คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เท่าที่อ่านอละวิเคราะห์ตาม พฤติกรรมของน้องในตอนนี้เอง เป็นผลพวงของการเลี้ยงดู ซะมากกว่า นะครับ
เด็กคนนี้เอง ก็คือผลิตผลจากการเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมที่เด็กเผชิญอยู่
ดังนั้น เด็กควรได้รับการปรับพฤติกรรม ไปพร้อมกับการที่ผู้ที่อยู่แวดล้อมเขาต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการที่จะปรับไปด้วยกัน
แท้จริงบ้าน คือสถานที่ที่ผมีผลกับเด็กมาก ตอนนี้ ทั้งย่า พ่อ และแม่ คือหัวใจสำคัญที่จะเป้นตัวช่วยให้น้องมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้ ทั้งนั้นๆทั้งนี้
หากต้องพบแพทย์ แน่นอนแพทย์ก็ต้องให้ความเห็นตามเช่นว่านี้ว่า คุณพ่อ คุณแม่ และคุณย่า ถือเป็นต้นแบบที่สำคัญที่เด็กจะเรียนรู้ เด็กคนนี้ แท้จริงเขาก้มีมุมที่น่ารัก มีมุมที่ดึงดูดใครต่อใคร แต่ถ้าถึงเวลาที่เขาร้ายเขาก็เอาเรื่องเหมือนกัน นั้นเพราะ พื้นฐานที่ว่า เอาสิ่งที่เขาทำไม่มีใครคอยบอกและชี้นำว่านั้นผิดถูก หรือเเม้บางเวลาที่มีคนชี้นำว่ามันถูกมันผิด ก็มีคนมาคอยโอ๋ซะเนี่ย
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เรียนรู้ ความถูกผิด ที่แท้จริง เพราะถึงไปก็มีคนให้ท้ายเขาอยู่ร่ำไป บางทีเวลาที่เขาทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เราเองก็ควรปล่อยเขาไป ไม่สนใจ ไม่โอ๋ เด็กก้เรียนรู้ว่า ถ้าทำแบบนี้ ใครๆก็ไม่สนใจ เด็กเริ่มจะเรียนรู้ว่า เนี่ยทำแบบนี้แล้วเขาก้ไม่สนใจ เด็กก็พยายามหาเเนวทางใหม่ เพื่อหาทางหาแนวร่วม ให้ตนเอง
เราต้องยอมปล่อยให้เขาร้องออก มา ปล่ิยให้เขาโมโหออกมา เดี๋ยวพอเขาหมดพลังเขาก็จะหยุดเอง เนี่ยเป้นแนวทางในการลดพฤติกรรม
แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ แวดล้อมในบ้านก็ควรปรับเปลี่ยนเช่นกัน เราก้คงอยากได้ลูกที่น่ารัก อยากได้หลานที่เข้ากับใครๆได้ ถูกไหมครับ
ดังนั้น ก็ควรจะต้องพูดคุยให้คนครอบครัวเห้นปัญหาตรงนี้ แล้วช่วยกันหาทางออกในการแก้ไขปัญหานั้นๆนะครับ
ท้ายสุด ครอบครัวเนี่ยแหละคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้น้องมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นมาได้
ย้อนกลับมาที่ข้อคำถาม
1. เราจำเป็นที่ต้องพาหลานไปพบแพทย์มั้ย? ถึงขั้นนั้นหรือเปล่า หรือสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
