อายุใกล้เกษียณแล้ว ยังมีเงินเก็บเพียงแสนกว่าเอง ฟังดูแล้วน่าตกใจสำหรับคนที่คิดว่า ต้องมี 10 - 100 ล้านบาท ก่อนเกษียน

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน มีเงินเก็บตอนนี้ แสนกว่าบาท ในหุ้น+เงินฝากธนาคาร ผมก็คิดว่าผมยังดีกว่าตอนที่ผม อายุช่วง 24 - 50 เสียอีก
ซึ่งช่วงนั้นผมมีเงินเก็บเฉลี่ย 0 บาท อยู่หลายปี แล้วติดหนี้บัตรเครดิต 2 - 5 หมื่นบาท เกือบ 10 ปี  ทั้งที่ผมใช้จ่ายประจำวันน้อยกว่ารายได้เสียอีก
โดยถือคติที่ว่า "อยู่อย่างจน ก็จะไม่จน"  

       ออ.. ชีวิตผมเริ่มตั้งตัวก็ตอนอายุ 35 - 36 ปี  ก่อนนั้นทั้งลำบากทั้งจน แต่ผมไม่เคยจนใจและจนปัญญาเลย และด้วยการสังเกตุสภาวะ
ของครอบครัวจึงรู้ว่า ผมกับภรรยาไม่สามารถรักษาเงินเก็บเป็นก่อนได้ตั้งแต่เริ่มแต่งงานกันมา ต้องมีเหตุให้จ่ายจนเก็บไม่ได้ แต่ภรรยาอยากมีบ้าน
เป็นของตนเอง ซึ่งเขาไม่เคยมีผมเห็นอุบายนั้น ว่าเราเก็บหนี้ที่เกิดเป็นทรัพย์สินดีกว่า แล้วภรรยาผมก็ต้องทนได้ในระดับหนึ่งเพราะเขาอยากมี
บ้านที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  ตามเงินเดือนของผมที่เพิ่มขึ้น

       ด้วยผมตอนนั้นมีเงินเดือนมากกว่าภรรยาถึงเกือบ 4 เท่า ผมจึงรับผิดชอบเรื่องผ่อนชำระทั้งหมดและรูดบัตรเครดิตซื้อของเข้าบ้าน ส่วนเงิน
เดือนภรรยาใช้จ่ายในเรื่องเสื้อผ้าร่วมทั้งของลูกและของกินที่พิเศษ ซึ่งเราต้องแบกภาระหนี้บ้าน 2 หลัง (บ้านเคหะช้นเดียว+ทาวเฮาส์ 2 ชั้น 2
ห้องนอน)

       นั้นแหละจึงเป็นเหตุ ให้ผมต้องติดลบบัตรเครดิต 2-5 หมื่นบาท เป็นเวลาหลายปี ระยะหลังเพื่อลดภาระดอกเบี้ย จึงผลักไปเป็นเงินกู้สหกรณ์
ของภรรยาเพราะดอกเบี้ยน้อยกว่า  เราจึงไม่มีเงินเก็บแต่มีหนี้เงินสดประมาณ 5 หมื่นบาท  และยังมีหนี้บ้าน 2 หลังนั้นอยู่ประมาณ 1 ล้าน ชีวิต
ชั่งน่าหวาดกลัว ซึ่งผมห้ามพลาดเด็ดขาด  แต่ผมอึดอัดตัวเองมาก ผมอายุ 40 ปี แล้วรายได้ก็ดีแต่ยังไม่มีรถยนตร์เก่าๆ ขับไปทำงานได้เลย ผมจึง
หักดิบกับภรรยา ว่าผมอยากได้รถยนตร์เก่าๆ ขับไปส่งภรรยากลางทางแล้วขับไปทำงาน ภรรยาก็ค้านแต่ผมไม่ยอมแล้วเพราะมันสุดๆ จริง ผมจะหารถ
ราคา  4-5 หมื่นบาท.
        ภรรยาบอกว่าถ้าจะซื้อก็ให้ดีกว่านั้นหน่อย จึงจำใจกู้เงินมา 1 แสน ได้รถยนตร์ นิสสัน 1.3 อายุ 7 ปี  หนี้และค่าใช้จ่ายก็พอกพูนขึ้น แต่รายได้
ผมก็ดีขึ้น จึงไม่ติดขัดอะไรที่แย่ไปกว่าเดิม
      
