สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
คุณเล่าปัญหากว้างมาก คำว่าปรับตัวไม่ได้ เล่นกับความรู้สึก
ทะเลาะกัน ความหวังดี เปลี่ยนแปลงตัวเอง มันนามธรรมมากจนไม่รู้ว่า
ที่ผ่านมาคุณเจออะไรมาบ้าง แล้วความเป็นคนสมาธิสั้นของคุณก่อให้เกิดปัญหาอะไรจริง ๆ รึเปล่า
เพราะคนบางคนไม่มีเพื่อนอาจเพียงเพราะเป็นคนโชคร้าย
หรือบางคนอาจจะเป็นเพราะนิสัยไม่ดีส่วนตัวบางอย่างก็ได้
ที่คุณเล่ามาบอกอะไรเราไม่ได้สักอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ
ทำงานหรือยัง หรือว่ายังเรียนอยู่ สังคมเพื่อนที่เจอเป็นแบบไหน
นิสัยคุณจริง ๆ เป็นยังไง อ่านมานี่ไม่รู้เลย
เลยไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
ถ้าคุณมีปัญหาจริง ๆ และอยากหาทางแก้ไขมัน
ลองไปพบจิตแพทย์แล้วเปิดใจเล่าเรื่องที่เป็นบาดแผลในใจของคุณให้เค้าฟังดีมั้ย
หดหู่กับชีวิตมาก ๆ ระวังจะเป็นโรคซึมเศร้า
อีกอย่างนะ.. ถ้าคุณโตพอ คุณจะรู้ว่าเพื่อนเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
มีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจคุณในแบบที่คุณเป็น และไม่ได้เป็นเพื่อนกันเพื่อผลประโยชน์มันมีอยู่จริง
แต่คุณหาเจอหรือยัง หรือหาเจอแล้วรักษาเค้าไว้ได้รึเปล่า
ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเราไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณเป็นคนลักษณะไหน
บอกไม่ได้จากสิ่งที่คุณเขียนค่ะ
ทะเลาะกัน ความหวังดี เปลี่ยนแปลงตัวเอง มันนามธรรมมากจนไม่รู้ว่า
ที่ผ่านมาคุณเจออะไรมาบ้าง แล้วความเป็นคนสมาธิสั้นของคุณก่อให้เกิดปัญหาอะไรจริง ๆ รึเปล่า
เพราะคนบางคนไม่มีเพื่อนอาจเพียงเพราะเป็นคนโชคร้าย
หรือบางคนอาจจะเป็นเพราะนิสัยไม่ดีส่วนตัวบางอย่างก็ได้
ที่คุณเล่ามาบอกอะไรเราไม่ได้สักอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ
ทำงานหรือยัง หรือว่ายังเรียนอยู่ สังคมเพื่อนที่เจอเป็นแบบไหน
นิสัยคุณจริง ๆ เป็นยังไง อ่านมานี่ไม่รู้เลย
เลยไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
ถ้าคุณมีปัญหาจริง ๆ และอยากหาทางแก้ไขมัน
ลองไปพบจิตแพทย์แล้วเปิดใจเล่าเรื่องที่เป็นบาดแผลในใจของคุณให้เค้าฟังดีมั้ย
หดหู่กับชีวิตมาก ๆ ระวังจะเป็นโรคซึมเศร้า
อีกอย่างนะ.. ถ้าคุณโตพอ คุณจะรู้ว่าเพื่อนเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
มีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจคุณในแบบที่คุณเป็น และไม่ได้เป็นเพื่อนกันเพื่อผลประโยชน์มันมีอยู่จริง
แต่คุณหาเจอหรือยัง หรือหาเจอแล้วรักษาเค้าไว้ได้รึเปล่า
ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเราไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณเป็นคนลักษณะไหน
บอกไม่ได้จากสิ่งที่คุณเขียนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 3
เมื่อก่อน เราก็เหมือนคุณ เรานิสัยเหมือนคุณ คือ เป็นคนพูดไม่เป็น นิสัยแปลกประหลาดกว่าคนอื่น เป็นคนไม่แข็งแรงขี้โรค เราอยากมีเพื่อน พยายามจะวิ่งตามเขา แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ อยู่ด้วยตัวเองให้มีความสุข เพราะไม่มีใครในโลกนี้ทีจะเป็นเพื่อนคุณจริงๆได้ พวกเขาล้วนต้องการประโยชน์จากคุณ เมื่อใดที่คุณหมดประโยชน์สำหรับเขา เขาก็จะเขี่ยคุณทิ้ง