ตอบ ถามว่าจำเป็นไหม ก่อนอื่นต้องบอกว่า คงต้องอยุ่ที่ครอบครัวก่อนว่า มองเห้นปัญหาเช่นนี้อย่างไร แล้วเห้นว่ามันเป็นปัญหาหรือไหม และถ้าเห็นว่าเป้นปัญหา แล้วได้ลองปรับแนวทางแล้วมันไม่รู้สึกไม่โอเค หรือบางทีรู้สึกว่า อยากมีแนวทางในการปรับพฤติกรรรม และปรับเเวดล้อมของครอบครัว การไปพบแพทย์ ก็เป้นแนวทางหนึ่ง ที่อาจช่วยได้พอสมควร แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ก้คงต้องอยู่ที่ว่าครอบครัวให้ความสำคัญ และให้ความร่วมมือแค่ไหน
2. ถ้าหากจำเป็นต้องพาไป เราควรจะอธิบายกับย่า หรือพ่อแม่ของหลานอย่างไร ว่าหลานควรพบแพทย์
ตอบ อันนี้คงต้องให้คุณน้า ถามครอบครัวแบบเปิดใจว่าที่น้องเป้นแบบนี้ คนในครอบครัวมองเห็นเป้นเช่นไร คิดว่า เขามีปัญหาหรือป่าว หรือสิ่งที่น้องทำเนี่ยมันโอเคหรือไหม ลูกหลานเราเนี่ย ถ้าลองเทียบกับลูกคนอื่นๆที่วัยเดียวกับเขาเนี่ยเขาเป้นไง เขาเข้ากับคนอื่นได้ไหม โดยคุณน้าต้องบอกว่า อันนี้ไม่ต้องตอบฉันนะ ให้ลองตอบในใจตัวเองกันดูว่ายังไงนะครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกอยากตอบในใจตนเองมากกว่า เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ถูกคุมคาม หรือถูกตำหนิ หรือมองว่าลูกหลานเขานั้นเลวร้าย ต่อหน้าคนอื่นๆ ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าถ้าเขาตอบในใจได้เขาจะฉุกเก็บไปคิด เมื่อเห้นเป้นปัญหาเขาก็จะมาบอกเราหรือคนอื่นๆเอง นะครับ
3. ตัวย่าเคยมีประวัติเป็นโรคไบโพลาร์ ทานยารักษาอยู่ แต่ไม่ค่อยต่อเนื่อง แกก็อารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งเหล่านี้มีผลกับพฤติกรรมของเด็กด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ ในฐานะที่ย่าเองก้เป็นคนเลี้ยงดูหลักเหมือนกัน การที่ย่าเองก็มีอารมณ์ที่ไม่คงที่ ก็ย่อม ปฏิเสธไม่ได้ว่า น่าจะมีน้ำหนักไปในทางที่ว่าก็พอมีส่วนที่จะทำให้เด็กมีพฤติกรรมเช่นว่านั้น
4. พ่อเด็กมีประวัติใช้ยา ช่วงก่อนที่จะมีลูก เคยโดนตำรวจตรวจฉี่ แล้วม่วง เคยเข้าบำบัดยาเสพติดแล้ว แต่ช่วงที่เมียท้อง ก็ยังใช้ยาอยู่
สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมเด็กหรือไม่
ตอบ ประวัติการใช้ยาเสพติดของคุณพ่อ อาจแทบไม่มีผลต่อพฤติกรรมของลูก แบบเด่นชัดขนาดนั้นหรอกนะครับ เพราะเป็นเรื่องมันไม่อาจถ่ายทอดได้ถึงขนาดนั้น หรอกนะครับ หลักๆ น่าเป้นเพราะเเวดล้อม และการเลี้ยงดูเด็กซะมากกว่าครับ [/b
อย่างไร หากมีไรต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม ก็สามารถที่จะหลังไมค์ได้นะครับ ช่วยๆกันนะครับ อย่างน้อยเราก็มีเจตนาเดียวกันคืออยากให้น้องดีขึ้น ผนวกกับครอบครัวนั้นอบอุ่น และปลอดภัยทั้งกับคนในบ้าน และตัวของน้องด้วยเนาะ
เป็นกำลังใจให้คุณน้าและครอบครัวด้วยนะครับ ขอให้คุณน้ามีเจตนาที่ดีเช่นนี้ต่อไปอย่าเพิ่งท้อแท้ที่จะช่วยเหลือพวกเขานะครับ
ขอบคุณครับ