       พอหนี้เงินสดผ่อนหมด เราก็เริ่มมีเงินเก็บ เป็นแสน ภรรยาผมก็เริ่มบ่นและเริ่มรุกว่า อยากได้บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 ห้องนอนสัก 50 ตรว. เพราะลูก 2
คน หญิงชาย  ต่อไปต้องแยกห้องนอน ผมก็บอกให้รอไปก่อนเมื่อไหรพร้อมผมก็จะบอกเองให้หา

       2 - 3 ปีต่อมา เงินเดือนผมน่ามากกว่า 35,000 บาทแล้วตอนนั้น  ผมก็บอกภรรยาและลูกว่า พร้อมแล้วจะหาบ้านใหม่ก็หาได้  จึงได้บ้านใหม่
50 ตรว. ราคา+ค่าใช้จ่ายขั้นต้น 1,500,000 บาท คือผมเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก 1,400,000 บาท กับหนี้เก่าบ้าน 2 หลัง อีกประมาณ 600,000 บาท

       รวมแล้วเป็นหนี้ทรัพย์สินประมาณ 2 ล้าน แบกบ้าน 3 หลัง  เงินเก็บเริ่มติดลบ จึงจำใจขายบ้านเคหะ หักลบแล้วได้เงินมาประมาณ 200,000
จึงเหลือหนี้อยู่ประมาณ 1,800,000 บาท จึงใช้จ่ายภายในครอบครัวอย่างสมดุลย์ได้ไม่ติดลบ  โดยถือคติที่ว่า กินจ่ายแบบจนกว่ารายได้ ก็จะไม่จน
      
        และด้วยบริษัทให้รถมาขับฟรีอยู่ 2 ปี จึงเอาเงินส่วนประหยัดนั้นมาเพิ่มชำระเดือน 500 - 1000 ต่อเดือน  ออ. เงินโบนัสที่ได้ต่อปีหลายหมื่นบาท
ไม่เคยเอามาโป๊ะบ้าน เพราะค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ รออยู่บานเชียว

        ทำไมผมต้องยอมอดทนและทนอดอยู่อย่างนั้น เพราะผมมองไปถึงเมื่อผมเกษียณโดยไม่ยึดตัวเงินเก็บเป็นหลัก เพราะพ่อและแม่เป็นตัวอย่างให้
เห็น เมื่อประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว ท่านทั้งสองมีเงินเก็บอยู่ประมาณ 1 ล้านกว่าบาทที่บ้านนอก สมัยนั้นถ้าท่านเปิดตัวออกมาถือว่าท่านเป็นเศรษฐีเงิน
ล้านเลยที่เดียว  ไม่ต้องทำอะไรแค่เอาเงินฝากธนาคาร ดอกเบียร้อยละ 11-12 บาท ท่านมีรายได้จากดอกเบี้ยต่อเดือนประมาณ 8,000 บาท ซึ่งเงิน
เดือนในระดับปริญญาตรีตอนนั้นแค่ 2,200 บาทเอง แต่เวลาต่อมาเมื่อประมาณปี 2535 มาแล้วเงิน ล้านของท่านชั่งลดค่าลงมากที่เดียว

        แต่ บ้าน+ที่ดินเล็กน้อย ที่พอเป็นทำเลพอเหมาะ ไม่ใช้ทำเลทอง มูลค่าไม่เคยต่ำลงเลย และปลดภาระหนี้เป็น 0 หมดแล้ว ก่อนเกษียณตามลำดับ  

