมงานมงคลสมรสนี้ในฐานะพี่ชายและตัวแทนครอบครัวฝ่ายเจ้าสาว เงยหน้าขึ้นมองโรงแรมที่ถือได้ว่าหรูที่สุดบนหาดโฮม่าแห่งนี้
‘ฮึ... ไศลก็ยังคงเป็นไศล เว้นจากน้องตาโมแล้ว ไอ้บาวีคนนั้นมันไม่เคยปล่อยให้การ์เมียนหน้าไหนได้ไปเหยียบ... ภูพันแสง เมืองหลวงและที่ตั้งกองบัญชาการใหญ่ของสิมขาลที่การ์เมียนไม่เคยรู้จุดยุทธศาสตร์ทางทหารสำคัญๆ ภายในนั้นเลย’
ขนาดงานแต่งงานของมัน มันยังยอมมาจัดไกลถึงที่นี่ ปิดโอกาสที่จะให้เขาได้เห็นภูพันแสงด้วยตาตัวเองสักครั้งลงสิ้นเชิง
“แน่ใจนะครับท่าน”
ร่างสูงผึ่งผายในชุดสูทสากลสีดำเหลียวมองหัวหน้าผู้ติดตามแวบหนึ่ง น้ำเสียงที่ตอบมาวินไม่ยี่หระ “แค่นี้ก็เหลือจะพอ”
คนฟังที่มักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าให้ใครจับความรู้สึกได้นิ่งไป สิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าเขาไม่สบายใจมากแค่ไหนคือแววตากลัดกลุ้มเท่านั้น
จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในแดนศัตรูถึงสามวันเต็มๆ แต่นายของเขากลับบอกสั้นๆ แค่ว่า
‘คัดคนที่ไว้ใจได้มาแค่สี่คนก็พอ’ ที่เหลือทิ้งไว้ที่ท่าเรือ แล้วพวกเขาก็มาขึ้นรถที่ไศลจัดไว้บริการมาถึงนี่ หลังจากที่โดนตรวจค้นและยึดอาวุธอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว
“แน่ใจเถอะมาวิน ข้างในมีคนรอคุ้มกันเราอีกเพียบแน่” ส่ายีย้ำเสียงเรียบไม่ดังนัก เมื่อเห็นคนของโรงแรมรีบเดินตรงเข้ามาทันทีที่เห็นพวกเขาลงจากรถที่ไปรับ
ตั้งแต่ท่าเรือมาจนถึงที่นี่ เจ้าบ่าวอย่างไศลคงเตรียมการรักษาความปลอดภัยไว้เต็มอัตราศึก
ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้สักนิด เมื่อเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของโรงแรม ชายฉกรรจ์ในสูทดำยืนกระจายเต็มห้องโถง พากันจับจ้องมองมายังพวกเขาเป็นตาเดียวให้บรรยากาศเย็นเยียบและกดดันหนักหน่วงแม้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ หรือเครื่องประดับที่ใช้ตกแต่งสถานที่ไว้งดงามก็ยากที่จะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายไปได้
จะมีผิดอยู่อย่างเดียว...
