เมื่อคนธรรมดาๆ ได้ทุนไปเรียนต่อ ตปท. ความยากจึงบังเกิด

เราไม่ใช่คนเก่ง แต่บังเอิญได้ทุนจากที่ทำงาน เลยต้องถีบตัวเองมากหน่อย ไม่เหมือนคนที่พอจะมีพื้นฐาน หรือคนเก่งอยู่แล้ว ถ้าเป็นนักเรียนทุน ก.พ. บุคคลทั่วไป หรือทุน พสวท. หรือทุนใดก็ตามที่เก่งอยู่แล้ว ข้ามไปเลยนะคะ กระทู้นี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไร เราแค่อยากให้กำลังใจคนธรรมดาๆ หรือคนที่คิดว่าโอกาสเป็นไปได้ยาก แฮ่ๆ มันยากจริงๆ นะ แต่ไม่ยากเกินความสามารถ เราเชื่อว่าถ้าลงมือทำก็จะทำได้!!! สู้ๆ นะคะทุกโคนนนนน...
          แอบบอกพื้นฐานทางภาษาของเราแล้วกันนะคะ เผื่อเป็นกำลังใจให้คนที่ท้อได้เนอะ เราเรียน ป.ตรี ได้เกรดภาษาอังกฤษประมาณ C+ พอจบก็ลองสอบ TOEIC ได้ประมาณ สี่ร้อยกว่าๆปลายๆ จำไม่ค่อยได้ มันไม่ค่อยน่าจำเท่าไร่ 55+ จากนั้นเราเรียนโทต่อก็มีอ่าน Journal บ้างค่ะ แต่เป็นศัพท์เฉพาะเลยพอจะคลำๆ ไปได้ แล้วพอมาทำงานก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษอีกเลยยยยย... (ถึงคราวอวสานของภาษาในตัวช้านนนน)

ที่นี้พอได้ทุนก็ต้องสอบภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น IELTS หรือ TOEFL ยังไงดีหละ ทำไงดี เริ่มยังไงดี ใครๆ ก็บอกว่าต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษก่อน!!!! แล้วชั้นจะไปเอาที่ไหนห๊ะ??? พอรู้ว่าต้องสอบภาษา...ก็เลยกลัวหนักมาก พอกลัวก็เลยไม่ทำอะไรสักที แต่เพื่อนๆ ที่ได้ทุนด้วยกันเริ่มไปเรียนทีละคน สองคน แล้วชั้นจะนั่งเฝ้าที่ทำงานอยู่คนเดียวหรอออออ?? เลยต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง...
ขั้นแรกเลยนะ ขั้นตอนการเตรียมตัวสมัครมหาวิทยาลัย หลายๆ คนคิดว่าต้องมีคะแนนภาษาก่อน ไม่งั้นจะทำอะไรไม่ได้เลย เอาภาษาให้ผ่านก่อนงี้ แต่ๆๆ มันไม่จำเป็นเสมอไปนะเออ เราสามารถเตรียมตัวสมัครมหาวิทยาลัยไปพร้อมๆ กับเตรียมสอบเนี่ยแหละ (เราสมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาซึ่งต้องยื่นคะแนนภาษาไปพร้อมกับใบสมัคร แต่ถ้าอังกฤษสามารถสมัครก่อนค่อยส่งคะแนนตามไปได้)