ทุกวันนี้เราอยู่ด้วยความเข้มแข็ง เราดูแลพ่อที่เดินไม่ได้ ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ และอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข เพราะเราเต็มในตัว ไม่ต้องการการเติมเต็มจากใคร เพราะธรรมะทำให้เราเต็มแล้ว สุขแล้ว สังคมไม่เคยให้อะไรกับคุณจริงๆหรอก นอกจากความวุ่นวายสับสน ความเห็นแก่ตัว
เราอยากแนะนำให้คุณลองทำกรรมฐาน สิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอด โดยไม่ต้องพึ่งใครหรืออะไรเลย ลองโหลดไปฟังแล้วปฎิบัติตามดู
http://www.dhamma.com/thdownloads/
มีเพลงนึงที่เราชอบมาก ชื่อเพลงรางวัลของครู มีท่อนหนึ่งร้องว่า ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี เรือจ้างลำแกร่งจะพายสุดแรงที่มี พ่อพิมพ์แม่พิมพ์คนนี้ จะพิมพ์คนดีสุดแรงหัวใจ
เขาบอกว่า ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี คือ เราทำในสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อให้ใครมาชื่นชม แต่เมื่อผู้อื่นได้รับผลนั้นแล้ว เราจะรู้สึกชื่นชมยินดี ชีวิตที่อยู่ด้วยการให้ ย่อมมีค่ามากกว่าชีวิตที่ต้องการรับ
คุณรู้จักฟลอเรนซ์ ไนติงเกลหรือเปล่า เธอเป็นผู้วางรากฐานการพยาบาลของโลก เธอเกิดมาในตระกูลผู้ดีที่มั่งคั่งร่ำรวย ตอนนั้นวิชาชีพพยาบาลเป็นวิชาที่ไม่มีใครต้องการ มีแต่คนที่หางานทำไม่ได้เท่านั้นที่เป็นพยาบาล เป็นงานชันต่ำในสมัยนั้น เธอต้องอดทนต่อการตำหนิติเตียนของแม่และพี่ชาย อดทนต่อการถูกกลั่นแกล้งสารพัดสารเพจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับเธอ แต่ในที่สุด เธอก็ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนสามารถทำให้วิชาพยาบาลเป็นวิชาที่ได้รับการยกย่องเชิดชูจากสังคม เพชรต้องผ่านแรงกดดันฉันใด ชีวิตคนก็เช่นนั้น
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก ขึ้นลงเป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอ บางคนก็ก่นด่าพระอาทิตย์ ว่าส่องแสงร้อนมาก บางคนก็ว่าหนาวจะตาย แดดหลบอีก แต่พระอาทิตย์ไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางเดิน ยังคงเป็นผู้ให้อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตที่อยู่อย่างผู้ให้ เป็นชีวิตที่สูงค่าโดยไม่ต้องการให้ผู้ใดยกย่องชมเชย
ทุกวันนี้เราอยู่ด้วยความเข้มแข็ง เราดูแลพ่อที่เดินไม่ได้ ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ และอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข เพราะเราเต็มในตัว ไม่ต้องการการเติมเต็มจากใคร เพราะธรรมะทำให้เราเต็มแล้ว สุขแล้ว สังคมไม่เคยให้อะไรกับคุณจริงๆหรอก นอกจากความวุ่นวายสับสน ความเห็นแก่ตัว
เราอยากแนะนำให้คุณลองทำกรรมฐาน สิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอด โดยไม่ต้องพึ่งใครหรืออะไรเลย ลองโหลดไปฟังแล้วปฎิบัติตามดู
http://www.dhamma.com/thdownloads/
มีเพลงนึงที่เราชอบมาก ชื่อเพลงรางวัลของครู มีท่อนหนึ่งร้องว่า ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี เรือจ้างลำแกร่งจะพายสุดแรงที่มี พ่อพิมพ์แม่พิมพ์คนนี้ จะพิมพ์คนดีสุดแรงหัวใจ
เขาบอกว่า ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี คือ เราทำในสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อให้ใครมาชื่นชม แต่เมื่อผู้อื่นได้รับผลนั้นแล้ว เราจะรู้สึกชื่นชมยินดี ชีวิตที่อยู่ด้วยการให้ ย่อมมีค่ามากกว่าชีวิตที่ต้องการรับ
