สวัสดี
พอดีเมื่อไม่กี้วันที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ไปทำวีซ่าประเภท J1 ที่สถานทูตอเมริกามา จะบอกว่าวีซ่าประเภทนี้น่าจะได้ง่ายที่สุดประเภทนึงของการขอวีซ่า
เริ่มจากการเตรียมเอกสารขอวีซ่า
1.การติดต่ออาจารย์หรือสถาบันที่โน่นเรื่องตอบรับการฝึกงานของเรา (ขอจดหมายตอบรับจากเค้าจะเป็นหนังสือทางการหรืออีเมลล์ก็ได้) โดยส่วนใหญ่การที่เริ่มเขียนอีเมลล์ไปหาอาจารย์ทางโน่น คือ การแนะนำตัวและแนบ CV ไปให้เค้าพิจารณา
2.การขอ DS 2019 จากทางวิเทศสัมพันธ์ของสถาบันหรือจากหน่วยงานที่โน่นอ่ะ เพื่อจะได้ใช้ในการทำวีซ่าประเภท J1 (อันนี้สำคัญมาก แกไม่มี DS 2019 ทุกอย่างก็ จบ! และการขอ DS 2019 ใช้เวลานานพอควร เท่าที่ทราบว่าก็ 1 week to 1 month) โดยที่การของเอกสาร DS 2019 สถาบันที่โน่นเค้าต้องการ 2.1 หลักฐานทางการเงิน เช่นเหมือนเราได้ทุนอ่ะ เราก็ต้องมีหนังสือยืนยันทางการเงินว่า เราได้เงินเท่านี้ จากใคร ให้ใคร ให้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ ให้ไปเพื่ออะไร 2.2 หลักฐานแสดงถึงความสามารถในการใช้ภาษา (บางสถาบันขอ บางสถาบันไม่ขอ แต่มีๆไว้ก็อุ่นใจเน้อะ) โดยที่ทางมหาลัยจะเน้นทักษะด้านการพูดเป็นหลัก 2.3 หนังสือตอบรับจากอาจารย์ที่โน้น 2.4 ข้อมูลของเรา ส่วนใหญ่เค้าจะมีแบบฟอร์มให้กรอก หลังจากมีเอกสารครบก็ส่งเมลล์ไปให้ทางโน่น เราอาจจะส่งผ่านอาจารย์ที่เราจะไปทำงานด้วยหรือติดต่อกับทางหน่วยงานที่ออก DS 2019 โดยตรง อันนี้แล้วแต่สถาบัน
3.การขอวีซ่า ... ระหว่างที่แกรอ DS 2019 แกก็ทำตัวให้มีประโยชน์โดยการไปกรอกข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในเว็ปไซต์ของสถานทูตซะ โดยที่เค้าจะให้แกสร้าง account เป็นของตัวเองเพื่อที่จะเข้าไปกรอกหรือแก้ไขข้อมูลเพิ่มเติมได้ กรอกไปเรื่อยๆ กรอกเยอะมาก จนสุดท้ายเค้าก็จะถามถึงรหัส program and SEVIS NO. ขั้นตอนนี้แกต้องรอ DS 2019 มาก่อนถึงจะกรอกได้ พอทุกอย่างกรอกเสร็จ ให้กดยืนยันและปริ้นไปยืนยันนั้นมาใช้เป็นหลักฐานมในการขอวีซ่า
