เจ้าคุณเบอร์ลิน @ dsi สอบสมเด็จวัดปากน้ำตามลำพัง ชาวพุทธอย่ากังวล แค่สอบพยาน / dsi ขอให้ทำอย่างสุจริตใจ

กระทู้ข่าว


วันนี้  DSI   สอบสมเด็จช่วงลำพัง : เตือน ๑ ชาวพุทธอย่างกังวล  เตือน ๒ DSI  ทำโดยสุจริตใจเป็นที่ตั้ง.

-----------------------------------------

-    ในช่วงคำ่  วันนี้  ให้รอสังเกตเหตุการณ์หลัง  DSI  

-     นัดเข้าสอบปากคำ  หลวงพ่อสมเด็จช่วง  วัดปากน้ำ  กรณีมีชื่อในการครอบครองรถโบราณ ราว ๒  ทุ่ม  เสียก่อน.  แล้วผมจะโพสต์เล่าให้ฟังนะครับ.
-----------------------------

-    ตามหัวข้อที่จั่วไว้นั้น    เป็นที่ทราบกันตามสื่อแล้วว่า.  

-    วันนี้ที่  ๑๖  มีนาคม  ราว  ๒๐.๐๐  น.  ทางวัดปากน้ำ  และดีเอสไอ.  

-    ได้นัดแนะเพื่อสอบปากคำ    หลวงพ่อสมเด็จ  ฯ  ที่  กุฏิท่านวัดปากน้ำ.  ซึ่งก็ถือว่า  เป็นขั้นตอนตามปกติทางกฏหมาย.

-----------------------------------------

-   โพสต์ครั้งนี้  ผมมีเจตนาเพื่อจะแจ้งให้ชาวพุทธทุกท่าน  ทั้งในประเทศไทย  และทั่วโลก.  

-    ได้ทราบเป็นเบื้องต้นเสียก่อน  ว่า  "อย่ากังวล  กรณีนี้".
---------------------------

-    ก่อนที่จะ  เตือน  ๒  คือ  เตือน  ชาวพุทธ  ว่า  อย่ากังวล  แล้วจึงค่อยเตือนไปที่  ดีเอสไอ.  ด้วยว่า  ขอให้ทำด้วยความสุจริตใจจริง  ๆ.
-------------------------------

-   ที่ผมเลือกเตือนชาวพุทธก่อนนั้น.  

-  ก็เพราะผมห่วงชาวพุทธ   มากกว่าห่วงดีเอสไอ.  แต่ก็ห่วงเหมือนกัน.

-    จึงขึ้นหัวข้อว่า  เตือน  ๑  เพราะผมเกรงว่า  ชาวพุทธ  ที่มีความเป็นห่วงในกิจการพระศาสนา  และมีความเคารพศรัทธาในองค์หลวงพ่อสเด็จ  ช่วง  วัดปากน้ำด้วยนั้น.  

-   จะเกิดกังวลเกินเหตุ  เพราะอาจไม่ทราบขั้นตอนทางกฏหมาย.

-------------------

เตือน  ๑  ชาวพุทธอย่ากังวล

-   ในครั้งแรกที่ผมได้ฟัง  การให้สัมภาษณ์ของฝ่าย  ดีเอสไอ.  ว่า  

-   วันนี้  จะไปสอบปากคำหลวงพ่อสมเด็จ  ช่วง  กรณีรถโบราณ  ที่มีชื่อท่านปรากฏว่าเป็นผู้ครอบครอง.

-  แต่จะเป็นการสอบถาม  "เพียงลำพัง".  

-   ห้ามผู้อื่น  ที่ไม่ข้องเกี่ยว  เข้าร่วมฟัง  ทั้งสิ้น  "ไม่เว้นแม้กระทั้งทนาย"  คือ  ห้ามหมด.
  
-  โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากอัยการ  ๒  ท่าน  และจาก  ดีเอสไอ.  ๕  ท่าน.
---------------------------

-  แรก  ๆ  เลย  ได้ฟังแค่นี้  ผมก็คงจะเหมือนกับคนทั่วไปนะแหละว่า....

  "อ้าว  แล้วหลวงพ่ออายุท่านขนาดนี้  ทำไมสอบตามลำพังล่ะ

เพราะอย่าว่า  แต่มาสอบถามแบบนี้เลย  

แค่ในทุกวันทุกนาที  

ก็ยังต้องมี  พระอุปัฎฐากพยาบาลชายดูแลท่านตลอดเวลาเลย  

ด้วยวัยชราของท่าน
  
มาสอบเรื่องสำคัญเช่นนี้  ทำไม  กำหนดแบบนี้ละ  

โดยเฉพาะข้อกฏหมาย  ก็จะต้องมีทนายคอยช่วย  คอยเป็นพยานให้ท่านด้วยซิ"
-------------------------------

-  นี่  คือข้อกังวล  และข้อสงสัยผมตอนนั้น.

