สำหรับการเป็นนักกีฬาที่ต้องทั้งซ้อม ต้องแข่ง ทั้งเรียนไปด้วย ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ทุกอย่างประสบผลความสำเร็จไปพร้อมๆกัน
จากที่ได้ออกไปตามโรงเรียนต่างๆเพื่อดูชีวิตของพวกเขา มีหลายคนที่ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และ หนึ่งในนั้นมีชื่อของ "นุกนิก" ณัฏฐณิชา ใจแสน เซตเตอร์ดาวรุ่งจากโรงเรียนอุลิตไพบูลย์ชนูปถัมภ์ จ.ชัยนาท และ ปัจจุบันยังมีชื่อติดอยู่ในกลุ่มนักกีฬาที่เข้ามาฝึกซ้อมร่วมกับทีมชาติอีกด้วย
น้องนุกนิก ใช้เวลาในการหันมาเล่นวอลเลย์บอลไม่นาน แต่ด้วยเป็นคนที่หัวไว และ เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรแล้วจะทุ่มสุดตัว จึงใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีที่ทำให้ฝีมือขึ้นมาโดดเด่นในกลุ่มนักกีฬาที่วัยใกล้เคียงกัน จนติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 17 ปี และ พาทีมคว้าอันดับ 2 เอเชียได้สำเร็จ
สำหรับเรื่องการเรียนนั้น น้องนุกนิก เป็นคนที่แบ่งเวลาได้ดี และ ให้สัดส่วนกิจกรรมกับการเรียนเท่าๆกัน เรียนหนักแค่ไหน ก็ซ้อมหนักเท่านั้น และ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว น้องมีชื่อเข้าคัดเลือกเป็นนักเรียนพระราชทานฯ และ ได้แสดงความสามารถต่างๆให้กับคณะกรรมการ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การร้อง การรำ ความสามารถด้านกีฬา และ รวมไปถึงถูกยกให้เป็นนักเรียนที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา
แม้ว่าจะไม่ได้ถูกรับเลือก แต่ นุกนิก กลับไม่รู้สึกเสียใจ หรือ เสียดาย และ ยังคงเดินหน้าทำทุกอย่างเหมือนเดิมให้ออกมาดีที่สุด
จนตอนนี้การเรียนของน้อง และ ความตั้งใจของเขา มันทำให้เกิดความกังวลใจต่ออนาคตของตัวเองว่า หากยังเล่นวอลเลย์บอลต่อไป จะส่งผลกระทบต่อผลการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพราะตอนนี้น้องได้มีชื่อเข้าไปอยู่ใน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับตัวนุกนิกที่ผมได้มีโอกาสคลุกคลีทั้งในสนาม ทั้งที่โรงเรียน และ ที่บ้าน น้องได้รับคำแนะนำมากมายจากผู้ปกครอง โค้ช ว่าหากแบ่งเวลาได้ดีทุกอย่างก็จะประสบผลความสำเร็จ และ ผมก็เชื่อเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะประสบผลความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
แต่.....ช่วงที่ผมทำนิตยสารวอลเลย์บอล(SPIKER) ได้มีบทความหนึ่งที่ไม่ได้ถูดตีพิมพ์ เพราะหนังสือหยุดแค่เล่มที่ 3 และ คิดว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะนำเรื่องราว คำแนะนำจากนักกีฬาทีมชาติที่ผ่านจุดนั้นมาแล้วอย่าง "พี่เอ๋" บุษบรรณ พระแสงแก้ว อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือให้เราได้ติดตามกัน
"เมื่อเรามีฝัน แค่ได้ทำตามฝันด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว"
เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวออกมาว่า นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงดาวรุ่งคนหนึ่งที่น่าจับตามองของไทยเรามีสิทธิ์เข้ารับทดสอบความสามารถทางด้านกีฬาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายคนอาจจะกังวลว่า อาจจะเป็นการปิดทางสู่ทีมชาติของเธอ ถ้าการเรียนและการเล่นกีฬาเบียดบังเวลาซึ่งกันและกัน จนอาจจะทำให้เจ้าตัวทำได้ไม่เต็มที่สักอย่าง