4. การจ่ายค่าธรรมเนียม วีซ่าประเภท J1 จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2 ค่า คือ 4.1 ค่า SEVIS ประมาณ 180$ (แนะนำจ่ายกับบัตรเครดิต เพราะง่ายดี) พอจ่ายเสร็จเค้าก็จะมีใบยืนยันการจ่ายเงิน แกก็ต้องปริ้นออกมากด้วยนะ จะได้เอาไปเป็นหลักฐาน 4.2 ค่าทำวีซ่า ประมาณ 5000 เกือบๆ 6000 บาท อันนี้คือต้องไปจ่ายที่เคาเตอร์ ธ.กรุงศรีอยุธยา ในขั้นตอนนี้แกต้องไปสร้าง account อีกอันนึงนะเพื่อปริ้นใน payment และเพื่อใช้ทำการยืนยันการนัดสัมภาษณ์หลังจากที่เราจ่ายเงินไป เสร็จก็เก็บหลักฐานการจ่ายเงินทุกอย่างไว้ให้ดีๆนะ เพราะต้องใช้ตอนวันไปทำวีซ่า ในการนัดวันสัมภาษณ์
5. การสัมภาษณ์...แถวสถานทูตจะมีตลาด ไปหาอะไรรองท้องได้ ของน่ากินเยอะมาก ฮ่าๆ ถ้าไม่อยากกินก็ไปสถานทูตเลยค่ะ ถ้าเราได้คิวเช้า เค้าก็จะให้เราเข้าก่อน (เหมือนเรา...เราได้คิว 9.30 น.แต่เราไปก่อนเวลาและได้เข้าก่อน สุดท้ายสัมภาษณ์เสร็จก่อนถึงเวลานัดอีก ฮ่าๆๆ) แต่เดี๋ยวค่ะ ! ถ้าแกลืมนัดสัมภาษณ์ล่ะ เหมือนชั้นเนี้ย ลืมนัดสัมภาษณ์ตายๆๆ หน้าซีดเลยค่ะวันนั้น นั่งรถไปสถานทูตเพราะไม่รู้จะต้องทำไงยัง พอไปถึงบอกน้องเค้าว่า น้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ! พี่ลืมนัดสัมภาษณ์ ผิดนัดสัมภาษณ์ทำไงนี้ ... คือคำตอบ รอนัดไว้ใหม่เพราะเค้าให้เราผิดนัดหรือเลื่อนนัดได้ 3 ครั้ง โล่งอกมากค่า สรุปวันนั้นคือเสียเงินค่าแท็กซี่ไปสถานทูตป่าวๆเลย ฮ่าๆๆ ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องกลับไปรอหลัง 15.00 น. เราก็ต้องเข้าไปในเว็ปและทำงานนัดวันสัมภาษณ์ใหม่ เค้าจะแนะนำวันที่เร็วที่สุดให้ –“ (ช้านผิดเองทุกประการ) เอาล่ะ แต่ถ้าใครมีความรับผิดชอบไม่ผิดนัด พอเข้าไปในนั้นจะผ่านด้านคัดเลือกเอกสาร แล้วพอเข้าไปข้างในอีกก็จะมีด้านเช็คความถูกต้อง เช็คอายุของรูปที่ต้องไม่เกิน 6 เดือน (ซึ่งเค้ารู้ ! เค้าบอกว่าเค้าพบว่ารูปเราอยู่ในวีซ่าอีกประเทศนึง ซึ่งเกิน 6 เดือนมาแล้ว อ้ากกกก ต้องเสียเงิน 160 เพื่อถ่ายรูปใหม่ > ในสถานทูตเค้าจะมีตู้ถ่ายรูป แนวๆตู้สติกเกอร์ไว้ให้ และค่าถ่ายจริงๆ คือ 150 บาทแต่ตู้ไม่ถอนเงินไง ถ้าแกไม่เงินไม่พอดีแกก็ต้องเวียเงินเกินเหมือนชั้น T^T) เอาละพอถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปที่เค้าเตอร์เดิมอีกรอบ เพื่อสแกนรูปเค้าระบบ รูปที่แกให้เค้าจะเป็นรูเดียวกันที่ติดบนวีซ่า จากด้านที่สอง ก็เดินไปอีกนิดไปยังอีกเคาเตอร์นึงเพื่อสแกนนิ้ว แล้วก็สัมภาษณ์ซึ่งคำถามก็ง่ายๆเพราะเรามีทุน เรามีจุดประสงค์ที่แน่นอน เลยทำให้เราได้วีซ่าแบบไม่ยากมากนัก
จบแล้วนะ มีคำถามก็หลังไมค์มาได้นะจ้ะ เพื่อเรารีวิวได้ไม่ครบถ้วน
