เมื่อสองสามวันเป็นครั้งแรกในชีวิตอีกครั้งที่ต้องไปเปิดหูเปิดตาคนเดียว เพราะผมไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง แต่สุดท้ายคือประสบการณ์ชีวิตที่ดีเลยละ!
เข้าเรื่องดีกว่า ผมตัดสินใจเดินทางไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นโรงงานแถวหัวหิน ผมเองไม่รู้หรอกว่าผลมันเป็นอย่างไร ก็ต้องลองสักตั้ง ผมตีตั๋วรถไฟลงหัวหินตั้งแต่วันเสาร์ วันอาทิตย์รถออกบ่ายโมง นั่งรถไปสักพักพอรถจอดที่ทุ่งสง
#เรื่องความแย่ก็เริ่มขึ้น เริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะแบบไม่เคยพบมาก่อน คือก่อนหน้านี้ก็นั่งรถไฟไปกรุงเทพนะ แต่ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน พอดีนั่งชั้นสาม ตอนแรกคิดว่าคนคงไม่เยอะหรอก ไม่ใช่ช่วงอพยพ แต่มันไม่ใช่อ่ะ! คนที่เข้ามาล้วนได้ตั๋วยืนกันระนาวเลย โอ้ว!!!! ด้วยความแออัดยัดเยียด บางคนก็ไปสูบบุหรี่ควันก็คลุ้งสิ! ในโบกี้เด็กก็ร้อง เสียงคนขายของอีก เจ๊าะแจ๊ะวุ่นวาย รู้สึกผะอืดผะอม เริ่มดมยาดมพอลดอาการไปบ้าง เผอิญผมนั่งตรงข้ามแม่ลูกคู่หนึ่ง น้าก็ชวนเม้ามอยตามประสาคุณแม่อ่ะนะ พอทราบคร่าวๆ ว่าเขาไปหาสามีที่หลังสวน พอไปถึงแม่ลูกคู่นี้ก็โบกมือลางามๆกัน ผมว่า แม่ลูกคู่นี้ดูน่ารักดีเนอะ!!!
พอพลบค่ำ อาการมึนหัวเริ่มเข้ามาอีก บวกกับสภาพรถชั้นสามกับกลิ่นสารพัดถาถม ทว่าเริ่มกำเริบหนักถึงขั้นท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ดมยาดมไปตลอดทาง พอไปถึงหัวหินเท่านั้นแหล่ะ! รีบไปซื้อยาที่เซเว่น แล้วรีบทานเข้าไป เดินด้วยความมึนหัว นั่งรถรับจ้างไปห้องพักที่จองไว้ เมื่อเข้าไปถึง
#เรื่องความแย่ที่สอง ล็อบบี้ไม่มีคนอยู่ ผมโทร.ไป เวร!!!! เสียงโทรศัพท์ดังในเคาท์เตอร์ โอ้ว!!! ทำไงดีอ่ะเนี้ย จึงตัดสินใจไปหาห้องใหม่ ถึงจนห้องพักแห่งหนึ่ง โทรศัพท์เช็คว่ามีคนอยู่หรือหรือเปล่า เดชะบุญมีคนอยู่ เป็นคุณป้า มาเปิดประตู จากนั้นก็ไปเช่าห้องหนึ่งคืน ไม่ใช่สิ! ห้าชั่วโมงเศษ ป้าบอกว่ามีห้องเจ็ดร้อยบาท ตกใจแบบมึนๆ เลยขอให้ป้าช่วยลดราคาหน่อย คุณป้าเลยลดค่าเช่าเหลือห้าร้อยบาท ก็ยังดีหว่ะ! จ่ายเงินเสร็จรีบขึ้นไปรีบอาบน้ำเตรียมของ กว่าจะได้หลับ ปาไปตีสองแล้ว สุดท้ายต้องข่มตานอน มึนหัวไม่หายเลย