ส่ายีไม่เคยคาดฝันว่าในกลุ่มคนที่ยืนรอเพื่อคุมตัวเขาทุกฝีก้าวนั้นจะมีผู้หญิงที่ ‘คุมหัวใจ’ เขาไว้รวมอยู่ด้วย
‘ในที่สุด... เขาก็มาถึง’ ศัตรูที่ตามเข่นฆ่าล้างผลาญเพื่อผนวกรวมดินแดนหวังเข้ามากอบโกยผลประโยชน์เข้ายุ้งฉางตัวเองมากว่าสามสิบปี
เธอแน่ใจ ไม่มีสิมขาลคนไหนอยากให้ผู้ที่มีเลือดเนื้อของชาวการ์เมียนไม่ว่าหน้าไหนมีโอกาสได้เข้ามาเหยียบแผ่นดินนี้แม้แต่ก้าวเดียว แต่วันนี้... คนที่เป็นถึงลูกชายของนรกที่เคยล้มระบอบกษัตริย์ของสิมขาล หลู่เกียรติของพระชายา ก่อไฟสงครามเข่นฆ่าชาวสิมขาลตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา กลับเดินเข้ามาได้อย่างสง่าผ่าเผยด้วยรถที่สิมขาลส่งไปรับถึงที่
มาได้... เพราะ มันเป็นประกาศิตของบาวีที่ต้องการทำทุกสิ่งเพื่อเจ้าสาวอันเป็นที่รักของเขา
ชั่วขณะ ที่ความหึงหวงปนเจ็บปวดตามอารมณ์อันอ่อนแอของเพศหญิงพุ่งเข้ามาบีบเค้นหัวใจเธอ
พรุ่งนี้แล้วสินะ พรุ่งนี้ที่เธอจะต้องสูญเสียผู้ชายคนเดียวที่เธอฝากหัวใจไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่นตลอดไป
ร่างสูงผึ่งผายก้าวเดินขึงขังแบบทหารเข้ามาใกล้ การก้าวเดินตรงองอาจ บอกถึงความมั่นใจในอำนาจ ไม่หวั่นเกรงว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดนั้น ไม่ได้ทำให้เธอระย่อสักนิด
นักธุรกิจสาวที่ถูกความจำเป็นบังคับให้ต้องมาทำหน้าที่รับรองแขกคนสำคัญของฝ่ายเจ้าสาวอย่างไม่เต็มใจ กดความอาดูรไว้ให้ลึกสุดใจ สายตาที่มองตรงไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าที่เดินตรงเข้ามาหาเต็มไปด้วยประกายกล้า แล้วเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวตามแรงของความเกลียดชังที่ฝังแนบแน่นติดวิญญาณเมื่อจ้องเขม็งไปยังคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม
ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาที่เหลือน้อยลงทุกทีทำให้ริมฝีปากบางถูกเม้มสนิทชั่วครู่ก่อนคลายออก แล้วพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดอย่างสิ้นเชิงออกไป
“สิมขาลยินดีต้อนรับ”
แขกฝ่ายเจ้าสาวในสูทดำทั้งห้าค้อมศีรษะลง คงเป็นวิถีปฏิบัติในการทักทายของการ์เมียนทำให้อันนายิ่งเชิดศีรษะอย่างไว้ตัวมากขึ้น
“ยินดีที่ได้พบคุณ... อีกครั้ง”
เขาเว้นช่วงคำพูดไปอึดใจ เพื่อที่จะก้าวเข้ามาหาร่างระหงสวยสง่า ดวงตาสองคู่จึงสบประสานกันในระยะประชิดราวเป็นการท้าทายและทดสอบอีกฝ่าย แล้วพูดเสียงต่ำทุ้มในลำคอขึ้นอีกครั้ง
“และยินดีที่สุดที่ครั้งนี้คุณมารอต้อนรับผมด้วยตัวเอง”
หญิงสาวฟังแล้วหน้าร้อนขึ้น เธอน่ะหรืออยากจะมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนนี่เอง เธอเพิ่งได้รับคำสั่งตรงมาจากไศล ให้เป็นตัวแทนสิมขาลต้อนรับและดูแลแขกเหรื่อจากต่างชาติทุกคณะ
โดยเฉพาะคณะที่มาจากการ์เมียนที่ต้องเข้มงวดในการ
‘ดูแล’ ให้เข้มข้นเป็นพิเศษ