        ผมจึงมองว่าเมื่อผมเกษียณ หนี้อสังหาริมทรัพย์เป็น 0 มีมูลค่า > 5 ล้าน และผมจะมีรายได้โดยไม่ต้องทำงานแล้วเท่าไร ด้วยผมเป็นคนสมถะ ผม
ประเมินประมาณ 7,000 -10,000 บาท ผมก็อยู่ได้  จาก บำนาญประกันสังคม 32,00 + ค่าเช้าบ้าน(อัตราขึ้นตามเศรษฐกิจ) + เงินลูกที่ให้(เขามีรายได้
ดีพอประมาณ)

        แต่ถ้าเกษียณแล้ว อยากมีเงินเพิ่ม 1-3 หมืนบาท ต่อเดือน ก็มีทุนที่เป็นที่ดิน หรือปัญญาและประสบการณ์ ทำได้อยู่แล้วคือ.

           1. รับเป็นที่ปรึกษาระบบคอมพิวเตอร์ ทำงานอาทิตย์ละ 2 วัน
           2. ปลูกกล้วย ปลูกผักบุ่ง ในที่ดินประมาณ 100+200 ตารางวาในเขตขอบกรุงเทพฯ หรือประมาณ 1.5 - 2.5 ไร่ ในปริมนทล ปัญหาในการเดิน
               ทางและบรรทุกของไม่มีเพราะมีรถกระบะใช้งานอยู่แล้ว (จากที่อ่านตามที่เขาประเมินที่ 50 ตารางวา ปลูกผักบุ่งมีคนทำได้ประมาณ 7 หมื่น
               บาทต่อรอบในการปลูกร่วมทั้งทุนไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ผมขอแค่ 6 หมืนบาทในที่ 200 ตารางวารวมทั้งทุนก็พอแล้ว เป็นค่าจ้างแรงงานและทุน
              ไปสัก 4-5 หมืนบาท เหลือแค่ 1-2 หมื่นบาท ให้คนแก่ใช้เงืนเล่นก็พอ)
           3. รับซ้อมคอมพิวเตอร์ลงโปรแกรม หรือ ซ้อมจักรยาน เอาเงินกินขนม แต่ละเดือน
  
        จึงเห็นว่าผมมองเมื่อเกษียณ ไม่ใช้ตัวเงินเก็บเพื่อกินดอกเบี้ยเพราะอย่างไรๆ ก็ทำไม่ได้ ที่จะมากกว่า 10 ถึง 100 ล้านบาท ในช่วงเจนเนอร์เรชั้น
ของผม ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดารายได้กลางๆ   แต่ถ้าเล่งไปที่ดอกผลจากทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ และปัญญาประสบการณ์ ก็สามารถอยู่
ได้โดยไม่ลำบาก.

         และที่คิดว่าจะเก็บเก็บเงินสดให้ได้สัก 1 ล้านก่อนเกษียณอีก 3 ปีกว่าสำหรับส่วนตัวผม เพราะบ้านและที่ดินปลดหนี้หมดแล้วตอนนี้ ก็คงไม่ได้แล้วละ  เพราะต้องเอาแม่ไปอยู่ศูนย์พักฟื่นคนป่วยและชราเอกชน รายจ่ายต่ำสุดเดือนละ 22,000 บาท  
         อือ..  ผมมองชีวิตผมได้ถูกตั้งแต่ตอนแต่งงานมีครอบครัวว่า คงเก็บเงินก้อนมากไม่ได้ ก็ยังเป็นจริงอยู่

     แนวชีวิตของผม ผู้อ่านสามารถหยิบเป็นแนวคิดไปปรับใช้ได้นะครับ เพราะเป็นการดำเนินชีวิตจริง สำหรับคนรุ่นใหม่ แต่สภาวะสังคมและรูปแบบความ
เป็นอยู่อาจแตกต่างจากยุคผมที่ผ่านมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่