"ตื่นซ้อมเช้าตั้งแต่ตีสี่ ซ้อมถึงแปดโมงก็รีบไปเรียน วันไหนมีคลาสแปดโมงก็ขอโค้ชเลิกเจ็ดโมงครึ่ง คือต้องเตรียมชุดและอุปกรณ์ไปเรียนไว้ให้พร้อม ซ้อมเสร็จแล้วรีบอาบน้ำบึ่งไปเลย"
คำบอกเล่าของ "พี่เอ๋"บุษบรรณ จันทรารังษี(พระแสงแก้ว) อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ผู้ซึ่งเคยผ่านรั้วจามจุรี เล่าให้เราฟังถึงอดีตเมื่อครั้งยังเป็นนักกีฬาทีมชาติ ควบคู่ไปกับการเรียนระดับมหาวิทยาลัย
นอกจากพี่เอ๋แล้ว อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติคนอื่นๆ อย่าง พี่ปุ๊ มาลินี คงทัน , พี่ตุ๊กตา บุษราคัม จำเนียรกุล ,พี่น้ำ ศิริรัตน์ หาดทรายทอง ล้วนแล้วแต่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้งสิ้น
"ปัจจุบันเด็กๆ สบายขึ้น ถ้าติดอะไรก็ขอให้บอกครู ตามเอาเลคเชอร์มาอ่าน คลาสไหนเข้าเรียนได้ก็ให้ไป รับผิดชอบหน่อยก็จบสวยๆ ค่ะ สบายกว่ารุ่นพี่เอ๋เยอะ แค่น้องๆ อาศัยความอึดหน่อย แต่พอจบมาเราจะมีวิชาติดตัวไม่อายใคร
เดี๋ยวนี้ยิ่งดีกว่าเมื่อก่อน ถ้าเป็นทีมชาติ น้องสามารถเก็บตัวกับทีมได้ ว่างจากซ้อมก็มาเรียน แบ่งเวลาให้ดี"
"อยู่ที่ฝัน อยู่ที่ความมุ่นมั่น กล้าที่จะทำ ตัวเราควบคุมเราได้ ขอแค่มีความรับผิดชอบค่ะ เรียนจบทั้งนั้นไม่ว่าที่ไหน"
"แต่ก็จะมีมุมของสมาคม ซึ่งเราต้องเห็นใจและเข้าใจ สมาคมมีเป้าหมาย หากเราติดทีมชาติเราต้องอยู่ในระเบียบวินัย ต้องซ้อมเหมือนเพื่อนโดยไม่มีข้อแม้หรือข้ออ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีเวลาว่างจากการฝึกซ้อมเราก็ไปเรียน คือแค่เราทำทุกๆหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและเต็มที่กับมัน ทำอะไรก็สำเร็จค่ะ"
จากนั้นพี่เอ๋ได้กล่าวทิ้งท้ายเป็นแง่คิดเพิ่มเติมว่า
"แต่พี่ไม่อยากให้น้องๆกดดันตัวเองนะคะ ถ้าตัดสินใจว่าจะมาอยู่ที่จุฬาฯ แล้วอยากจะเล่นทีมชาติด้วย พี่เอ๋ขอสองอย่างคือ ความรับผิดชอบ กับระเบียบวินัย เต็มที่กับหน้าที่ที่รับใช้ชาติ ซึ่งจุฬาฯสนับสนุนอยู่แล้ว ขยันฝึกซ้อม มีวินัย พักผ่อน ดูแลร่างกายตัวเองให้ดี พร้อมรับการฝึก รับผิดชอบในหน้าที่ของนิสิต เรียน กิจกรรม คบเพื่อน และทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม อดทนแค่ไม่กี่ปีแต่เราจะสบายเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
ขอแค่ทำเพราะใจเรารักที่จะทำ ไม่ทำเพราะถูกบังคับหรือต้องการเอาชนะและไปแข่งขันกับใคร เราทำเพื่อตัวเรา อนาคตของเรา ฝันของเรา ไม่ได้ทำเพราะต้องการพิสูจน์ความเก่งกับใคร เมื่อเรามีฝัน แค่ได้ทำตามฝันด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว แม้จะเหนื่อยแต่จะมีความสุขเพราะเรามีเป้าหมายรออยู่ ใครจะพูดจะว่าอะไรก็แค่ยิ้มรับและไม่ละทิ้งความฝันที่เราตั้งเอาไว้ แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ"
นี่คือข้อมูลต่างๆที่รวบรวมมาให้ได้อ่านกันบางส่วน หวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องหลายๆคนที่กำลังเป็นนักกีฬาที่ต้องเรียนไปด้วย ขอให้ทุกคนสู้ๆครับ
ปล.ขอบคุณน้องแชมป์ที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดประสบการณ์ของพี่เอ๋ให้เราได้อ่านกันครับ
ปล.คิดถึง SPIKER ผมหวังว่าวันหนึ่งเมื่อผมมีงบผมจะทำมันอีกครั้งครับ
บทความจาก คุณเอก ประวิตร
จาก...