สตรีที่ถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจผู้กุมกระเป๋าเงินของกองทัพสิมขาลอยากจะสะบัดหน้าหนี หรือไม่ก็ไล่ตะเพิดคนพวกนี้ไปให้พ้นหน้า แต่เมื่อทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง ก็หันไปมองพนักงานของโรงแรมแวบหนึ่งเป็นเชิงให้สัญญาณ ข่มใจรอให้บริกรที่กำลังเดินประคองถาดเครื่องดื่มสีฟ้าสดใสเข้ามาเสิร์ฟผู้มีเกียรติคนล่าสุดที่เพิ่งเดินทางมาถึง แต่เมื่อเห็นคนติดตามของเขาโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ เธอก็เค้นเสียงต่ำค่อนข้างดุเดือดใส่ผู้ชายตรงหน้า
“ฉันทำตามคำสั่งของบาวี” แล้วตัดบท ยุติการสนทนาลงด้วยประโยค “ห้องพักของพวกคุณอยู่ชั้นห้า ห้องเพนเนนซูลาสูท ชื่อห้อง Cassia เชิญค่ะ”
แต่แล้วความขุ่นเคืองก็ยิ่งเพิ่มระดับสูงขึ้นจนน่าตกใจ เมื่อร่างสูงที่ข่มให้เธอดูตัวเล็กไปถนัดใจยังปักหลักยืนนิ่ง ไม่สนใจการไล่กรายๆ ของเธอสักนิด แถมยังมีหน้ามายิ้มยั่วอีกด้วย
“อะไรกัน” น้ำเสียงราวจะยั่วเย้า “ผมเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันได้เดินดูอะไรให้ทั่วเลย คุณจะให้ผมขึ้นห้องพักเสียแล้วหรือ”
“ถ้าเป็นไปได้ ก็กรุณาอย่าเดินดูอะไรให้ทั่วอย่างที่คุณว่าเด็ดขาด ถึงที่นี่จะไม่ใช่ใจกลางค่ายทหารอย่างภูพันแสง แต่ก็เป็นสิมขาล รับรองได้ว่าถ้าคุณขืนไปเดินเพ่นพ่านไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะก็” ดวงตามาดร้ายของเธอ แทนคำพูดที่ยังค้างไว้ได้ดี
“คุณก็” แม้จะเป็นการยั่วแหย่ แต่น้ำเสียงก็ออดเหมือนจะขอความเห็นใจ “นานๆ ผมจะได้มีเวลาส่วนตัวที่ไม่ต้องทำงานเสียที แถมเท่าที่ผมรู้สิมขาลก็กำลังจะพัฒนาที่นี่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะลอันขึ้นชื่อไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวตาลุกวาบทันที “อย่าสอดรู้เรื่องภายในของเราให้มากนัก” นี่ศัตรูรู้เรื่องราวภายในของสิมขาลมากน้อยขนาดไหนกัน
ชายหนุ่มสอดมือในกระเป๋ากางเกง ท่าทีดูผ่อนคลาย ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับเรื่องที่กำลังพูด “เรื่องแบบนี้ รู้ไว้บ้างก็ดีไม่ใช่หรือ เผื่อว่าวันข้างหน้าเราอาจจะได้เป็นพันธมิตรทางการค้ากันก็ได้”
อันนาเปิดยิ้มเยาะหยันให้อีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า “ฉันไม่เคยคิดจะค้าขายกับหมา... จิ้งจอกที่หิวโซกินไม่รู้จักพอ เจ้าเล่ห์ คอยจ้องแต่จะลอบกัด เลี้ยงยังไงก็เลี้ยงไม่เชื่อง”
ท่ายืนผ่อนคลายตามสบายของส่ายีพลันหายไปพร้อมกับรอยยิ้มพราวบนใบหน้าคมคาย “ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ หมาจิ้งจอกเป็นนักล่า เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว” เขาเน้นเสียงหนัก “สามารถหลอกล่อเหยื่อที่ต้องการได้เสมอ”
“ฉันแน่ใจ ฉันไม่ตกเป็นเหยื่อให้หมาจิ้งจอกแบบคุณได้ล่าง่ายๆ แน่”
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๔ แสงแห่งจุดเริ่มต้น (๑) ++ ปกภูพันแสง ++