เริ่ม!!!
    เราต้องสมัครมหาวิทยาลัย จะเลือกยังไงหละ??? ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ ความคาดหวัง และความชอบของแต่ละคนนะคะ อยากไปที่ ranking สูงหรือไม่สูง อยากไปเมืองที่อากาศดีๆ ที่เที่ยวสวยๆ หรืออยากไปที่ที่มีอาจารย์เก่งๆ แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละคนเลยค่ะ
ส่วนเราเลือกที่...ที่เค้ารับเรา...เราไปหมด 555+
    เรามาเลือกมหาวิทยาลัยกันก่อนเนอะ...
เราต้องไปเรียนสาขาหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนสาย เลยค่อนข้างจะไม่มีข้อมูลเลย  ดังนั้นที่พึ่งแรกคืออากู๋ของเรานั่นเอง...google...เราเข้าบ่อยมากหลังจากได้ทุน เพื่อดูว่าสาขาเรามันมีที่ไหนบ้างเนี่ยยยย??? แล้วเราก็พบว่า แต่ละมหาวิทยาลัยเรียกชื่อสาขาไม่เหมือนกัน แล้วชั้นจะรู้ได้ไงเนี่ยว่ายูไหนเรียกว่าอะไร (นี่พึ่งเริ่มต้น ชั้นเริ่มคิดว่ามันยากแล้ว แต่ก็ต้องทำต่อไป หึหึ) จากนั้นก็เริ่มเก็บข้อมูล จดๆ print เอกสารไว้ว่ามีที่ไหนบ้าง ชื่อสาขาว่าอะไร เกี่ยวกับงานที่เราทำไหม เขาเรียนไรบ้าง เราอยากเรียนมั้ย ใช่ทางของเราหรือเปล่า แต่ๆๆๆ ชั้นอ่านไม่ออกหนิ จะเข้าใจถูกมั้ย คำตอบคือไม่รู้ เอาข้อมูลไว้ก่อน 555+ สิ่งที่เกี่ยวข้องตอนหาที่เรียนนะ
    - หลักสูตรที่เราอยากเรียน ก็ต้องเปิดไปดูแต่ละรายวิชาเลยนะ ถึงจะอ่านไม่ออกก็เถอะ
    - อาจารย์ เค้าทำงานวิจัยเรื่องอะไรกัน (เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ ถ้าใครมี contact ก็จะง่ายหน่อย เช่น มีอ.ที่ไทยแนะนำหรือคุยกับอ.ที่ยูให้เลย) ส่วนเราบอกเลย เราข้ามเรื่องนี้ไปก่อน เพราะไม่มี contact อีกอย่างเราเปลี่ยนสายไม่แน่ใจว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไรดี และไปเรียนโทก่อน เลยคิดว่าค่อยไปสืบว่าอาจารย์คนไหนโอเคหรือไม่โอเค แต่ถ้าใครจะไปเรียนเอกเลย ก็ต้องหาข้อนี้ก่อนนะ ถ้ามีอาจารย์รับเราแล้วก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
    - ที่สำคัญที่สุด ดอกจันทร์ 18 ตัว คือ... **requirement เพราะเป็นเกณฑ์เบื้องต้นเลยว่าเค้าจะรับเราไหม แต่ๆๆๆ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะบางยูก็เขียนหน้าเว็ปไว้สูงๆ ให้ดูดี เพราะฉะนั้นอย่ากังวลไป ลองเมลไปถามเค้าก่อนว่า “ยูๆ ไอได้ทุนมานะ จะเรียนสาขานี้ๆ ไอสนใจยูอะ ยูต้องการไรบ้าง ไอมีโพรไฟล์งี้ๆๆๆ ยูพอจะแนะนำได้มั้ยว่าไอต้องทำไง” ซึ่งคำตอบที่ได้มา ก็มีทั้งบอกข้อกำหนดตามหน้าเว็ปเลย หรือลดเกณฑ์ลงมาให้เรานิดนึง
ทีนี้จะส่งหาใครหละ เราก็เอามาจากหน้าเว็ปอีกอะแหละ (บางที่ก็ส่งหาอาจารย์ บางที่ก็ส่งหา graduate admission) จากที่เราส่งไปประมาณสามสิบกว่ายูได้ (มากมายมากๆ แต่ก็ copy & paste แล้วเปลี่ยนชื่อมหาลัย ชื่ออาจารย์ ชื่อสาขา) สังเกตได้ว่า ยูใหญ่ๆ ranking สูงๆ มักจะไม่ค่อยตอบ หรือถ้าตอบก็ตอบตามหน้าเว็ปเลย ยูกลางๆก็ตอบมาบ้างไม่ตอบบ้าง ส่วนยูที่ drop ลงมาหน่อยก็มีทั้งตอบและไม่ตอบนะ เราก็ลองคุยๆถามๆยูที่เค้าคุยกับเรา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะตัดยูที่ไม่ตอบไปนะ ใครมีงบเยอะก็สมัครรัวๆ แต่ถ้างบน้อยก็ต้องเลือกที่ความเสี่ยงน้อยหน่อยแบบเรา 55+ (อเมริกาส่วนใหญ่จะเสียเงินค่าสมัคร แต่ถ้าอังกฤษสามารถสมัครผ่าน agency ไม่ต้องเสียเงินนะ)

