แก่แล้วเมื่ออยู่อย่างพอเพียงสมถะหน่อย ก็พอสามารถมีรายได้หลายทางเก็บเล็กผสมน้อยด้วยประสบการณ์ที่พอมี ก็ทำให้เงินเก็บส่วนตัวไม่ถึงล้านเพิ่มถึงล้านได้แบบไม่เครียดเพราะไม่ไปสนใจเท่าใดแล้วด้วยเกษียณแล้ว
ความจริงแล้ว ผมได้วางแผนไว้เกษียณ 60 ปีพอดีด้วยเงินเดือนแบบกลางๆ ล้วนๆ ไม่ได้ทำงานเสริมอื่นๆ เพื่อประกองให้ชีวิตครอบครัวพอสมดุลย์ 5 อย่าง
1.นำพาครอบครัวให้เจริญขึ้นตามลำดับ
2.ต้องประกองอาชีพตนเองและก้าวหน้าขึ้น
3.ต้องให้เวลากับการศึกษาและปฏิบัติธรรม อย่างต่อเนื่องไม่ทอดธุระของตนเอง
4.ต้องให้เวลากับลูก 2 คน เพื่อพัฒนาเขาให้เจริญขึ้นไปตามลำดับ
5.ต้องประกองภรรยาเพื่อการงานของเขาตามฐานะไปตามลำดับ
ผมเริ่มพอตั้งตัวได้ก็อายุ 36 ปีไปแล้ว จากเงินเดือน 7,500 - 51,700 บาท และได้ประเมินไว้เมื่ออายุ 50 กว่าปี ผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวไม่รวมทรัพย์สินอื่นและไม่มีหนี้แล้ว ถึง 2 ล้านบาท(รวมกับเงินเกษียณ 10 เท่า ตามกฏหมายเก่า) ด้วยการที่ดำเนินชีวิตแบบพอเพียงอยู่อย่างสมถะยอมจนกว่ารายได้ ย่อมสามารถประเมินตนเองได้
ทั้งที่ตอนนั้นผมมีเงินเก็บส่วนตัวไม่กี่หมื่นบาทเอง ก็เพราะผมจะผ่อนบ้านที่อยู่และบ้านที่ให้เช่าบวกที่ดินหมดประมาณอายุ 55 ปี หลังจากนั้นผมจะเก็บเงินต่อเดือนได้ถึง 2 - 3 หมื่นบาท ต่อเดือนเก็บ 5 ปี ก็ตกที่ 1.5 ล้าน + 5 แสน(เงินเกษียณ 10 เท่าเงินเดือน) = 2 ล้านบาท
แต่โชคร้ายผมสะโตร๊กตอนอายุ 52 ปี เข้าไอชียู แต่ยังประกองรักษางานไว้ได้ จึงไม่มีผลต่อรายได้ แต่โชคร้ายซ้ำเมื่อแม่ผมสะโตรกเส้นเลือดฝ่อยในสมองแตกแม่ต้องติดเตียงแน่
และในปี 2 ปีแรกผมประเมิน(เพราะรู้ถึงความเป็นเช่นนั้นโดยทั่วไป)แล้วว่า พี่คนใดคนหนึ่ง จะเต็มใจรับแม่ไปดูแลและผมเป็นจ่ายเงินเป็นหลักแต่ไม่มากนัก แล้วหลังจากนั้นพี่ทุกคนจะไม่รับและจะไม่จ่ายเงินเพราะต่างก็รายได้น้อยแก่แล้ว แล้วก็เป็นไปตามที่ผมกลัวไว้จริงๆ
ผมที่เป็นลูกคนสุดท้องต้องเอาแม่มาอยู่ดูแลเอกชนในกรุงเทพฯ และผมขอร้องให้พี่สาวสองคนมาเยียมแม่ ทุกอาทิตย์ 1 วัน และผมจะไปเยียม 1 วัน โดยไม่ตรงกันแม่ก็จะไม่รู้สึกขาดลูกหลานมาเยี่ยม ระยะแรกจ่ายเดือนละ 2.5 - 3 หมื่นบาท ผมประเมินแล้วว่าผมต้องจ่ายให้แม่รวมๆ แล้วประมาณ 1 ล้าน พี่สาวบางคนบอกว่าผมมต้องจนแน่ๆ แต่แกก็จ่ายให้เดือนละพันบาท ภายหลังก็ไม่จ่าย พี่สาวอีกคนช่วย 3 พันต่อเดือน ภายหลังจ่าย 2 พัน ส่วนพี่คนอื่นผมไม่รบกวน เพื่อรักษาความเป็นพี่เป็นน้องไว้ หลังจากพี่ๆ ต่างแตกร้าวกัน อย่างมากเรื่องแม่มาแล้ว ผมก็ได้พี่สาวทั้งสองคนนี้และคอยช่วย และหาที่ดูแลแม่ที่ประหยัดลงอย่างเหมาะสมและดีตามลำดับรายได้ของผม