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) บทนำ ==>> http://ppantip.com/topic/34847580
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๑ แสงแรก ==>> http://ppantip.com/topic/34875682
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๒ แสงเร้น ==>> http://ppantip.com/topic/34904297
พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) แสงที่ ๓ แสงแห่งความหวัง ==>> http://ppantip.com/topic/34925193
รถที่ทางสิมขาลส่งมารับแล่นผ่านชายหาดสลับภูเขาขนาดเล็กที่บางส่วนกลายเป็นเกาะในทะเลพาแขกพิเศษจากการ์เมียนมาหยุดลงยัง Pana de La Flora แห่งนี้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงจากท่าเรือ
เมื่อก้าวลงจากรถ บุตรชายของประธานาธิบดีแห่งการ์เมียนที่มาร่วมงานมงคลสมรสนี้ในฐานะพี่ชายและตัวแทนครอบครัวฝ่ายเจ้าสาว เงยหน้าขึ้นมองโรงแรมที่ถือได้ว่าหรูที่สุดบนหาดโฮม่าแห่งนี้
‘ฮึ... ไศลก็ยังคงเป็นไศล เว้นจากน้องตาโมแล้ว ไอ้บาวีคนนั้นมันไม่เคยปล่อยให้การ์เมียนหน้าไหนได้ไปเหยียบ... ภูพันแสง เมืองหลวงและที่ตั้งกองบัญชาการใหญ่ของสิมขาลที่การ์เมียนไม่เคยรู้จุดยุทธศาสตร์ทางทหารสำคัญๆ ภายในนั้นเลย’
ขนาดงานแต่งงานของมัน มันยังยอมมาจัดไกลถึงที่นี่ ปิดโอกาสที่จะให้เขาได้เห็นภูพันแสงด้วยตาตัวเองสักครั้งลงสิ้นเชิง
“แน่ใจนะครับท่าน”
ร่างสูงผึ่งผายในชุดสูทสากลสีดำเหลียวมองหัวหน้าผู้ติดตามแวบหนึ่ง น้ำเสียงที่ตอบมาวินไม่ยี่หระ “แค่นี้ก็เหลือจะพอ”
คนฟังที่มักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าให้ใครจับความรู้สึกได้นิ่งไป สิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าเขาไม่สบายใจมากแค่ไหนคือแววตากลัดกลุ้มเท่านั้น
จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในแดนศัตรูถึงสามวันเต็มๆ แต่นายของเขากลับบอกสั้นๆ แค่ว่า ‘คัดคนที่ไว้ใจได้มาแค่สี่คนก็พอ’ ที่เหลือทิ้งไว้ที่ท่าเรือ แล้วพวกเขาก็มาขึ้นรถที่ไศลจัดไว้บริการมาถึงนี่ หลังจากที่โดนตรวจค้นและยึดอาวุธอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว
“แน่ใจเถอะมาวิน ข้างในมีคนรอคุ้มกันเราอีกเพียบแน่” ส่ายีย้ำเสียงเรียบไม่ดังนัก เมื่อเห็นคนของโรงแรมรีบเดินตรงเข้ามาทันทีที่เห็นพวกเขาลงจากรถที่ไปรับ
ตั้งแต่ท่าเรือมาจนถึงที่นี่ เจ้าบ่าวอย่างไศลคงเตรียมการรักษาความปลอดภัยไว้เต็มอัตราศึก
ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้สักนิด เมื่อเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของโรงแรม ชายฉกรรจ์ในสูทดำยืนกระจายเต็มห้องโถง พากันจับจ้องมองมายังพวกเขาเป็นตาเดียวให้บรรยากาศเย็นเยียบและกดดันหนักหน่วงแม้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ หรือเครื่องประดับที่ใช้ตกแต่งสถานที่ไว้งดงามก็ยากที่จะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายไปได้
จะมีผิดอยู่อย่างเดียว...