ผมหลับๆตื่นๆ ดูนาฬิกา ตีสี่ห้าสิบ เลยตื่นซะเลย อาบน้ำแต่งตัวครึ่งท่อน ลงไปชั้นล่างขอป้ายืมเตารีดหน่อยเสื้อมันยับ ก็รีดจนเสร็จ จากนั้นก็เก็บข้าวของลงมาเช็คออก คุณป้าก็อวยพรให้โชคดีในการเดินทาง สา...ธุ! ออกจากห้องพัก เดินทางไปหาอะไรทานก่อน แว่ะทานโจ๊กหมูถ้วยหนึ่ง ทานไม่หมด ไม่ใช่ไม่อร่อยหรอกคับ อาการมึนหัวยังอยู่ทานอะไรไม่ค่อยลง เดินทางต่อไปขึ้นรถสองแถวสายไปป่าละอู ที่เข้าบริษัทจะไปสมัครงานอ่ะ นั่งรถไปประมาณสี่สิบห้านาทีถึงบริษัท เดินเข้าไปก็แลกบัตรเตรียมเอกสารเข้าสำนักงาน มาด้วยความหวังที่ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่านับจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผม และแล้วข่าวไม่สู้ดีก็แจ้งมาว่าฝ่ายบุคคลที่มาสัมภาษณ์ไม่อยู่ จะให้ทางบริษัทแจ้งอีกครั้ง ผมจึงพูดไปว่า “คือมาจากต่างจังหวัดอ่ะคับ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ช่วยพูดหน่อยได้มั้ยคับ?” พี่คนนั้นก็กลับเข้าไปห้อง สุดท้ายคอตก
#เรื่องความแย่ที่สามก็มาถึง พี่แจ้งเหมือนเดิมทางบริษัทจะแจ้งผลอีกครั้ง ผมจึงพูดเชิงเสียความรู้สึกไปว่า “ก่อนหน้านี้สอบถามตำแหน่งว่ารับอยู่ เขาบอกว่าสัมภาษณ์รู้ผลทันที คือผมจะส่งเอกสารทางไปรษณีย์แต่ทางบริษัทให้มาสมัครด้วยตนเอง พอมาถึงเจอแบบนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงอ่ะคับ” เดินทางกลับนั่งรถเข้าเมืองหัวหินเพื่อเข้าเมืองประจวบฯ ระหว่างทางนั่งรถตู้ ผมสังเกตว่า ไม่มีรถประจำทางผ่านเส้นนี้เลย ลำบากน่าดู เพียงแต่มีรถตู้อย่างเดียว ผ่านบริษัทที่ผมเคยส่งเอกสารสมัครงานทางไปรษณีย์ทั้งนั้นเลย #แต่ทำไมไม่เรียกสัมภาษณ์สักทีอ่ะ!!!!
เมื่อเข้าเมืองประจวบ
#ความแย่เรื่องที่สี่ก็มาถึง ผมไม่รู้ทำอีท่าไหน ธนบัตรฉบับห้าร้อยหายไป!!!! สุดช็อคของความแย่ครั้งนี้เลย เดินริมทางแบบมึนหัว น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า ได้แต่ขอแรงอธิฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองด้วย ในตัวเมืองประจวบไม่มีที่เที่ยวอย่างที่คาดไว้เลย คือเงียบสงบรถโดยสารก็ไม่มี เลยนั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟประจวบฯ ในกระเป๋าเหลือเงินสี่ร้อยบาทเศษ ซื้อตั๋วขาล่องตัดสินใจนั่งชั้นสองเก้าอี้นอน คงไม่วุ่นวายนักจะได้นอนด้วย เที่ยวห้าทุ่มเศษ นั่งหน้าหงอยแบบหมดสภาพมึนหัวอยู่ที่สถานีตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงเวลารถไฟมาเทียบชานชลา ตลอดเวลาที่รอรถ ผมพยายามไม่หลับเป็นอันขาด! เพราะกลัวในเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง นี่ถ้าไม่เกิดอาการมึนหัวแบบนี้นะ เรื่องอื่นๆคงไม่แย่เกินไปสำหรับเราหรอก! #และผมไม่ต้องการให้คนในครอบครัวทราบคับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมตอนนี้ ที่ผ่านมาก็แย่อยู่แล้ว ตอนนั้นอยากไปโรงพยาบาลมาก กลัวว่าจะไม่ทันรถไฟมา เลยหาอะไรรองท้องแล้วก็ทานยาที่ซื้อมาฝืนทนไปก่อน เมื่อรถไฟมาถึงรีบขึ้นหาที่นั่งจากนั่น สิ่งที่อยากทำคือ “ล้างหน้าล้างมือ” รู้สึกสดชื่นและรู้สึกว่ายังทนไหวกับอาการมึนหัว นั่งรถไฟอีกประมาณแปดชั่วโมง ยี่สิบสี่ชั่วโมงของร่างไม่ได้อาบน้ำ รู้สึกเลยว่าเน่าสุดๆในสามโลกเลย