    ต่อไปเราก็ list ยูที่มีความเป็นไปได้และเราสนใจมาสักจำนวนหนึ่ง แล้วเข้าไปศึกษารายละเอียด ว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง (เราทำใน excel เลยว่าชื่อยูอะไร สาขาเรียกว่าอะไร require อะไรบ้าง emailของคนที่เราสามารถติดต่อได้) เช่น ยูที่เราสนใจ เค้า require
1. CV or resume เราก็เริ่มเขียนเลย เอาแบบไม่เกิน1หน้าA4 เอาเนื้อๆนะ
2. Statement of purpose (SOP) คือเขียนว่าทำไมเราอยากไปเรียนสาขานี้ ที่นี่ แล้วเอาไปทำอะไร ซึ่งอันนี้ใครอยากได้ตัวอย่างก็พึ่งอากู๋ได้อีกแหละ แต่อย่าลอกนะคะ เอาแค่เป็นแนวทาง แล้วก็ดูหน้าเว็ปของสาขาที่เราจะไปเรียนมาเติมๆด้วยก็ได้ แสดงให้เห็นว่าเราไปศึกษามาเป็นอย่างดี อิอิ
3. Reference letter จากอาจารย์ที่ปรึกษาและหัวหน้างาน (2-3ท่านแล้วแต่ยูนะคะ) เราก็เตรียมๆขอไว้แต่เนิ่นๆ เพราะมันไม่ได้มาง่ายๆนะจ๊ะ อาจารย์และหัวหน้า เค้ามีงานที่ต้องทำเยอะแยะ ไม่รู้ว่าเค้าจะว่างเขียนให้เราตอนไหน ก็ต้องให้เวลาเค้านิดนึง เพราะฉะนั้นเริ่มขอได้เลยค้า แนะนำให้แนบ CV และสาขาที่เราจะเรียนไปให้อาจารย์ด้วย เออส่วนใหญ่เค้าไม่ได้ใช้เป็น paper นะ เค้าจะให้เรากรอก email ของ referent แล้วเดี๋ยวยูจะเมลไปเอง referent ก็ต้องไปกรอกๆในเมล ซึ่งอันนี้เราก็ต้องบอกreferentไว้ก่อน
4. transcript นี่ต้องขอมหาวิทยาลัย ก็ไปยื่นเตรียมไว้ บางยูสามารถใช้ไฟล์สแกนได้ตอนสมัคร แต่ถ้ายูไหนต้องการให้เราส่งแบบ Official transcript (คือต้องให้มหาวิทยาลัยในไทยส่งไปรษณีย์ไปตปท.) ก็ต้องเช็คดูอีกทีว่าส่งไปที่ไหน (ของเราใช้ไฟล์สแกนไปก่อน แล้วค่อยถือ Official ไปตอนที่บินไปเรียน)
5. สำเนา passport
6. เอกสารอื่นๆ ถ้าเปลี่ยนชื่อ นามสกุลไรงี้ ก็ต้องมีใบแปล สามารถแปลเองได้ แล้วให้กงสุลรับรองการแปล
7. คะแนนภาษาอังกฤษ (ยูในอังกฤษ ถ้าเอกสารข้างบนพร้อมแล้วก็สมัครได้เลยยยยย....ไม่ต้องรอภาษาอังกฤษนะ) ภาษานี่เป็นปัญหาใหญ่สุดของเรา เพราะไม่มั่นใจเลยจริงๆ จากการทิ้งร้างมานานนนนนน....และพื้นฐานหลวมๆ ของเรา
    เราเลือกสอบ IELTS เพราะได้ยินมาว่าง่ายกว่า TOEFL (ไม่รู้จริงเปล่านะ) แถมยังใช้ได้ทั่วโลก และส่วนใหญ่ตอนนี้ยูในอเมริการับทั้ง IELTS และ TOEFL วิธีการเตรียมตัวสอบ IELTS มีเยอะแล้วเนอะ เราขอข้ามนะ ส่วนตัวเรามีติวที่นึงเพื่อสอบ เค้าก็จะบอกเทคนิคว่าแต่ละ part เป็นยังไง ต้องตอบแบบไหน จากนั้นก็ฝึกทำโจทย์เอง ซึ่งเราว่าทำโจทย์คือสำคัญมากไม่ว่าจะเรียนที่ไหนมาสุดท้ายแล้วเราต้องอ่านเอง ฝึกเอง แล้วเราก็ลงเรียน course speaking เพื่อหัดพูด อีกอย่างหนึ่งคือให้จ่ายเงินจองวันสอบเลยเพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเอง เพราะค่าสอบแพงมากกกกก...พูดแล้วก็สะอื้น ยิ่งถ้าใครสอบแบบ IELTS-UKVI นะโหดมากเกือบหมื่นสอง  เราจองก่อนสอบประมาณสองเดือนค่ะ (เราสมัครสิงหาคม สอบตุลาคม) แล้วเริ่มทำโจทย์ไปเรื่อยๆ จนถึงวันสอบ แล้วประมาณสองสัปดาห์ผลก็ออกมา...ไม่ถึงกับเศร้าแต่ก็ไม่ผ่านเกณฑ์ของยูนะค้า ทีงี้ทำไงหละชั้น ก็เตรียมตัวสอบใหม่ พร้อมกับปรึกษายูว่าชั้นได้เท่านี้ พอมีทางมั้ย ช่วยแนะนำชั้นหน่อยยยยย...ชั้นควรทำไง