ส่ายีไม่เคยคาดฝันว่าในกลุ่มคนที่ยืนรอเพื่อคุมตัวเขาทุกฝีก้าวนั้นจะมีผู้หญิงที่ ‘คุมหัวใจ’ เขาไว้รวมอยู่ด้วย
‘ในที่สุด... เขาก็มาถึง’ ศัตรูที่ตามเข่นฆ่าล้างผลาญเพื่อผนวกรวมดินแดนหวังเข้ามากอบโกยผลประโยชน์เข้ายุ้งฉางตัวเองมากว่าสามสิบปี
เธอแน่ใจ ไม่มีสิมขาลคนไหนอยากให้ผู้ที่มีเลือดเนื้อของชาวการ์เมียนไม่ว่าหน้าไหนมีโอกาสได้เข้ามาเหยียบแผ่นดินนี้แม้แต่ก้าวเดียว แต่วันนี้... คนที่เป็นถึงลูกชายของนรกที่เคยล้มระบอบกษัตริย์ของสิมขาล หลู่เกียรติของพระชายา ก่อไฟสงครามเข่นฆ่าชาวสิมขาลตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา กลับเดินเข้ามาได้อย่างสง่าผ่าเผยด้วยรถที่สิมขาลส่งไปรับถึงที่
มาได้... เพราะ มันเป็นประกาศิตของบาวีที่ต้องการทำทุกสิ่งเพื่อเจ้าสาวอันเป็นที่รักของเขา
ชั่วขณะ ที่ความหึงหวงปนเจ็บปวดตามอารมณ์อันอ่อนแอของเพศหญิงพุ่งเข้ามาบีบเค้นหัวใจเธอ
พรุ่งนี้แล้วสินะ พรุ่งนี้ที่เธอจะต้องสูญเสียผู้ชายคนเดียวที่เธอฝากหัวใจไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่นตลอดไป
ร่างสูงผึ่งผายก้าวเดินขึงขังแบบทหารเข้ามาใกล้ การก้าวเดินตรงองอาจ บอกถึงความมั่นใจในอำนาจ ไม่หวั่นเกรงว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดนั้น ไม่ได้ทำให้เธอระย่อสักนิด
นักธุรกิจสาวที่ถูกความจำเป็นบังคับให้ต้องมาทำหน้าที่รับรองแขกคนสำคัญของฝ่ายเจ้าสาวอย่างไม่เต็มใจ กดความอาดูรไว้ให้ลึกสุดใจ สายตาที่มองตรงไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าที่เดินตรงเข้ามาหาเต็มไปด้วยประกายกล้า แล้วเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวตามแรงของความเกลียดชังที่ฝังแนบแน่นติดวิญญาณเมื่อจ้องเขม็งไปยังคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม
ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาที่เหลือน้อยลงทุกทีทำให้ริมฝีปากบางถูกเม้มสนิทชั่วครู่ก่อนคลายออก แล้วพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดอย่างสิ้นเชิงออกไป
“สิมขาลยินดีต้อนรับ”
แขกฝ่ายเจ้าสาวในสูทดำทั้งห้าค้อมศีรษะลง คงเป็นวิถีปฏิบัติในการทักทายของการ์เมียนทำให้อันนายิ่งเชิดศีรษะอย่างไว้ตัวมากขึ้น
“ยินดีที่ได้พบคุณ... อีกครั้ง”
เขาเว้นช่วงคำพูดไปอึดใจ เพื่อที่จะก้าวเข้ามาหาร่างระหงสวยสง่า ดวงตาสองคู่จึงสบประสานกันในระยะประชิดราวเป็นการท้าทายและทดสอบอีกฝ่าย แล้วพูดเสียงต่ำทุ้มในลำคอขึ้นอีกครั้ง
“และยินดีที่สุดที่ครั้งนี้คุณมารอต้อนรับผมด้วยตัวเอง”
หญิงสาวฟังแล้วหน้าร้อนขึ้น เธอน่ะหรืออยากจะมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนนี่เอง เธอเพิ่งได้รับคำสั่งตรงมาจากไศล ให้เป็นตัวแทนสิมขาลต้อนรับและดูแลแขกเหรื่อจากต่างชาติทุกคณะ
โดยเฉพาะคณะที่มาจากการ์เมียนที่ต้องเข้มงวดในการ ‘ดูแล’ ให้เข้มข้นเป็นพิเศษ