เมื่อรถไฟถึงคลองจันดี รีบลงและรีบวิ่งไปต่อรถสองแถวเพื่อจะเข้าบ้านโดยทันที ถึงบ้านปาไปเก้าโมงเศษ สิ่งที่อยากทำคือ “ล้างตัว” ขืนไปหาหมอในสภาพแบบนี้รับไม่ได้หว่ะ! รีบล้างตัวด้วยความเร็วเคลียร์ตัวเองเสร็จขี่มอเตอร์ไซด์ไปโรงพยาบาลแบบมึนหัว ไอ้ผมนี่โคตรอึดจริงๆ ไปถึงโรงพยาบาลหมอตรวจอาการ ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เกิดจากอาการเมารถไฟค้างแล้วบวกกับพักผ่อนไม่ได้เต็มที่ แล้วอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย และสภาวะความเครียดสะสม รับยากลับบ้านเสร็จ หลับยาวถึงสี่โมงเย็น.... ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วคับ
เฮ่อ...นี่คงเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดละมั้ง อยู่กรุงเทพไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้เลย นี่เป็นการวัดใจกันเลยนะ วัดจิตวัดใจอะไรหลายอย่าง และทำให้รู้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างแท้จริง” ตอนนี้อาการป่วยดีขึ้นแล้วคับ และผมพร้อมสู้ต่อไปคับ ^_^
#หนุ่มเลขานุการ #นี่เราเขียนเป็นนิยายได้เลยนะเนี่ย (แต่เรื่องจริง!) โคตรเศร้า T_T
TALK TO ME #เมื่อหนุ่มเลขาต้องไปหัวหิน (โดยลำพัง)
เข้าเรื่องดีกว่า ผมตัดสินใจเดินทางไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นโรงงานแถวหัวหิน ผมเองไม่รู้หรอกว่าผลมันเป็นอย่างไร ก็ต้องลองสักตั้ง ผมตีตั๋วรถไฟลงหัวหินตั้งแต่วันเสาร์ วันอาทิตย์รถออกบ่ายโมง นั่งรถไปสักพักพอรถจอดที่ทุ่งสง #เรื่องความแย่ก็เริ่มขึ้น เริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะแบบไม่เคยพบมาก่อน คือก่อนหน้านี้ก็นั่งรถไฟไปกรุงเทพนะ แต่ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน พอดีนั่งชั้นสาม ตอนแรกคิดว่าคนคงไม่เยอะหรอก ไม่ใช่ช่วงอพยพ แต่มันไม่ใช่อ่ะ! คนที่เข้ามาล้วนได้ตั๋วยืนกันระนาวเลย โอ้ว!!!! ด้วยความแออัดยัดเยียด บางคนก็ไปสูบบุหรี่ควันก็คลุ้งสิ! ในโบกี้เด็กก็ร้อง เสียงคนขายของอีก เจ๊าะแจ๊ะวุ่นวาย รู้สึกผะอืดผะอม เริ่มดมยาดมพอลดอาการไปบ้าง เผอิญผมนั่งตรงข้ามแม่ลูกคู่หนึ่ง น้าก็ชวนเม้ามอยตามประสาคุณแม่อ่ะนะ พอทราบคร่าวๆ ว่าเขาไปหาสามีที่หลังสวน พอไปถึงแม่ลูกคู่นี้ก็โบกมือลางามๆกัน ผมว่า แม่ลูกคู่นี้ดูน่ารักดีเนอะ!!!