เด็กคนนี้เอง ก็คือผลิตผลจากการเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมที่เด็กเผชิญอยู่
ดังนั้น เด็กควรได้รับการปรับพฤติกรรม ไปพร้อมกับการที่ผู้ที่อยู่แวดล้อมเขาต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการที่จะปรับไปด้วยกัน
แท้จริงบ้าน คือสถานที่ที่ผมีผลกับเด็กมาก ตอนนี้ ทั้งย่า พ่อ และแม่ คือหัวใจสำคัญที่จะเป้นตัวช่วยให้น้องมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้ ทั้งนั้นๆทั้งนี้
หากต้องพบแพทย์ แน่นอนแพทย์ก็ต้องให้ความเห็นตามเช่นว่านี้ว่า คุณพ่อ คุณแม่ และคุณย่า ถือเป็นต้นแบบที่สำคัญที่เด็กจะเรียนรู้ เด็กคนนี้ แท้จริงเขาก้มีมุมที่น่ารัก มีมุมที่ดึงดูดใครต่อใคร แต่ถ้าถึงเวลาที่เขาร้ายเขาก็เอาเรื่องเหมือนกัน นั้นเพราะ พื้นฐานที่ว่า เอาสิ่งที่เขาทำไม่มีใครคอยบอกและชี้นำว่านั้นผิดถูก หรือเเม้บางเวลาที่มีคนชี้นำว่ามันถูกมันผิด ก็มีคนมาคอยโอ๋ซะเนี่ย
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เรียนรู้ ความถูกผิด ที่แท้จริง เพราะถึงไปก็มีคนให้ท้ายเขาอยู่ร่ำไป บางทีเวลาที่เขาทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เราเองก็ควรปล่อยเขาไป ไม่สนใจ ไม่โอ๋ เด็กก้เรียนรู้ว่า ถ้าทำแบบนี้ ใครๆก็ไม่สนใจ เด็กเริ่มจะเรียนรู้ว่า เนี่ยทำแบบนี้แล้วเขาก้ไม่สนใจ เด็กก็พยายามหาเเนวทางใหม่ เพื่อหาทางหาแนวร่วม ให้ตนเอง
เราต้องยอมปล่อยให้เขาร้องออก มา ปล่ิยให้เขาโมโหออกมา เดี๋ยวพอเขาหมดพลังเขาก็จะหยุดเอง เนี่ยเป้นแนวทางในการลดพฤติกรรม
แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ แวดล้อมในบ้านก็ควรปรับเปลี่ยนเช่นกัน เราก้คงอยากได้ลูกที่น่ารัก อยากได้หลานที่เข้ากับใครๆได้ ถูกไหมครับ
ดังนั้น ก็ควรจะต้องพูดคุยให้คนครอบครัวเห้นปัญหาตรงนี้ แล้วช่วยกันหาทางออกในการแก้ไขปัญหานั้นๆนะครับ
ท้ายสุด ครอบครัวเนี่ยแหละคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้น้องมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นมาได้
ย้อนกลับมาที่ข้อคำถาม
1. เราจำเป็นที่ต้องพาหลานไปพบแพทย์มั้ย? ถึงขั้นนั้นหรือเปล่า หรือสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
ตอบ ถามว่าจำเป็นไหม ก่อนอื่นต้องบอกว่า คงต้องอยุ่ที่ครอบครัวก่อนว่า มองเห้นปัญหาเช่นนี้อย่างไร แล้วเห้นว่ามันเป็นปัญหาหรือไหม และถ้าเห็นว่าเป้นปัญหา แล้วได้ลองปรับแนวทางแล้วมันไม่รู้สึกไม่โอเค หรือบางทีรู้สึกว่า อยากมีแนวทางในการปรับพฤติกรรรม และปรับเเวดล้อมของครอบครัว การไปพบแพทย์ ก็เป้นแนวทางหนึ่ง ที่อาจช่วยได้พอสมควร แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ก้คงต้องอยู่ที่ว่าครอบครัวให้ความสำคัญ และให้ความร่วมมือแค่ไหน