สตรีที่ถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจผู้กุมกระเป๋าเงินของกองทัพสิมขาลอยากจะสะบัดหน้าหนี หรือไม่ก็ไล่ตะเพิดคนพวกนี้ไปให้พ้นหน้า แต่เมื่อทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง ก็หันไปมองพนักงานของโรงแรมแวบหนึ่งเป็นเชิงให้สัญญาณ ข่มใจรอให้บริกรที่กำลังเดินประคองถาดเครื่องดื่มสีฟ้าสดใสเข้ามาเสิร์ฟผู้มีเกียรติคนล่าสุดที่เพิ่งเดินทางมาถึง แต่เมื่อเห็นคนติดตามของเขาโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ เธอก็เค้นเสียงต่ำค่อนข้างดุเดือดใส่ผู้ชายตรงหน้า
“ฉันทำตามคำสั่งของบาวี” แล้วตัดบท ยุติการสนทนาลงด้วยประโยค “ห้องพักของพวกคุณอยู่ชั้นห้า ห้องเพนเนนซูลาสูท ชื่อห้อง Cassia เชิญค่ะ”
แต่แล้วความขุ่นเคืองก็ยิ่งเพิ่มระดับสูงขึ้นจนน่าตกใจ เมื่อร่างสูงที่ข่มให้เธอดูตัวเล็กไปถนัดใจยังปักหลักยืนนิ่ง ไม่สนใจการไล่กรายๆ ของเธอสักนิด แถมยังมีหน้ามายิ้มยั่วอีกด้วย
“อะไรกัน” น้ำเสียงราวจะยั่วเย้า “ผมเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันได้เดินดูอะไรให้ทั่วเลย คุณจะให้ผมขึ้นห้องพักเสียแล้วหรือ”
“ถ้าเป็นไปได้ ก็กรุณาอย่าเดินดูอะไรให้ทั่วอย่างที่คุณว่าเด็ดขาด ถึงที่นี่จะไม่ใช่ใจกลางค่ายทหารอย่างภูพันแสง แต่ก็เป็นสิมขาล รับรองได้ว่าถ้าคุณขืนไปเดินเพ่นพ่านไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะก็” ดวงตามาดร้ายของเธอ แทนคำพูดที่ยังค้างไว้ได้ดี
“คุณก็” แม้จะเป็นการยั่วแหย่ แต่น้ำเสียงก็ออดเหมือนจะขอความเห็นใจ “นานๆ ผมจะได้มีเวลาส่วนตัวที่ไม่ต้องทำงานเสียที แถมเท่าที่ผมรู้สิมขาลก็กำลังจะพัฒนาที่นี่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะลอันขึ้นชื่อไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวตาลุกวาบทันที “อย่าสอดรู้เรื่องภายในของเราให้มากนัก” นี่ศัตรูรู้เรื่องราวภายในของสิมขาลมากน้อยขนาดไหนกัน
ชายหนุ่มสอดมือในกระเป๋ากางเกง ท่าทีดูผ่อนคลาย ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับเรื่องที่กำลังพูด “เรื่องแบบนี้ รู้ไว้บ้างก็ดีไม่ใช่หรือ เผื่อว่าวันข้างหน้าเราอาจจะได้เป็นพันธมิตรทางการค้ากันก็ได้”
อันนาเปิดยิ้มเยาะหยันให้อีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า “ฉันไม่เคยคิดจะค้าขายกับหมา... จิ้งจอกที่หิวโซกินไม่รู้จักพอ เจ้าเล่ห์ คอยจ้องแต่จะลอบกัด เลี้ยงยังไงก็เลี้ยงไม่เชื่อง”
ท่ายืนผ่อนคลายตามสบายของส่ายีพลันหายไปพร้อมกับรอยยิ้มพราวบนใบหน้าคมคาย “ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ หมาจิ้งจอกเป็นนักล่า เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว” เขาเน้นเสียงหนัก “สามารถหลอกล่อเหยื่อที่ต้องการได้เสมอ”
“ฉันแน่ใจ ฉันไม่ตกเป็นเหยื่อให้หมาจิ้งจอกแบบคุณได้ล่าง่ายๆ แน่”