พอพลบค่ำ อาการมึนหัวเริ่มเข้ามาอีก บวกกับสภาพรถชั้นสามกับกลิ่นสารพัดถาถม ทว่าเริ่มกำเริบหนักถึงขั้นท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ดมยาดมไปตลอดทาง พอไปถึงหัวหินเท่านั้นแหล่ะ! รีบไปซื้อยาที่เซเว่น แล้วรีบทานเข้าไป เดินด้วยความมึนหัว นั่งรถรับจ้างไปห้องพักที่จองไว้ เมื่อเข้าไปถึง #เรื่องความแย่ที่สอง ล็อบบี้ไม่มีคนอยู่ ผมโทร.ไป เวร!!!! เสียงโทรศัพท์ดังในเคาท์เตอร์ โอ้ว!!! ทำไงดีอ่ะเนี้ย จึงตัดสินใจไปหาห้องใหม่ ถึงจนห้องพักแห่งหนึ่ง โทรศัพท์เช็คว่ามีคนอยู่หรือหรือเปล่า เดชะบุญมีคนอยู่ เป็นคุณป้า มาเปิดประตู จากนั้นก็ไปเช่าห้องหนึ่งคืน ไม่ใช่สิ! ห้าชั่วโมงเศษ ป้าบอกว่ามีห้องเจ็ดร้อยบาท ตกใจแบบมึนๆ เลยขอให้ป้าช่วยลดราคาหน่อย คุณป้าเลยลดค่าเช่าเหลือห้าร้อยบาท ก็ยังดีหว่ะ! จ่ายเงินเสร็จรีบขึ้นไปรีบอาบน้ำเตรียมของ กว่าจะได้หลับ ปาไปตีสองแล้ว สุดท้ายต้องข่มตานอน มึนหัวไม่หายเลย
ผมหลับๆตื่นๆ ดูนาฬิกา ตีสี่ห้าสิบ เลยตื่นซะเลย อาบน้ำแต่งตัวครึ่งท่อน ลงไปชั้นล่างขอป้ายืมเตารีดหน่อยเสื้อมันยับ ก็รีดจนเสร็จ จากนั้นก็เก็บข้าวของลงมาเช็คออก คุณป้าก็อวยพรให้โชคดีในการเดินทาง สา...ธุ! ออกจากห้องพัก เดินทางไปหาอะไรทานก่อน แว่ะทานโจ๊กหมูถ้วยหนึ่ง ทานไม่หมด ไม่ใช่ไม่อร่อยหรอกคับ อาการมึนหัวยังอยู่ทานอะไรไม่ค่อยลง เดินทางต่อไปขึ้นรถสองแถวสายไปป่าละอู ที่เข้าบริษัทจะไปสมัครงานอ่ะ นั่งรถไปประมาณสี่สิบห้านาทีถึงบริษัท เดินเข้าไปก็แลกบัตรเตรียมเอกสารเข้าสำนักงาน มาด้วยความหวังที่ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่านับจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผม และแล้วข่าวไม่สู้ดีก็แจ้งมาว่าฝ่ายบุคคลที่มาสัมภาษณ์ไม่อยู่ จะให้ทางบริษัทแจ้งอีกครั้ง ผมจึงพูดไปว่า “คือมาจากต่างจังหวัดอ่ะคับ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ช่วยพูดหน่อยได้มั้ยคับ?” พี่คนนั้นก็กลับเข้าไปห้อง สุดท้ายคอตก #เรื่องความแย่ที่สามก็มาถึง พี่แจ้งเหมือนเดิมทางบริษัทจะแจ้งผลอีกครั้ง ผมจึงพูดเชิงเสียความรู้สึกไปว่า “ก่อนหน้านี้สอบถามตำแหน่งว่ารับอยู่ เขาบอกว่าสัมภาษณ์รู้ผลทันที คือผมจะส่งเอกสารทางไปรษณีย์แต่ทางบริษัทให้มาสมัครด้วยตนเอง พอมาถึงเจอแบบนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงอ่ะคับ” เดินทางกลับนั่งรถเข้าเมืองหัวหินเพื่อเข้าเมืองประจวบฯ ระหว่างทางนั่งรถตู้ ผมสังเกตว่า ไม่มีรถประจำทางผ่านเส้นนี้เลย ลำบากน่าดู เพียงแต่มีรถตู้อย่างเดียว ผ่านบริษัทที่ผมเคยส่งเอกสารสมัครงานทางไปรษณีย์ทั้งนั้นเลย #แต่ทำไมไม่เรียกสัมภาษณ์สักทีอ่ะ!!!!