-------------------------

-  ความสงสัยของผม  จึงนำไปถาม  โยมคุ้นเคยกัน  

-    ที่เป็นอดีตรองประธานศาลอุทรณ์  ซึ่งเกษียณไปแล้ว   ท่านให้คำตอบ  คำอธิบายมาดังนี้.....

  (ค่อย  ๆ  อ่านนะครับ)..............

"   อยู่ที่ว่า  สอบสมเด็จ  ในฐานะใดครับ
ถ้าในฐานะพยาน  ก็สอบเฉพาะพยานได้

แต่ถ้าในฐานะผู้ต้องหา  
สามารถให้ทนาย  อยู่ร่วมสอบได้ครับ

ถ้าไม่ตรงกับที่ให้การจริง
สมเด็จไม่ลงพระนามได้ครับ

ก่อนลงพระนาม
ต้องอ่านให้ฟังก่อนว่า

ตรงกับที่ให้การหรือไม่ครับ  "
---------------------------

-  ทั้งหมดนี้  คือ  คำอธิบาย  กรณีสอบสมเด็จช่วง  ตามลำพัง  ของดีเอสไอ.  

-    ที่ผมได้รับจาก  อดีตประธานศาลอุทรณ์  ในวันนี้ครับ.

-  เข้าใจตรงกันนะครับ.

------------------------------------------

-  ดังนั้น  การที่  ดีเอสไอ.  นัดไปสอบ  

หลวงพ่อสมเด็จช่วง  ในค่ำวันนี้นั้น.

-  จึงเป็นการไปสอบ  "ในฐานะพยาน"  นะครับ.

-  ไมใช่  "ในฐานะผู้ต้องหา".

-  ดังนั้น  จึงสามารถ  ที่จะกำหนดสอบ  เพียงลำพังได้.  

-  ขอให้เข้าใจตามนี้นะครับ.
---------------------------------------

-  เรื่องง่าย  ๆ  แบบนี้  ก็สมควรแล้วที่  ดีเอสไอ.  จะถูกด่าเปิงไปทั่วประเทศไปแล้ว  ในเรื่องนี้  เพราะไม่ได้แจ้งให้สังคมทราบแบบจริง  ๆ  จัง  ๆ.

-  แต่อาจเพราะ  ดันมาทำเรื่องพระเอง  และทำแบบดูเหมือนขยันเกินเหตุด้วยก็ได้.

-   ถึงจะอธิบายยังไง  ผู้คนในสังคมเขาไม่อยากฟังแล้ว  เพราะอาจเขาหมดศรัทธากับหน่วยงานนี้ไปนานแล้วก็ได้.

- พูดให้แทนแบบนี้  ก็น่าจะต้องมาขอบคุณ  เจ้าคุณเบอร์ลิน  นะ  ที่ได้ช่วยชี้แจงแทนให้ในครั้งนี้.

----------------------------------------------

เตือน  ๒  DSI  ให้ทำโดยสุจริตใจเป็นที่ตั้ง

-  ที่จริง  สำหรับหน่วยงานนี้  กับผม  เจ้าคุณเบอร์ลินนั้น.  

-   ตั้งแต่คราวที่ได้ตอบโต้กันดุเด็ดเผ็ดมันไป  ในคราวพระลิขิต  กรณีรื้ออธิกรณ์  ธัมมชโย  ที่ขนาด  ตั้งโต๊ะแถลงกันเลยนั้น.

-  โดยครั้งนั้น  ผมได้พยายามชี้ว่า  "เรื่องพระสงฆ์"  นั้น  หน่วยงานรัฐทั้งหมด   ไม่มีอำนาจหน้าที่  ในทางกฏหมาย  ในการรับร้องเรียนดำเนินการใดๆ.

-   เพราะในที่สุดก็ต้องส่งเรื่องให้  มส.  อยู่ดี.
---------------------

-  แต่ครั้งนั้น  ดีเอสไอ  ไม่เชื่อ  และก็โต้ว่า  "มีอำนาจ"  "ไม่ได้ก้าวก่าย  ศาสนจักร"  ดังที่ผมกล่าวหา.
-----------------

-   ซึ่งสุดท้าย  เมื่อส่งเรื่องไป  ยัง  มส.  

-  มส.  ก็มีมติ  ว่า  ไม่สามารถ  รื้ออธิกรณ์ที่จบไปแล้ว  มาทำขึ้นใหม่ได้.
------------------

-  จากวันนั้น  ผมก็ไม่ได้พูดถึง  หน่วยงานนี้อีกเลย  ไม่ว่า  เขาแถลง  หรือ  มีข่าวอะไรเกี่ยวกับพระสงฆ์.