[CR] VISA USA ฉบับคนสะเพร่า
พอดีเมื่อไม่กี้วันที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ไปทำวีซ่าประเภท J1 ที่สถานทูตอเมริกามา จะบอกว่าวีซ่าประเภทนี้น่าจะได้ง่ายที่สุดประเภทนึงของการขอวีซ่า
เริ่มจากการเตรียมเอกสารขอวีซ่า
1.การติดต่ออาจารย์หรือสถาบันที่โน่นเรื่องตอบรับการฝึกงานของเรา (ขอจดหมายตอบรับจากเค้าจะเป็นหนังสือทางการหรืออีเมลล์ก็ได้) โดยส่วนใหญ่การที่เริ่มเขียนอีเมลล์ไปหาอาจารย์ทางโน่น คือ การแนะนำตัวและแนบ CV ไปให้เค้าพิจารณา
2.การขอ DS 2019 จากทางวิเทศสัมพันธ์ของสถาบันหรือจากหน่วยงานที่โน่นอ่ะ เพื่อจะได้ใช้ในการทำวีซ่าประเภท J1 (อันนี้สำคัญมาก แกไม่มี DS 2019 ทุกอย่างก็ จบ! และการขอ DS 2019 ใช้เวลานานพอควร เท่าที่ทราบว่าก็ 1 week to 1 month) โดยที่การของเอกสาร DS 2019 สถาบันที่โน่นเค้าต้องการ 2.1 หลักฐานทางการเงิน เช่นเหมือนเราได้ทุนอ่ะ เราก็ต้องมีหนังสือยืนยันทางการเงินว่า เราได้เงินเท่านี้ จากใคร ให้ใคร ให้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ ให้ไปเพื่ออะไร 2.2 หลักฐานแสดงถึงความสามารถในการใช้ภาษา (บางสถาบันขอ บางสถาบันไม่ขอ แต่มีๆไว้ก็อุ่นใจเน้อะ) โดยที่ทางมหาลัยจะเน้นทักษะด้านการพูดเป็นหลัก 2.3 หนังสือตอบรับจากอาจารย์ที่โน้น 2.4 ข้อมูลของเรา ส่วนใหญ่เค้าจะมีแบบฟอร์มให้กรอก หลังจากมีเอกสารครบก็ส่งเมลล์ไปให้ทางโน่น เราอาจจะส่งผ่านอาจารย์ที่เราจะไปทำงานด้วยหรือติดต่อกับทางหน่วยงานที่ออก DS 2019 โดยตรง อันนี้แล้วแต่สถาบัน
3.การขอวีซ่า ... ระหว่างที่แกรอ DS 2019 แกก็ทำตัวให้มีประโยชน์โดยการไปกรอกข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในเว็ปไซต์ของสถานทูตซะ โดยที่เค้าจะให้แกสร้าง account เป็นของตัวเองเพื่อที่จะเข้าไปกรอกหรือแก้ไขข้อมูลเพิ่มเติมได้ กรอกไปเรื่อยๆ กรอกเยอะมาก จนสุดท้ายเค้าก็จะถามถึงรหัส program and SEVIS NO. ขั้นตอนนี้แกต้องรอ DS 2019 มาก่อนถึงจะกรอกได้ พอทุกอย่างกรอกเสร็จ ให้กดยืนยันและปริ้นไปยืนยันนั้นมาใช้เป็นหลักฐานมในการขอวีซ่า