    อยากเป็นกำลังใจให้คนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งนะคะ ลองดูค่ะ ขยันทำโจทย์ ฟังเยอะๆ หัดพูดบ้าง ส่วนเราโชคดีให้เพื่อนๆช่วยด้วยค่ะ ต้องลองสอบดูนะคะ บางทีมันอาจจะไม่แย่อย่างที่เราคิด ^^

    มีบางยูที่ตอบมาว่ามีแบบ conditional offer คือให้ไปเรียนภาษาก่อนในช่วงแรก ระยะเวลาก็แล้วแต่ยู อาจจะไม่เท่ากัน เราก็เริ่มใจชื้นแต่ก็มีข้อจำกัดของทุนที่ให้ไปเรียนภาษาได้แต่ไม่เกิน 15 weeks เราก็เลยคุยกับยูเยอะหน่อยช่วงแรกๆ (บอกตรงๆว่าตอนเขียนเมลก็ลำบากละ กว่าจะตอบหรือถามเค้าได้ ก็มีให้เพื่อนช่วยบ้าง แต่พอคุยบ่อยๆมันก็เริ่มดีขึ้น) เราก็เอาเงื่อนไขของแต่ละยูไปปรึกษาเจ้าของทุนว่าพอจะมีโอกาสไหม ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ยุบยิบมาก
    พอหลังจากที่รู้ว่าพอมีทางบวกกับคะแนนกากๆของตัวเอง ก็เลยลองเสี่ยงสมัครยูเลย ช่วงเดือนธันวาคม หลังจากนั้นก็เป็นช่วงทรมานที่ต้องรอคอย

สรุปนะคะ เริ่มต้นตามนี้เลยค่ะ
1. หายูที่เราสนใจ แล้วดู requirement
2. ส่งเมลไปคุย ถาม requirement (จริงๆ หาจากหน้าเว็ปก็ได้)
3. เตรียมเอกสารการสมัคร (ถ้าอังกฤษก็สมัครเลยนะ)
4. สมัครสอบภาษา เสียเงินไปก่อนประมาณ 2-3 เดือน พร้อมเตรียมสอบภาษาอังกฤษ  
5. พอได้คะแนนภาษาก็สมัครเลย