เมื่อเข้าเมืองประจวบ #ความแย่เรื่องที่สี่ก็มาถึง ผมไม่รู้ทำอีท่าไหน ธนบัตรฉบับห้าร้อยหายไป!!!! สุดช็อคของความแย่ครั้งนี้เลย เดินริมทางแบบมึนหัว น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า ได้แต่ขอแรงอธิฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองด้วย ในตัวเมืองประจวบไม่มีที่เที่ยวอย่างที่คาดไว้เลย คือเงียบสงบรถโดยสารก็ไม่มี เลยนั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟประจวบฯ ในกระเป๋าเหลือเงินสี่ร้อยบาทเศษ ซื้อตั๋วขาล่องตัดสินใจนั่งชั้นสองเก้าอี้นอน คงไม่วุ่นวายนักจะได้นอนด้วย เที่ยวห้าทุ่มเศษ นั่งหน้าหงอยแบบหมดสภาพมึนหัวอยู่ที่สถานีตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงเวลารถไฟมาเทียบชานชลา ตลอดเวลาที่รอรถ ผมพยายามไม่หลับเป็นอันขาด! เพราะกลัวในเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง นี่ถ้าไม่เกิดอาการมึนหัวแบบนี้นะ เรื่องอื่นๆคงไม่แย่เกินไปสำหรับเราหรอก! #และผมไม่ต้องการให้คนในครอบครัวทราบคับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมตอนนี้ ที่ผ่านมาก็แย่อยู่แล้ว ตอนนั้นอยากไปโรงพยาบาลมาก กลัวว่าจะไม่ทันรถไฟมา เลยหาอะไรรองท้องแล้วก็ทานยาที่ซื้อมาฝืนทนไปก่อน เมื่อรถไฟมาถึงรีบขึ้นหาที่นั่งจากนั่น สิ่งที่อยากทำคือ “ล้างหน้าล้างมือ” รู้สึกสดชื่นและรู้สึกว่ายังทนไหวกับอาการมึนหัว นั่งรถไฟอีกประมาณแปดชั่วโมง ยี่สิบสี่ชั่วโมงของร่างไม่ได้อาบน้ำ รู้สึกเลยว่าเน่าสุดๆในสามโลกเลย
เมื่อรถไฟถึงคลองจันดี รีบลงและรีบวิ่งไปต่อรถสองแถวเพื่อจะเข้าบ้านโดยทันที ถึงบ้านปาไปเก้าโมงเศษ สิ่งที่อยากทำคือ “ล้างตัว” ขืนไปหาหมอในสภาพแบบนี้รับไม่ได้หว่ะ! รีบล้างตัวด้วยความเร็วเคลียร์ตัวเองเสร็จขี่มอเตอร์ไซด์ไปโรงพยาบาลแบบมึนหัว ไอ้ผมนี่โคตรอึดจริงๆ ไปถึงโรงพยาบาลหมอตรวจอาการ ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เกิดจากอาการเมารถไฟค้างแล้วบวกกับพักผ่อนไม่ได้เต็มที่ แล้วอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย และสภาวะความเครียดสะสม รับยากลับบ้านเสร็จ หลับยาวถึงสี่โมงเย็น.... ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วคับ
เฮ่อ...นี่คงเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดละมั้ง อยู่กรุงเทพไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้เลย นี่เป็นการวัดใจกันเลยนะ วัดจิตวัดใจอะไรหลายอย่าง และทำให้รู้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างแท้จริง” ตอนนี้อาการป่วยดีขึ้นแล้วคับ และผมพร้อมสู้ต่อไปคับ ^_^ #หนุ่มเลขานุการ #นี่เราเขียนเป็นนิยายได้เลยนะเนี่ย (แต่เรื่องจริง!) โคตรเศร้า T_T