4. การจ่ายค่าธรรมเนียม วีซ่าประเภท J1 จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2 ค่า คือ 4.1 ค่า SEVIS ประมาณ 180$ (แนะนำจ่ายกับบัตรเครดิต เพราะง่ายดี) พอจ่ายเสร็จเค้าก็จะมีใบยืนยันการจ่ายเงิน แกก็ต้องปริ้นออกมากด้วยนะ จะได้เอาไปเป็นหลักฐาน 4.2 ค่าทำวีซ่า ประมาณ 5000 เกือบๆ 6000 บาท อันนี้คือต้องไปจ่ายที่เคาเตอร์ ธ.กรุงศรีอยุธยา ในขั้นตอนนี้แกต้องไปสร้าง account อีกอันนึงนะเพื่อปริ้นใน payment และเพื่อใช้ทำการยืนยันการนัดสัมภาษณ์หลังจากที่เราจ่ายเงินไป เสร็จก็เก็บหลักฐานการจ่ายเงินทุกอย่างไว้ให้ดีๆนะ เพราะต้องใช้ตอนวันไปทำวีซ่า ในการนัดวันสัมภาษณ์
5. การสัมภาษณ์...แถวสถานทูตจะมีตลาด ไปหาอะไรรองท้องได้ ของน่ากินเยอะมาก ฮ่าๆ ถ้าไม่อยากกินก็ไปสถานทูตเลยค่ะ ถ้าเราได้คิวเช้า เค้าก็จะให้เราเข้าก่อน (เหมือนเรา...เราได้คิว 9.30 น.แต่เราไปก่อนเวลาและได้เข้าก่อน สุดท้ายสัมภาษณ์เสร็จก่อนถึงเวลานัดอีก ฮ่าๆๆ) แต่เดี๋ยวค่ะ ! ถ้าแกลืมนัดสัมภาษณ์ล่ะ เหมือนชั้นเนี้ย ลืมนัดสัมภาษณ์ตายๆๆ หน้าซีดเลยค่ะวันนั้น นั่งรถไปสถานทูตเพราะไม่รู้จะต้องทำไงยัง พอไปถึงบอกน้องเค้าว่า น้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ! พี่ลืมนัดสัมภาษณ์ ผิดนัดสัมภาษณ์ทำไงนี้ ... คือคำตอบ รอนัดไว้ใหม่เพราะเค้าให้เราผิดนัดหรือเลื่อนนัดได้ 3 ครั้ง โล่งอกมากค่า สรุปวันนั้นคือเสียเงินค่าแท็กซี่ไปสถานทูตป่าวๆเลย ฮ่าๆๆ ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องกลับไปรอหลัง 15.00 น. เราก็ต้องเข้าไปในเว็ปและทำงานนัดวันสัมภาษณ์ใหม่ เค้าจะแนะนำวันที่เร็วที่สุดให้ –“ (ช้านผิดเองทุกประการ) เอาล่ะ แต่ถ้าใครมีความรับผิดชอบไม่ผิดนัด พอเข้าไปในนั้นจะผ่านด้านคัดเลือกเอกสาร แล้วพอเข้าไปข้างในอีกก็จะมีด้านเช็คความถูกต้อง เช็คอายุของรูปที่ต้องไม่เกิน 6 เดือน (ซึ่งเค้ารู้ ! เค้าบอกว่าเค้าพบว่ารูปเราอยู่ในวีซ่าอีกประเทศนึง ซึ่งเกิน 6 เดือนมาแล้ว อ้ากกกก ต้องเสียเงิน 160 เพื่อถ่ายรูปใหม่ > ในสถานทูตเค้าจะมีตู้ถ่ายรูป แนวๆตู้สติกเกอร์ไว้ให้ และค่าถ่ายจริงๆ คือ 150 บาทแต่ตู้ไม่ถอนเงินไง ถ้าแกไม่เงินไม่พอดีแกก็ต้องเวียเงินเกินเหมือนชั้น T^T) เอาละพอถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปที่เค้าเตอร์เดิมอีกรอบ เพื่อสแกนรูปเค้าระบบ รูปที่แกให้เค้าจะเป็นรูเดียวกันที่ติดบนวีซ่า จากด้านที่สอง ก็เดินไปอีกนิดไปยังอีกเคาเตอร์นึงเพื่อสแกนนิ้ว แล้วก็สัมภาษณ์ซึ่งคำถามก็ง่ายๆเพราะเรามีทุน เรามีจุดประสงค์ที่แน่นอน เลยทำให้เราได้วีซ่าแบบไม่ยากมากนัก
จบแล้วนะ มีคำถามก็หลังไมค์มาได้นะจ้ะ เพื่อเรารีวิวได้ไม่ครบถ้วน