เฉลี่ยผมต้องผมต้องจ่าย 1.8 หมื่นต่อเดือนเป็นเวลา 6 ปีจนแม่เสีย คือจ่ายประมาณ 1.2 ล้านบาทจากเงินเดือนที่พึงเก็บได้
ผมและภรรยาประเมินแล้ว ด้วยรายได้จากค่าเช่าบ้าน และจากบำนาญประกันสังคมเดือนละ 8-9 พันบาทต่อเดือนกับเงินเก็บส่วนตัวผม 6-7 แสนเพียง 10 ปีผมก็ลำบากแล้วหลังจากนั้นเพราะเงินเก็บต้องโดนผมดึงมาใช้แต่ละเดือนจนหมดก่อน71 ปี ส่วนภรรยาไม่มีปัญหาเพราะเขาจะมีบำนาญข้าราชการ และเงินก้อนเกษียณระดับหลายแสนอยู่
ดังนั้นผมต้องมี passive incom. เพิ่มอย่างน้อย 3 พันขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.2 หมื่นต่อเดือนจึงไปได้ยาวมากกว่า 10 ปีขึ้นไป
จึงได้หาดาวซื้อคอนโดราคาไม่เกิน 1 ล้าน บิวอินทุกอย่างพร้อมให้เช่า ก่อนผมเกษียณ 3 ปี โดยเอาเงินค่าเช่ามันเอง+ค่าเช่าบ้านอีกหลัง มาผ่อนตัวมันเอง และเงินเดือนผมโปะไปเรื่อยเมื่อครบ 3 ปี เอาเงินก้อนที่ผมรัดเข็มขัดหน่อยหนึ่ง บวกกับผมขอเกษียณเมื่ออายุครบ 60 ปีพอดีต้นปี ได้มาอีก 5 แสน ผมจึงมีรายได้เพิ่มจากบำนาญประกันสังคมอีก 4 พันบาทต่อเดือน และผมยังทำงานต่อไปด้วยเงินเดือนเท่าเดิมจนสิ้นปี เมื่อครบ 3 ปีจึงโปะคอนโดจนหมดสิ้น
และดาวรถมือสอง 3 ปี ให้ลูกอีก 1 แสนรวมกับแม่เขา 1 แสนเป็น 2 แสน ต้นปี 2563 ผมมีเงินเก็บส่วนตัว รวมทั้งหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ ประมาน 7 แสน
แต่ด้วยสถานการโควิตไม่ได้ไปใหนที่ต้องจ่ายปีละประมาณ 2-4 หมื่นกับการไปโน้นไปนี้รวมทั้งต่างจังหวัด จึงเก็บรวมเข้าไป รวมทั้งได้ปันผลหุ้น+กำไรกองทุนตราสารหนี้และดอกเบี้ยพิเศษ ตั้งแต่ปี 62 ประมาณ 3-4 หมื่นรวมที่เหลือจากค่ารักษาหาหมอที่จ่ายไปแสนกว่าและจากรายได้ทำงานแบบคนแก่และจากค่าเช่า+บำนาญประกันสังคมหักค่าใช้จ่ายแล้วเก็บเข้าไปทีละเล็กละน้อย เมื่อมานับรวมกันตอนต้นเดือน มิ.ย เอ้า... มันครบ 1 ล้านแล้วนี้.
จึงยิ้มๆ (เชิงขำๆ)กับตนเอง ที่ว่าคนอื่นเขามีเงินเก็บครบ 1.ล้านบาทตั้งแต่อายุ 30 กว่าปี แต่ผมกลับมี 1.ล้านแรกตอนอายุย่าง 63 ปี
ยิ้มๆ เชิงขำๆ กับตัวเองที่มีเงินเก็บส่วนตัว 1 ล้านแรกเมื่ออายุย่าง 63 ปีเพราะหา passive incom จากบ้านเช่า