-  เพราะถือว่าได้แจงไปพอสมควรแล้ว.

-  อีกอย่าง ตอนหลังผมผมก็ได้มาพิจารณาเห็นว่า.

-  หน่วยงานนี้  เหมือน  ไม่เป็นตัวของตัวเองชะแล้ว.  

-  เหมือนดำเนินงานแบบ  รุก  ๆ  รับ  ๆ  กล้า  ๆ  กลัว  ๆ  อะไรสักอย่าง.
-----------------------

-  ผมก็เลยไปอยากไปยุ่งกับเขาแล้ว.

-  นี่ก็ได้ข่าวว่า  วันนี้  คุณไพบูลย์  ก็จะเอาเรื่องพระสงฆ์ไปร้องให้ทำอีกเรื่อง.

-  หากลืมไปแล้วว่า  ครั้งก่อน  มส.  มีมติเรื่องพระสงฆ์ไว้อย่างไร.  

-  ก็รับเรื่องจากคุณไพบูลย์มาทำต่ออีกนะครับ  รับมาบ่อย  ๆ รับมาก  ๆ  รับทุกวันยิ่งดี.

-   ผลสรูป ก็คงไม่ต้องบอกกันแล้ว.
--------------------------------------------------------

-  วันนี้  ผมจึงอยากจะบอกไป  ทาง  ดีเอสไอ.  ในฐานะพุทธศาสนิกชนชาวไทยด้วยกัน  ด้วยกุศลเจตนาว่า....

-  การที่ท่านให้สัมภาษณ์ว่า  .....

-   ก่อนสอบปากคำหลวงพ่อสมเด็จ  ช่วง  ในค่ำวันนี้นั้น  

จะทำดอกไม้ธูปเทียนแพ  ไปถวาย   เพื่อขอขมาท่านก่อน.

-----------------

-  ตรงนี้  เป็นการดีครับ  และสมควรแล้ว  เพราะเมื่อวานผมก็เคยบอกทหารชั้นผู้น้อยไปแล้วว่า..

-  หากนายสั่งให้ไปเฝ้าพระตามวัดต่าง  ๆ  นั้น  ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่านก่อน.

-  เพราะผลกรรมต่าง  ๆ  จะได้ไม่มาตกมาที่เรา  มันจะได้ไปตกที่เจ้านายเรา  ที่เป็นคนทำ  เป็นคนสั่งโดยตรง.

-  ดังนั้น  การที่  ดีเอสไอ.  มีความคิดอย่างนี้  ย่อมถือว่า " ฉลาด"  และสมควรแล้ว.
------------------------

ต้องทำด้วยใจบริสุทธิ์  ผลจึงจะมี.

-  การนำธูปแพเทียนแพ  ไปกราบถวาย  ต่อ  หลวงพ่อสมเด็จ  ช่วงก่อนสอบปากคำท่านนั้น.

-  อยากขอเตือนพวกท่าน  ที่เกี่ยวข้องทุกคนว่า..-------------

"อัน  องค์หลวงพ่อสมเด็จ  ช่วง  วัดปากน้ำนั้น  

คุณธรรมภายใน ที่ท่านสะสมมา  แต่อดีตหลายภพหลายชาตินั้น  

"  ย่อมเหนือกว่าพวกเรา ๆ  ทั้งหมดนี้

หลายร้อย  หลายพัน  หลายหมื่น  หลานแสน  หลายล้านเท่านัก

ขออย่าได้พากัน  ประมาทโดยเด็ดขาด  

ขอให้จิตของพวกท่านที่  กำลังก้าวเข้าไปหาท่าน  เดินเข้าวัดปากน้ำนั้น.......

พวกท่าน  "จะต้อง"  เน้นว่า  "จะต้อง"  

"  ตั้งจิตให้ดี  ๆ  จงกระทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จริง  ๆ "

อย่าสักแต่ว่า ทำตามหน้าที่เท่านั้น  

อย่าประมาท  อย่าเหิม  ฯ

ไม่เช่นนั้น  อาการที่ทำนี้  จะไม่มีผลใด  ๆ  ทั้งสิ้น"------.

-  นี่คือคำเตือนเบื้องต้น.

--------------------------------------------

-  และขอแนะนำว่า  ให้เจ้าหน้าที่  ทุกคน  ไปก่อนเวลาให้มาก  ๆ

แล้วพากันเข้าไปพระอุโบสถก่อน  

ไปไหว้พระประธาน  ไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ภายในวัดปากน้ำเสียก่อนในเบื้องต้น.

