ยิ้มๆ​ เชิงขำๆ​ กับตัวเอง​ที่มีเงินเก็บส่วนตัว​ 1​ ล้านแรกเมื่ออายุย่าง​ 63​ ปีเพราะหา​ passive incom​ จากบ้านเช่า


แก่แล้ว​เมื่ออยู่อย่างพอเพียงสมถะหน่อย​  ก็พอสามารถ​มีรายได้หลายทางเก็บเล็กผสมน้อย​ด้วยประสบการณ์ที่พอมี ก็ทำให้เงินเก็บส่วนตัวไม่ถึง​ล้าน​เพิ่มถึงล้านได้​แบบไม่เครียดเพราะไม่ไปสนใจเท่าใดแล้ว​ด้วยเกษียณแล้ว

     ความจริงแล้ว​ ผมได้วางแผนไว้​เกษียณ​ 60​ ปี​พอดีด้วยเงินเดือนแบบกลางๆ​ ล้วนๆ​ ไม่ได้ทำงานเสริมอื่นๆ​ เพื่อประกองให้ชีวิตครอบครัวพอสมดุลย์​ 5 อย่าง

    1.นำพาครอบครัวให้เจริญขึ้นตามลำดับ
    2.ต้องประกองอาชีพตนเองและก้าวหน้าขึ้น
    3.ต้องให้เวลากับการศึกษาและปฏิบัติธรรม​ อย่างต่อเนื่องไม่ทอดธุระของตนเอง
    4.ต้องให้เวลากับลูก​ 2​ คน​ เพื่อพัฒนาเขาให้เจริญขึ้นไปตามลำดับ
    5.ต้องประกองภรรยาเพื่อการงานของเขาตามฐานะไปตามลำดับ

     ผมเริ่มพอตั้งตัวได้ก็อายุ​ 36  ปีไปแล้ว​ จาก​เงินเดือน 7,500 -​ 51,700  บาท​ และได้ประเมินไว้เมื่ออายุ​ 50​ กว่าปี​ ผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวไม่รวมทรัพย์สินอื่น​และไม่มีหนี้​แล้ว​ ถึง​ 2​ ล้านบาท(รวมกับเงินเกษียณ​ 10​ เท่า​ ตามกฏหมายเก่า)  ด้วยการที่ดำเนินชีวิตแบบพอเพียงอยู่อย่างสมถะยอมจนกว่ารายได้​ ย่อมสามารถประเมินตนเองได้

      ทั้งที่ตอนนั้นผมมีเงินเก็บส่วนตัวไม่กี่หมื่นบาทเอง​ ก็เพราะผมจะผ่อนบ้านที่อยู่และบ้านที่ให้เช่าบวกที่ดิน​หมดประมาณอายุ​ 55​ ปี​ หลังจากนั้นผมจะเก็บเงินต่อเดือนได้ถึง​ 2​ - 3​ หมื่นบาท ต่อเดือน​เก็บ​ 5​ ปี​ ก็ตกที่  1.5​ ล้าน​ +  5  แสน(เงินเกษียณ​ 10​ เท่าเงินเดือน)​  =  2​ ล้านบาท

     แต่โชคร้ายผมสะโตร๊กตอนอายุ​ 52​ ปี​ เข้าไอชียู​ แต่ยังประกองรักษางานไว้ได้​ จึงไม่มีผลต่อรายได้​ ​แต่โชคร้ายซ้ำเมื่อแม่ผมสะโตรกเส้นเลือดฝ่อยในสมองแตกแม่ต้องติดเตียงแน่​
       และในปี​ 2​ ปีแรกผมประเมิน(เพราะรู้ถึงความเป็นเช่นนั้นโดยทั่วไป)​แล้วว่า​ พี่คนใดคนหนึ่ง​ จะเต็มใจรับแม่ไปดูแลและผมเป็นจ่ายเงินเป็นหลัก​แต่ไม่มากนัก​ แล้วหลังจากนั้นพี่ทุกคนจะไม่รับและจะไม่จ่ายเงินเพราะต่างก็รายได้น้อย​แก่แล้ว แล้วก็เป็นไปตามที่ผมกลัวไว้จริงๆ​ 