2. ถ้าหากจำเป็นต้องพาไป เราควรจะอธิบายกับย่า หรือพ่อแม่ของหลานอย่างไร ว่าหลานควรพบแพทย์
ตอบ อันนี้คงต้องให้คุณน้า ถามครอบครัวแบบเปิดใจว่าที่น้องเป้นแบบนี้ คนในครอบครัวมองเห็นเป้นเช่นไร คิดว่า เขามีปัญหาหรือป่าว หรือสิ่งที่น้องทำเนี่ยมันโอเคหรือไหม ลูกหลานเราเนี่ย ถ้าลองเทียบกับลูกคนอื่นๆที่วัยเดียวกับเขาเนี่ยเขาเป้นไง เขาเข้ากับคนอื่นได้ไหม โดยคุณน้าต้องบอกว่า อันนี้ไม่ต้องตอบฉันนะ ให้ลองตอบในใจตัวเองกันดูว่ายังไงนะครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกอยากตอบในใจตนเองมากกว่า เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ถูกคุมคาม หรือถูกตำหนิ หรือมองว่าลูกหลานเขานั้นเลวร้าย ต่อหน้าคนอื่นๆ ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าถ้าเขาตอบในใจได้เขาจะฉุกเก็บไปคิด เมื่อเห้นเป้นปัญหาเขาก็จะมาบอกเราหรือคนอื่นๆเอง นะครับ
3. ตัวย่าเคยมีประวัติเป็นโรคไบโพลาร์ ทานยารักษาอยู่ แต่ไม่ค่อยต่อเนื่อง แกก็อารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งเหล่านี้มีผลกับพฤติกรรมของเด็กด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ ในฐานะที่ย่าเองก้เป็นคนเลี้ยงดูหลักเหมือนกัน การที่ย่าเองก็มีอารมณ์ที่ไม่คงที่ ก็ย่อม ปฏิเสธไม่ได้ว่า น่าจะมีน้ำหนักไปในทางที่ว่าก็พอมีส่วนที่จะทำให้เด็กมีพฤติกรรมเช่นว่านั้น
4. พ่อเด็กมีประวัติใช้ยา ช่วงก่อนที่จะมีลูก เคยโดนตำรวจตรวจฉี่ แล้วม่วง เคยเข้าบำบัดยาเสพติดแล้ว แต่ช่วงที่เมียท้อง ก็ยังใช้ยาอยู่
สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมเด็กหรือไม่
ตอบ ประวัติการใช้ยาเสพติดของคุณพ่อ อาจแทบไม่มีผลต่อพฤติกรรมของลูก แบบเด่นชัดขนาดนั้นหรอกนะครับ เพราะเป็นเรื่องมันไม่อาจถ่ายทอดได้ถึงขนาดนั้น หรอกนะครับ หลักๆ น่าเป้นเพราะเเวดล้อม และการเลี้ยงดูเด็กซะมากกว่าครับ [/b
อย่างไร หากมีไรต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม ก็สามารถที่จะหลังไมค์ได้นะครับ ช่วยๆกันนะครับ อย่างน้อยเราก็มีเจตนาเดียวกันคืออยากให้น้องดีขึ้น ผนวกกับครอบครัวนั้นอบอุ่น และปลอดภัยทั้งกับคนในบ้าน และตัวของน้องด้วยเนาะ
เป็นกำลังใจให้คุณน้าและครอบครัวด้วยนะครับ ขอให้คุณน้ามีเจตนาที่ดีเช่นนี้ต่อไปอย่าเพิ่งท้อแท้ที่จะช่วยเหลือพวกเขานะครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
หลานชายอายุ 3.11 ขวบ ชอบใช้ความรุนแรง และชอบตวาด ใช้เสียงดัง
เนื่องจากค่อนข้างจะซับซ้อนนิดนึง และเราต้องการคำแนะนำ หรือวิธีที่จะลด / เลิกพฤติกรรม เหล่านี้ลงค่ะ