https://www.facebook.com/aekprawit/photos/a.308280035951094.66804.308274545951643/837719983007094/?type=3&theater
"นุกนิก" //เมื่อเรามีฝัน แค่ได้ทำตามฝันด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว คำบอกเล่า "บุษบรรณ พระแสงแก้ว" นักวอลเลย์บอลรุ่นพี่
สำหรับการเป็นนักกีฬาที่ต้องทั้งซ้อม ต้องแข่ง ทั้งเรียนไปด้วย ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ทุกอย่างประสบผลความสำเร็จไปพร้อมๆกัน
จากที่ได้ออกไปตามโรงเรียนต่างๆเพื่อดูชีวิตของพวกเขา มีหลายคนที่ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และ หนึ่งในนั้นมีชื่อของ "นุกนิก" ณัฏฐณิชา ใจแสน เซตเตอร์ดาวรุ่งจากโรงเรียนอุลิตไพบูลย์ชนูปถัมภ์ จ.ชัยนาท และ ปัจจุบันยังมีชื่อติดอยู่ในกลุ่มนักกีฬาที่เข้ามาฝึกซ้อมร่วมกับทีมชาติอีกด้วย
น้องนุกนิก ใช้เวลาในการหันมาเล่นวอลเลย์บอลไม่นาน แต่ด้วยเป็นคนที่หัวไว และ เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรแล้วจะทุ่มสุดตัว จึงใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีที่ทำให้ฝีมือขึ้นมาโดดเด่นในกลุ่มนักกีฬาที่วัยใกล้เคียงกัน จนติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 17 ปี และ พาทีมคว้าอันดับ 2 เอเชียได้สำเร็จ
สำหรับเรื่องการเรียนนั้น น้องนุกนิก เป็นคนที่แบ่งเวลาได้ดี และ ให้สัดส่วนกิจกรรมกับการเรียนเท่าๆกัน เรียนหนักแค่ไหน ก็ซ้อมหนักเท่านั้น และ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว น้องมีชื่อเข้าคัดเลือกเป็นนักเรียนพระราชทานฯ และ ได้แสดงความสามารถต่างๆให้กับคณะกรรมการ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การร้อง การรำ ความสามารถด้านกีฬา และ รวมไปถึงถูกยกให้เป็นนักเรียนที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา
แม้ว่าจะไม่ได้ถูกรับเลือก แต่ นุกนิก กลับไม่รู้สึกเสียใจ หรือ เสียดาย และ ยังคงเดินหน้าทำทุกอย่างเหมือนเดิมให้ออกมาดีที่สุด
จนตอนนี้การเรียนของน้อง และ ความตั้งใจของเขา มันทำให้เกิดความกังวลใจต่ออนาคตของตัวเองว่า หากยังเล่นวอลเลย์บอลต่อไป จะส่งผลกระทบต่อผลการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพราะตอนนี้น้องได้มีชื่อเข้าไปอยู่ใน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับตัวนุกนิกที่ผมได้มีโอกาสคลุกคลีทั้งในสนาม ทั้งที่โรงเรียน และ ที่บ้าน น้องได้รับคำแนะนำมากมายจากผู้ปกครอง โค้ช ว่าหากแบ่งเวลาได้ดีทุกอย่างก็จะประสบผลความสำเร็จ และ ผมก็เชื่อเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะประสบผลความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
แต่.....ช่วงที่ผมทำนิตยสารวอลเลย์บอล(SPIKER) ได้มีบทความหนึ่งที่ไม่ได้ถูดตีพิมพ์ เพราะหนังสือหยุดแค่เล่มที่ 3 และ คิดว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะนำเรื่องราว คำแนะนำจากนักกีฬาทีมชาติที่ผ่านจุดนั้นมาแล้วอย่าง "พี่เอ๋" บุษบรรณ พระแสงแก้ว อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือให้เราได้ติดตามกัน
"เมื่อเรามีฝัน แค่ได้ทำตามฝันด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว"
เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวออกมาว่า นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงดาวรุ่งคนหนึ่งที่น่าจับตามองของไทยเรามีสิทธิ์เข้ารับทดสอบความสามารถทางด้านกีฬาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายคนอาจจะกังวลว่า อาจจะเป็นการปิดทางสู่ทีมชาติของเธอ ถ้าการเรียนและการเล่นกีฬาเบียดบังเวลาซึ่งกันและกัน จนอาจจะทำให้เจ้าตัวทำได้ไม่เต็มที่สักอย่าง