     ผมที่เป็นลูกคนสุดท้องต้องเอาแม่มาอยู่ดูแลเอกชนในกรุงเทพฯ​ และผมขอร้องให้พี่​สาวสองคนมาเยียมแม่​ ทุกอาทิตย์​ 1​ วัน​ และผมจะไปเยียม​ 1​ วัน​ โดยไม่ตรงกันแม่ก็จะไม่รู้สึกขาดลูกหลานมาเยี่ยม​  ระยะแรกจ่ายเดือนละ​ 2.5 - ​3​ หมื่นบาท​ ผมประเมินแล้วว่าผมต้องจ่ายให้แม่รวมๆ​ แล้วประมาณ​ 1​ ล้าน​  พี่สาวบางคนบอกว่าผมมต้องจนแน่ๆ​   แต่แกก็จ่ายให้เดือนละพันบาท​ ภายหลังก็ไม่จ่าย​ พี่สาวอีกคนช่วย​ 3​ พันต่อเดือน​ ภายหลังจ่าย​ 2​ พัน​ ส่วนพี่คนอื่น​ผมไม่รบกวน​ เพื่อรักษาความเป็นพี่เป็นน้องไว้​ หลังจากพี่ๆ​ ต่างแตกร้าวกัน​ อย่างมากเรื่องแม่มาแล้ว​  ผมก็ได้พี่สาวทั้งสองคนนี้และคอยช่วย  และหาที่ดูแลแม่ที่ประหยัดลงอย่างเหมาะสมและดีตามลำดับรายได้ของผม​   
       เฉลี่ยผมต้องผมต้องจ่าย​ 1.8​ หมื่นต่อเดือน​เป็นเวลา 6​ ปีจนแม่เสีย​ คือจ่ายประมาณ​ 1.2  ล้านบาทจากเงินเดือนที่พึงเก็บได้​ 
       ผมและภรรยาประเมินแล้ว​ ด้วย​รายได้จากค่าเช่า​บ้าน​ และจากบำนาญประกันสังคมเดือนละ​ 8-9  พันบาทต่อเดือนกับเงินเก็บส่วนตัวผม​ 6-7  แสนเพียง​ 10​ ปีผมก็ลำบากแล้วหลังจากนั้นเพราะเงินเก็บต้องโดนผมดึงมาใช้แต่ละเดือนจนหมด​ก่อน71 ปี​ ส่วนภรรยาไม่มีปัญหาเพราะเขาจะมีบำนาญข้าราชการ​ และเงินก้อนเกษียณระดับหลายแสนอยู่

       ดังนั้นผมต้องมี​ passive​ incom.​ เพิ่มอย่างน้อย​ 3​ พันขึ้นไป​ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ​ 1.2​ หมื่นต่อเดือนจึงไปได้ยาวมากกว่า​ 10​ ปีขึ้นไป

       จึงได้หาดาวซื้อคอนโด​ราคาไม่เกิน 1​ ล้าน​ บิวอินทุกอย่างพร้อมให้เช่า​ ก่อนผมเกษียณ​ 3​ ปี​ โดยเอาเงินค่าเช่ามันเอง+ค่าเช่าบ้านอีกหลัง​ มาผ่อนตัวมันเอง​ และเงินเดือนผมโปะไปเรื่อยเมื่อครบ​ 3​ ปี​ เอาเงินก้อนที่ผมรัดเข็มขัดหน่อยหนึ่ง​ บวกกับผมขอเกษียณเมื่ออายุครบ​ 60​ ปีพอดีต้นปี​ ได้มาอีก​ 5​ แสน​ ผมจึงมีรายได้เพิ่มจากบำนาญประกันสังคมอีก  4​ พันบาทต่อเดือน​ และผมยังทำงานต่อไปด้วยเงินเดือนเท่าเดิมจนสิ้นปี​ เมื่อครบ​ 3​ ปีจึงโปะคอนโดจนหมดสิ้น
       และดาวรถมือสอง​ 3​ ปี​ ให้ลูกอีก​ 1​ แสนรวมกับแม่เขา​ 1​ แสนเป็น​ 2​ แสน​ ต้นปี​ 2563​ ผมมีเงินเก็บส่วนตัว​ รวมทั้งหุ้นและกองทุน​ตราสารหนี้ ประมาน​ 7​ แสน

    แต่ด้วยสถานการโควิตไม่ได้ไปใหน​ที่ต้องจ่ายปีละประมาณ​ 2-4 หมื่น​กับการไปโน้นไปนี้รวมทั้งต่างจังหวัด​ จึงเก็บรวมเข้าไป​ รวมทั้งได้ปันผลหุ้น​+กำไรกองทุนตราสารหนี้​และดอกเบี้ยพิเศษ​ ตั้งแต่ปี​ 62​ ประมาณ​ 3-4  หมื่นรวมที่เหลือจากค่ารักษาหาหมอที่จ่ายไปแสนกว่าและจากรายได้ทำงานแบบคนแก่และจาก​ค่าเช่า+บำนาญประกันสังคมหักค่าใช้จ่ายแล้วเก็บเข้าไปทีละเล็กละน้อย เมื่อมานับรวมกันตอนต้นเดือน​ มิ.ย​ เอ้า... มันครบ  1​ ล้านแล้วนี้.​  

     จึงยิ้มๆ​ (เชิงขำๆ)​กับตนเอง​ ที่ว่าคนอื่นเขามีเงินเก็บครบ​ 1.ล้านบาทตั้งแต่อายุ​ 30​ กว่าปี​ แต่ผมกลับมี​ 1.ล้านแรกตอนอายุย่าง​ 63​ ปี



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่