แกเป็นหลานชายคนแรกของแม่แฟนเราค่ะ แฟนเรามีพี่ชายค่ะ หลานที่มีปัญหา ที่เราจะมาปรึกษาก็คือลูกของพี่ชายแฟนนี่ล่ะค่ะ
พี่ชายกับพี่สะใภ้ มีปากเสียงกันบ่อย ตบตีกันจนถึงขั้นแจ้งตำรวจเลยก็มี แต่ก็ไม่ถึงกับเลิกกัน แยกกันอยู่บ้าง เดี๋ยวก็ตามง้อกัน
แล้วก็ตีกันอีก จนทุกคนเอือมระอา เคยตีกันแล้วพลาดไปโดนหลานเลือดออกเลยก็มี จนย่าทนไม่ไหว รับมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ซึ่งชั้นล่างของบ้านเปิดเป็น
บริษัท ที่ๆ เราทำงานอยู่นี่ล่ะค่ะ มีพนักงานไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นญาติๆ กัน ทั้งนั้น พนง. ทุกคนรับรู้เรื่องพวกนี้ และสงสารหลาน ก็ช่วยกันเลี้ยงไปค่ะ
(อีกอย่างหลานเป็นอาตี๋ตัวขาว ปากแดงน่าฟัด จัดว่าหล่อแต่เด็กเลยทีเดียว และเวลาที่แกไม่ออกฤทธิ์ น่ารักเชียวค่ะ อาจ๋าอย่างนู้น อย่างนี้)
ส่วนพ่อแม่เด็กอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งค่ะ ใช้เวลาปรับความเข้าใจกันไป จนกว่าจะเลิกทะเลาะกัน ก็ค่อยพาแกไปส่งคืน เป็นอย่างนี้มาประมาณ 10 ครั้ง ในระยะเวลา 3 ปีกว่า
ทีนี้พอมาอยู่กับย่า ด้วยความที่ย่าก็ต้องทำงานออกไปทำธุระข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ แกเลยไม่ค่อยได้อยู่ดูแลแบบเต็มที่สักเท่าไร ช่วงปิดเทอม กลางวันนี่คือแกจะปล่อยให้อยู่กับพวกเราเลย อาบน้ำ ป้อนข้าว นอนกลางวัน จนกว่าย่าจะกลับมาจากข้างนอก ระหว่างที่อยู่กับเรา แกจะมีดื้อบ้าง ห้ามก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง
แต่ถ้าย่าแกอยู่ แกจะขึ้นเสียง ตวาดถ้าแกไม่พอใจ บางทีนี่ตะเบ็งเสียงจนหน้าแดงเลยก็มี แล้วก็เขวี้ยงของ
เวลาเล่นกับเด็กคนอื่นจะมีพฤติกรรมแบบนี้ให้เห็นบ่อยๆ ค่ะ
เช่น เล่นวิ่งไล่จับกันอยู่กับเพื่อน พอเพื่อนเหนื่อย ขอนั่งพัก บอกว่าไม่เล่นแล้ว แกจะเข้าไปดึงและรบเร้าจะเล่นต่อ
ถ้าเพื่อนไม่ตอบสนอง จะตามมาด้วยการต่อยๆๆ หนักเข้าก็ยกเท้าเตะ เลย พอห้ามปราม และตักเตือนแก บอกว่าให้ขอโทษเพื่อน ทำแบบนี้ไม่ได้นะ
แกจะเปลี่ยนเรื่องคุย ชี้นก ชี้ปลา ชี้หมาให้ดูซะงั้น (คือเบี่ยงเบนความสนใจไปทางอื่น)
ที่โรงเรียนเคยแจ้งมาว่าน้องแย่งของเล่นกับเพื่อน แล้วทะเลาะกัน แกต่อยเพื่อนผู้หญิงร้องไห้ พอลองถามแกว่าทำเพื่อนทำไม แกก็จะนิ่ง ไม่ตอบ
เดินหนีไปเล่นของเล่น
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อของแกเสียงดังใส่ เพราะขว้างของเล่น แม้ว่าไม่ตอบโต้ขณะนั้นทันที แต่กลับเดินหลบไปข้างหลังโต๊ะ พอที่จะบังสายตาของพ่อได้
แล้วแกก็หันไปเตะถังขยะที่วางอยู่ตรงนั้นแทน ทีแรกเราก็ไม่คิดว่าจะเป็นพฤติกรรมต่อต้านนะคะ แต่มีหลายเหตุการณ์ ที่เราเองก็อธิบายไม่ถูก
ไม่รู้เราคิดมากไปเองหรือเปล่า?