"ตื่นซ้อมเช้าตั้งแต่ตีสี่ ซ้อมถึงแปดโมงก็รีบไปเรียน วันไหนมีคลาสแปดโมงก็ขอโค้ชเลิกเจ็ดโมงครึ่ง คือต้องเตรียมชุดและอุปกรณ์ไปเรียนไว้ให้พร้อม ซ้อมเสร็จแล้วรีบอาบน้ำบึ่งไปเลย"
คำบอกเล่าของ "พี่เอ๋"บุษบรรณ จันทรารังษี(พระแสงแก้ว) อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ผู้ซึ่งเคยผ่านรั้วจามจุรี เล่าให้เราฟังถึงอดีตเมื่อครั้งยังเป็นนักกีฬาทีมชาติ ควบคู่ไปกับการเรียนระดับมหาวิทยาลัย
นอกจากพี่เอ๋แล้ว อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติคนอื่นๆ อย่าง พี่ปุ๊ มาลินี คงทัน , พี่ตุ๊กตา บุษราคัม จำเนียรกุล ,พี่น้ำ ศิริรัตน์ หาดทรายทอง ล้วนแล้วแต่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้งสิ้น
"ปัจจุบันเด็กๆ สบายขึ้น ถ้าติดอะไรก็ขอให้บอกครู ตามเอาเลคเชอร์มาอ่าน คลาสไหนเข้าเรียนได้ก็ให้ไป รับผิดชอบหน่อยก็จบสวยๆ ค่ะ สบายกว่ารุ่นพี่เอ๋เยอะ แค่น้องๆ อาศัยความอึดหน่อย แต่พอจบมาเราจะมีวิชาติดตัวไม่อายใคร
เดี๋ยวนี้ยิ่งดีกว่าเมื่อก่อน ถ้าเป็นทีมชาติ น้องสามารถเก็บตัวกับทีมได้ ว่างจากซ้อมก็มาเรียน แบ่งเวลาให้ดี"
"อยู่ที่ฝัน อยู่ที่ความมุ่นมั่น กล้าที่จะทำ ตัวเราควบคุมเราได้ ขอแค่มีความรับผิดชอบค่ะ เรียนจบทั้งนั้นไม่ว่าที่ไหน"
"แต่ก็จะมีมุมของสมาคม ซึ่งเราต้องเห็นใจและเข้าใจ สมาคมมีเป้าหมาย หากเราติดทีมชาติเราต้องอยู่ในระเบียบวินัย ต้องซ้อมเหมือนเพื่อนโดยไม่มีข้อแม้หรือข้ออ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีเวลาว่างจากการฝึกซ้อมเราก็ไปเรียน คือแค่เราทำทุกๆหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและเต็มที่กับมัน ทำอะไรก็สำเร็จค่ะ"
จากนั้นพี่เอ๋ได้กล่าวทิ้งท้ายเป็นแง่คิดเพิ่มเติมว่า
"แต่พี่ไม่อยากให้น้องๆกดดันตัวเองนะคะ ถ้าตัดสินใจว่าจะมาอยู่ที่จุฬาฯ แล้วอยากจะเล่นทีมชาติด้วย พี่เอ๋ขอสองอย่างคือ ความรับผิดชอบ กับระเบียบวินัย เต็มที่กับหน้าที่ที่รับใช้ชาติ ซึ่งจุฬาฯสนับสนุนอยู่แล้ว ขยันฝึกซ้อม มีวินัย พักผ่อน ดูแลร่างกายตัวเองให้ดี พร้อมรับการฝึก รับผิดชอบในหน้าที่ของนิสิต เรียน กิจกรรม คบเพื่อน และทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม อดทนแค่ไม่กี่ปีแต่เราจะสบายเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
ขอแค่ทำเพราะใจเรารักที่จะทำ ไม่ทำเพราะถูกบังคับหรือต้องการเอาชนะและไปแข่งขันกับใคร เราทำเพื่อตัวเรา อนาคตของเรา ฝันของเรา ไม่ได้ทำเพราะต้องการพิสูจน์ความเก่งกับใคร เมื่อเรามีฝัน แค่ได้ทำตามฝันด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว แม้จะเหนื่อยแต่จะมีความสุขเพราะเรามีเป้าหมายรออยู่ ใครจะพูดจะว่าอะไรก็แค่ยิ้มรับและไม่ละทิ้งความฝันที่เราตั้งเอาไว้ แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ"
นี่คือข้อมูลต่างๆที่รวบรวมมาให้ได้อ่านกันบางส่วน หวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องหลายๆคนที่กำลังเป็นนักกีฬาที่ต้องเรียนไปด้วย ขอให้ทุกคนสู้ๆครับ
ปล.ขอบคุณน้องแชมป์ที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดประสบการณ์ของพี่เอ๋ให้เราได้อ่านกันครับ
ปล.คิดถึง SPIKER ผมหวังว่าวันหนึ่งเมื่อผมมีงบผมจะทำมันอีกครั้งครับ
บทความจาก คุณเอก ประวิตร
จาก... https://www.facebook.com/aekprawit/photos/a.308280035951094.66804.308274545951643/837719983007094/?type=3&theater