คุณรู้จักฟลอเรนซ์ ไนติงเกลหรือเปล่า เธอเป็นผู้วางรากฐานการพยาบาลของโลก เธอเกิดมาในตระกูลผู้ดีที่มั่งคั่งร่ำรวย ตอนนั้นวิชาชีพพยาบาลเป็นวิชาที่ไม่มีใครต้องการ มีแต่คนที่หางานทำไม่ได้เท่านั้นที่เป็นพยาบาล เป็นงานชันต่ำในสมัยนั้น เธอต้องอดทนต่อการตำหนิติเตียนของแม่และพี่ชาย อดทนต่อการถูกกลั่นแกล้งสารพัดสารเพจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับเธอ แต่ในที่สุด เธอก็ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนสามารถทำให้วิชาพยาบาลเป็นวิชาที่ได้รับการยกย่องเชิดชูจากสังคม เพชรต้องผ่านแรงกดดันฉันใด ชีวิตคนก็เช่นนั้น
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก ขึ้นลงเป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอ บางคนก็ก่นด่าพระอาทิตย์ ว่าส่องแสงร้อนมาก บางคนก็ว่าหนาวจะตาย แดดหลบอีก แต่พระอาทิตย์ไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางเดิน ยังคงเป็นผู้ให้อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตที่อยู่อย่างผู้ให้ เป็นชีวิตที่สูงค่าโดยไม่ต้องการให้ผู้ใดยกย่องชมเชย
แสดงความคิดเห็น
ฉันเป็นคนที่ไม่สามรถอยู่ใน"สังคม"ได้...ฉันมีสิทธิ์จะมีความสุขหรือเปล่า?
หากทว่ากลับมีคนบางประเภทที่แตกต่างออกไปจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งพื้นฐานความคิดและนิสัยใจคอที่แปลกประหลาดเกินกว่าที่คนทั่วๆไปเขาจะรับไหว ทำให้คนประเภทนี้ไม่สามารถอยู่รวมกับผู้อื่นในสังคมได้
และฉันคือคนประเภทนั้นค่ะ!!
ฉันเติบโตมาพร้อมกับโรคประจำตัวทางจิดในระดับที่เบาบาง...คือโรคสมาธิสั้น
แต่ผู้คนรอบกายก็เรียกกันง่ายๆว่า"เป็นบ้า"หรือ"ปัญญาอ่อน" แม้ว่าฉันจะไปโรงเรียนพร้อมกับลูกๆของพวกเขาทุกวัน นั่งเรียนด้วยกัน หรือแม่กระทั่งทำข้อสอบได้ดีกว่าลูกของพวกเขาหลายขุมพวกเขาก็ยังคงมองฉันเป็นแค่เพียง"เด็กปัญญาอ่อน"อยู่ดี
ฉันจบชั้นประถมศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ยที่เรียกได้ว่าสูง เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนประจำอำเถอ ด้วยหวังว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีเพื่อนใหม่ๆ
แต่ตรงกันข้าม ฉันแทบจะไม่สามารถเรียกใครว่า"เพื่อน"ได้อย่างเต็มปากเลย ซ้ำยังถูกกลุ่มนักเรียนชายเกือบทั้งห้องรุมกลั่นแกล้งราวกับว่าฉันเป็นตัวสังคมรังเกียจ เป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จดจำได้ในชีวิตผุพังไร้ค่าของฉัน...จนถึงทุดวันนี้การกระทำของพวกเขาก็ยังคงเป็นแผลเหวอะหวะที่คอยทำร้ายความรู้สึกของฉันไม่เปลี่ยนแปลง
ในที่สุดฉันก็จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้อย่างทุลักทุเล เกรดเฉลี่ยที่ออกมาต่างกับตอนประถมราวฟ้ากับเหว ฉันตัดสินใจย้ายโรงเรียนอีกครั้ง ไปเรียนอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงที่ต่างอำเภอ พ่อของฉันเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูแม่เลี้ยงและน้องสาวที่อายุห่างจากฉันเกือบสิบปีได้ และด้วยฐานะภายนอกที่ค่อนข้างจะดี ทำให้คนรอบๆมองฉันเป็น"ลูกเจ้าของโรงงาน"