เช่น ถ้าบางครั้งทำอะไรไม่ทันใจแก แกอยากได้ของเล่นชิ้นที่แกเอื้อมหยิบไม่ถึง แล้วบอกให้เราหยิบให้ ถ้าเราไม่หยิบให้ ณ ตอนนั้น แกจะเริ่มขึ้นเสียง เราพยายามบอกให้ใจเย็น เดี๋ยวอาหยิบให้นะ แป๊ปเดียวนะคับ แกก็จะ อือฮือๆๆๆ เอามาเร็ว เอามาเร็วๆ (นึกออกใช่มั้ยคะ) แล้วก็ดึงทึ้งแขนเรา
เราเคยตีมือไปทีนึง บอกว่าอย่าดึงอา อาเจ็บ แกด่าเราว่า ไอ้บ้าค่ะ เราเลยดุแก บอกว่าอย่าด่าแบบนี้นะ ไม่น่ารักเลย ขอโทษเดี๋ยวนี้ พอย่าได้ยิน เอ่ยปากถามว่า มีอะไรกัน แกจะร้องไห้เลยค่ะ เหมือนเราทำร้ายแกอ่ะค่ะ ย่าแกก็จะ โอ๋ มานี่มาลูกมา ใครทำลูกคับ
ไม่ใช่แต่เฉพาะกับเราค่ะ กับย่าเอง ถ้าแกไม่พอใจ ก็ก็จะเตะประตู หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ใกล้ เขวี้ยงปาข้าวของ จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการแกถึงจะหยุด
หลายคนน่าจะพอเดาได้ว่า สาเหตุมาจากย่าที่โอ๋ และพ่อแม่ที่ทะเลาะกันให้เห็น เด็กจึงมีพฤติกรรมก้าวร้าว เราเคยลองแย็บๆ ดูแล้วว่า หลานเรามีปัญหานะ
ควรจะทำอะไรบ้างแล้ว ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ แกไม่ค่อยรับฟังอ่ะค่ะ แกว่าเราคิดมากไปเอง เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้
แต่เราเองก็มีน้องชายค่ะ มีหลานชายคนอื่นๆ เราไม่เคยเห็นพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นกับเด็กคนอื่นสักเท่าไร มีบ้างก็ยังห้ามกันได้ สอนเข้าใจ จึงคิดว่าไม่ใช่เด็กทุกคนแน่ๆ ที่เป็นแบบนี้
ปล. ที่ รร. ครูบอกว่าแกเล่นคนเดียว ไม่ค่อยมีใครเล่นด้วย ชอบมุดไปนั่งเล่นใต้โต๊ะ
และที่เราจะขอคำปรึกษาคือ
1. เราจำเป็นที่ต้องพาหลานไปพบแพทย์มั้ย? ถึงขั้นนั้นหรือเปล่า หรือสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
2. ถ้าหากจำเป็นต้องพาไป เราควรจะอธิบายกับย่า หรือพ่อแม่ของหลานอย่างไร ว่าหลานควรพบแพทย์
3. ตัวย่าเคยมีประวัติเป็นโรคไบโพลาร์ ทานยารักษาอยู่ แต่ไม่ค่อยต่อเนื่อง แกก็อารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งเหล่านี้มีผลกับพฤติกรรมของเด็กด้วยหรือเปล่าคะ
4. พ่อเด็กมีประวัติใช้ยา ช่วงก่อนที่จะมีลูก เคยโดนตำรวจตรวจฉี่ แล้วม่วง เคยเข้าบำบัดยาเสพติดแล้ว แต่ช่วงที่เมียท้อง ก็ยังใช้ยาอยู่
สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมเด็กหรือไม่
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ ใครเคยมีปัญหาคล้ายๆ เราบ้าง แล้วคุณแก้ปัญหากันยังไง
เรารบกวนขอคำปรึกษาหน่อยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