-  เรื่องนี้   ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ.

--------------------------------

-  ขอเตือนด้วยความเป็นห่วงจริง  ๆ  ในตรงนี้ว่า....

"สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั้น

มันน่ากลัวกว่าที่มองเห็นมากนัก"
-------------------------------

-  เทวดา  ที่เขาปกปักรักษาวัดอยู่นั้น  

-   ถ้าไม่มีศักดิ์ใหญ่  คงไม่ทำให้วัดปากน้ำ  เจริญยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้หรอก.

-   เทวดา  เขาคงไม่ปล่อยให้คนชั่ว  เข้าไปคิดชั่ว  เข้าไปทำอะไรในวัดปากน้ำได้ง่าย  ๆ  เป็นแน่.

-  ย้ำว่า....ผมเตือนท่านแล้วนะ.

  
------------------------------------

สรูปสุดท้ายตรงนี้ว่า

-  ถ้าสมมติ ตัวผมเอง  ได้รับราชการ  จนเป็น  อธิบดี  ดีเอสไอ  หรือเป็นเจ้าหน้าที่.  

-   ที่จะต้องเดินทางไปทำหน้าที่  "ที่สมมติ"  ในวัดปากน้ำวันนี้.

-  หากมี  "งาน  สมมติ  แบบโลก  ๆ  "  ย้ำตรงนี้ด้วย.
--------------------------------

-    ถึงเวลาหนึ่ง  ในชาติเกิดครั้งนี้  

-   ที่ถึงขนาด  จะเข้าไปสอบปากคำหลวงพ่อสมเด็จ  ช่วง  ขนาดนี้ละก็.

-  ผมจะขอลาออกจากราชการ  "โลกสมมติ"  โดยทันที.

-  และจะรีบไปกราบ  เท้าหลวงพ่อท่าน  เพื่อขอขมาท่าน  และจะขอบวชเป็นพระ  เพื่อทดแทนถ่ายโทษกับท่านทันที.  

-   โดยไม่รีรอใด  ๆ  ทั้งสิ้น.
----------------

-    แต่ความเป็นจริง  ก็คือ    

"ท่าน"  ไม่ใช่  ผม  และผม  เจ้าคุณเบอร์ลิน  ก็ไม่ใช่  "ท่าน".  
---------------------

-  ดังนั้น   ความคิดจึงต่างกันสิ้นเชิง.  

-   ก็เลือกทางเดินของใครของมันกันเองแล้วกัน.  

-   เมื่อถึงขั้นนี้ ก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากแล้ว.

-    เมื่อพวกท่าน เดินทางกลับจากทำกิจ  "สมมติ"  ที่วัดปากน้ำ  เสร็จในวันนี้ไปแล้ว  ให้คอยดูว่า..................

  "ชีวิตของพวกท่านจะเปลี่ยนแปลงไป  และเร็วด้วย".

-  จะพิสูจน์คำสอนของกฏแห่งกรรมในทางพุทธศาสนาก็ครั้งนี้แหละครับ.

-  ทำดี  ได้ผลดี  ใยต้องกลัวใด  ๆ  นอกจากตรงข้ามเท่านั้น.

---------------

-  แต่ไม่ทราบเป็นอย่างไรในวันนี้  

รางสังหรณ์ใจผมหวั่น  ๆ  ใจยังไง  บอกไม่ถูก.  

-  แล้วเมื่อผมหลับตาเมื่อไร....  

-   ผม  เจ้าคุณเบอร์ลิน  สวดมนต์เช้าเสร็จแล้ว.  

-   เมื่อหันหน้า  ไปมองยังทิศทางวัดปากน้ำที่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย  มองไปเมื่อไร.....  

"ก็เห็นมีแต่ไฟนรก  ลุกโชนแดงจ้า  อยู่ตรงหน้าซุ้มประตู

ทางเข้าวัดปากน้ำ"  

ตลอดเวลาเลยครับ.

ขอจบด้วยว่า....

-  อย่าได้ริบังอาจเหิมเกริมกับกฏแห่งกรรม อย่าได้ล้อเล่นเป็นอันขาด.

- เพราะหากทำด้วยไม่สุจริตใจ แล้ว กรรมมันหนักมาก.

- ไม่ใช่ว่าจะยิ้มถึงตัวเราเท่านั้น.

- มันจะยิ้มไปถึงลูกถึงเมีย พ่อแม่คนรอบข้างด้วย.

- กรรมมันมีอานุภาพของมัน ไม่สงสารตัวเอง ก็ให้สงสารลูกเมียพ่อแม่ตัวเองด้วย.

โชคดีมีชัยทุกท่าน.

เจ้าคุณเบอร์ลิน

16.03.2016
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่