ฉันเริ่มมีกลุ่มที่เรียกว่าเป็น"เพื่อน" ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนว่าชีวิตจะเริ่มมีความสุข ทว่ายิ่งนานวันไปฉันกลับเริ่มรูสึกว่าพวกเขาอาจมองฉันเป็นแค่"ลูกไล่"มากกว่า เพราะฉันค่อนข้างจะหัวดีพวกเขาจึงได้ลอกการบ้านในวิชาที่ฉันถนัด แต่ในทางกลับกันสิชาที่ฉันไม่ถนัดพวกเขาก็จะไปลอกกับคนอื่นแทน ทิ้งฉันเอาไว้ให้เผชิญปัญหาอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่เคยเต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือเลย
แต่เพราะฉันอยากมี"เพื่อน"เหมือนคนอื่นบ้าง ฉันจึงยอมที่จะเป็น"เบี้ยล่าง"หรือแม้กระทั่งอดทนให้พวกเขาเล่นกับ"ความรู้สึก"ของฉันเท่าไรก็ได้...และในที่สุด ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างฉันกับพวกเขาก็หักสะบั้นลง เพราะฉันลองเล่นกับความรู้สึกของพวกเขา...เพียงครั้งเดียว ไม่ต่างจากที่พวกเขาเคยทำร้ายความรู้สึกของฉัน ตลอดระยะเวลาที่เคยเป็น"เพื่อน"กันมา
รวมถึงการที่ฉันถูกไล่ออกจากบ้านถึงสองครั้ง ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ฉันอาจอยู่ใน"สังคม"ไม่ได้จริงๆ
ฉันจบชั้นมัธยมปลาย เริ่มต้นชีวิตในรั้วหมาวิทยาลัยด้วยใจที่หวั่นกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนที่จริงใจเหมือนดังที่ผ่านมา
แต่ฉันกลับพบว่าฉันหาเพื่อนที่คล้ายกับฉันได้ ฉันสามารถเรียกพวกเขาว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก ไปทุกๆที่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำงานด้วยกัน พวกเขาเหล่านี้ไม่เคยเอาความรู้สึกของฉันมาเล่นเหมือนเป็นเรื่องตลก...ฉันคิดว่าพวกเขาคงเข้าใจฉัน
แต่แล้ววันนี้ฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันเป็นมนุษย์ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับใครใน"สังคม"ได้จริงๆ ฉันทะเลาะกับพวกเขา ฉันรู้ว่าฉันผิดที่ไม่ยอมรับความหวังดีของพวกเขา แต่คำว่า"หวังดี"ของคนรอบข้างก็ทำลายความรู้สึก ทำลายชีวิตของฉันจนย่อยยับป่นปี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ฉันรู้ดี การที่ฉันอยู่ใน"สังคม"ไม่ได้เพราะฉัน"ปรับตัว"ไม่ได้...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่พยายาม ฉันเคยลอง"เปลี่ยนแปลง"ตัวเอง เคยลอง"เริ่มต้น"ใหม่มาแล้วหลายครั้ง แต่การเปลี่ยนแปลงมันไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆเลยในเชิงปฏิบัติ จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้การ"ปรับตัว"มันคืออะไรกันแน่?
ฉันอยากไป"เริ่มต้น"ใหม่อีกสักครั้ง...ที่จริงก็อยากลองนับหนึ่งใหม่ไปเรื่อยๆ ฉันรู้ดีว่าแบบนี้คือขี้แพ้ หนีปัญหา
แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าตัวฉันเองนั้นไม่สามารถอยู่ใน"สังคม"ไหนนานๆได้ มันผิดที่ตัวฉันเอง...ข้อนี้ฉันรู้
ใครๆก็บอกให้ฉัน"ปรับตัว"แต่ไม่เคยมีใครบอกฉันเลยว่า"ปรับตัว"นั้นต้องทำอย่างไรบ้าง
ฉันแค่อยากถามว่า มันจะเป็นไปได้ไหม...ถ้าฉันขอแค่ให้มีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข
ฉันสัญญาจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีกแล้ว...ฉันหวังแค่"ความสุข"มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า?
ฉันเป็นแค่ตัวสังคมรังเกียจ...รอยยิ้มของฉันจะสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างไหมคะ?
แล้วมันจะพอมีวิธีไหนไหม ที่จะทำให้ฉันมีความสุข โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน...ได้โปรดบอกฉันทีเถอะค่ะ