ขั้นต่อไปหลังจากสมัครแล้ว
    หลังจากที่สมัครไปแล้ว ก็เริ่มกระวนกระวาย เมื่อไร่จะตอบชั้น จะรับชั้นมั้ย จะปฏิเสธหรือเปล่า เราสมัครไป3ที่ (มีทั้งให้ agency สมัครและเราสมัครเอง) เรา check mail ทุกวัน วันละหลายรอบแทบจะเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนเรามั้ย 55+ ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ ก็มีเมลเข้ามา Congratulations!!! เย้ๆๆ เราได้ที่นึงแล้ว แต่เป็นยูเอกชนไม่ใหญ่ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งน่าจะได้อยู่แล้วเอามาไว้กันเหนียว หลังจากนั้นก็รอๆๆๆ ผ่านไปเดือนนึงก็ยังเงียบ เลยลองเมลไปถามว่าเห็นใบสมัครชั้นรึยัง (เห็นหน้าเว็ปเค้าบอกว่าพิจารณาประมาณ1เดือน) เค้าก็น่ารักนะคะ ตอบกลับมาว่ากำลังพิจารณา เราก็โอเครอต่อไป ผ่านไปประมาณ 2เดือน เย้ๆๆๆ เราได้เมล Congratulationsแล้ว ยูนี้เราอยากไป (แต่ไม่ใช่ยูrankingสูงนะคะเป็นยูธรรมดาๆ)
    จากนั้นก็เอา conditional offer + เงื่อนไขทางภาษาให้เจ้าของทุนดูว่าโอเคมั้ย ก็มีการปรับแก้โน่นนี่นั่นอยู่พักนึง จนโอเคทั้งสองฝ่าย เราก็ตัดสินใจแล้วก็ accept เค้าไปเลย แล้วก็ขอเอกสารจากยูคือ DS-2019 (สำหรับวีซ่า J-1นะคะ) ยูน่ารักมากส่งมาให้เราอย่างรวดเร็ว ก็ต้องเอา DS-2019 ให้เจ้าของทุนดูอีก แล้วก็ไปตรวจร่างกายเพื่อทำสัญญากับเจ้าของทุน พร้อมกับเริ่มศึกษาเรื่องทำวีซ่า ระยะเวลาตรงนี้ตั้งแต่ได้รับ offer จนเริ่มทำวีซ่าประมาณ1เดือนกว่าๆค่ะ
    เราก็สมัครวีซ่า กรอก DS-160 จ่ายเงิน ($180 SEVIS + $160 VISA) แล้วก็นัดสัมภาษณ์วีซ่า ขั้นตอนตรงนี้ก็หาดูจากเว็ปสถานทูตได้ค่ะ

สรุปหลังจากสมัครนะคะ
1. รอ offer
2. ถ้าได้ offer ก็ให้เจ้าของทุนพิจารณา
3. Accept ยูและขอ DS-2019 เพื่อทำ VISA J-1
4. สมัครวีซ่า จ่ายเงิน นัดสัมภาษณ์
5. ติดต่อให้เจ้าของทุนจองตั๋วเครื่องบินให้
6. จองหอ อันนี้ควรทำก่อนจะได้รู้วันที่เดินทางแน่นอน (เราจองหอในยูตั้งแต่ accept ยูเลยค่ะ)

ตอนนี้เราดำเนินการเกือบเรียบร้อยแล้วค่ะ รอไปสัมภาษณ์วีซ่า คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะเจ้าของทุนออกหนังสือราชการให้ว่าเราได้ทุนไปเรียนและต้องกลับมาทำงานชดใช้ที่ไทย
ส่วนการไปเรียนภาษาที่โน่นก็มีหลายคนเตือนว่าให้เตรียมตัวดีๆ เพราะมันไม่ง่ายเลย แต่ถ้าได้ไปแล้วเราก็ต้องทำให้เต็มที่ และจะพยายามให้สำเร็จค่ะ
ถ้าใครมีใครมีคำถามหรือแนะนำอะไรเพิ่มเติมได้นะ ขอบคุณค่ะ ^^ สู้ๆนะคะนักเรียนทุนทุกคน เรามีโอกาสที่ดีแล้วอย่าปล่อยให้หลุดมือนะคะ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก หากผิดพลาดอะไร ขออภัยด้วยนะคะ เราแค่อยากให้กำลังใจคนที่กำลังท้อและคิดว่ามันยาก ต้องลองลงมือทำนะคะ สู้!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่