ทริปเที่ยว Nepal หลังแผ่นดินไหว เมือง Kathmandu และ Pokhara พังจริงไหม มีอะไรเหลือบ้าง ไปดูกัน!








สวัสดีครับ กระทู้นี้ถือเป็นกระทู้แรกของผมเลย ที่อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว และ ถ่ายรูป (เป็นส่วนใหญ่ 55)  ของตัวเอง ซึ่งปกติเมื่อถ่ายภาพมา ส่วนใหญ่ก็จะแชร์ผ่าน Facebook หรือ Instagram แต่พอเห็นช่วงหลังๆมา เว็บ Pantip ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยความสามารถในการเข้าถึงของคนนั้นกว้างกว่า ไม่ใช่แค่ในกลุ่มเพื่อน หรือคนที่เป็น Friend หรือ Follower เท่านั้น เราก็แอบเห็นคนไปเที่ยวนู่นนี้มา ลงรูปสวยๆกันมากมาย แต่ก่อนเราก็ได้แต่ส่องอย่างเดียว ก็มีเพื่อนๆมาบอกเราเหมือนกันว่า "เนี่ย ลงพันธิปเลย อะไรงี้" เราก็เลยคิดว่าคงถึงเวลาแล้วล่ะ!

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ช่วงวันที่ 11-15 พฤศจิกายน พ.ศ.2558 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศเนปาล โดยจุดมุ่งหมายหลักคือ 3 เมืองหลัก ในหุบเขา Kathmandu ซึ่งก็คือเมือง Kathmandu, Patan และ Bhaktapur รวมทั้งเมืองยอดฮิตอย่าง Pokhara ที่เป็นเมืองจุดสตาร์ทของการ Trekking ในหลายๆ Route ที่ได้รับความนิยม เช่น Annapurna Circuit เป็นต้น ทริปนี้ใช้เวลา เพียง 5 วันเท่านั้น สั้นๆ แต่ครบถ้วนครับ



ไปกันเลยครับ เดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG319 บินตรงไปลงยังท่าอากาศยาน Tribhuvan International Airport เมือง Kathmandu, Nepal ถ้าใครเคยไปเนปาลก็คงคุ้นเคยกับไฟล์ทนี้ดีนะครับ




ถ่ายรูปรอ boarding ไปพลางๆ






แว้บบบบ! ใช้เวลา 3 ชม.กว่าๆ ไวเหมือนโกหก เครืองก็แลนดิ้งที่สนามบิน Tribhuvan ครับ อากาศถือว่าเย็นๆไม่ร้อนมาก คือถ้าไม่มีแดดเรียกได้ว่าเย็น... ใครเคยมาสนามบินนี้ก็ต้องทำใจหน่อยนะครับเวลารอเอากระเป๋า ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีความทันสมัย น้อย รวมถึงมารยาทคนก็ต้องทำใจครับประเทศแถบนี้ ต้องสตรอง ต้องไฟท์ เพื่อเอากระเป๋าเรามา จากนั้นเราก็เดินออกไปหน้าสนามบินเพื่อเจอกับไกด์ที่เราได้นัดเอาไว้ครับ โดยไกด์จะเอารถมารับเราที่สนามบิน ไคล์แมกซ์คือตอนเดินออกจากประตูปุ้ป จะรู้สึกตัวเองเป็นจัสตินบีเบอร์ประเทศแขกทันทีครับ จะมีผู้คนเรือนแสนมาเกาะรั้วรอเรา แต่ต่างจากเวลาแฟนๆทางอเมริกาที่จะตะโกนแบบว่า " Comยิ้ม! " เพื่อจะขอลายเซ็นหรือถ่ายรูปอะไรว่าไป แต่ประเทศนี้คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก " Taxi? Taxi? " เราก็ได้แต่ตอบ No No ไป ช่วงเวลานี้ไม่ได้ถ่ายรูปเลยครับ มัวแต่วุ่นวาย และเอาชีวิตรอดดเพื่อไปหาไกด์

ในที่สุด คนร้ายก็คือ..!! ผิดครับ ไม่ใช่โคนัน ในที่สุดเราก็ได้เจอไกด์และรถของเราที่จะโดยสารไปที่ต่างๆ สถานที่เที่ยว โรงแรม บลาๆ ครับ ไกด์กับคนขับก็จัดการเก็บสัมภาระของเราขึ้นรถ



รถที่เราโดยสาร เป็นรถยี่ห้อ อมิตา ทาทา ยัง ครับ เอ้ย Tata นั้นแหละ คนไทยคงคุ้นเคยกันดี Tata Xenon งี้ หรือเห็นเป็นรถบรรทุกเล็กๆ เป็นส่วนใหญ่ เป็นรถสัญชาติอินเดียครับ  แต่เป็นโมเดล Scorpio ไม่มีในไทย แต่ว่าในอินเดียและเนปาล หรือประเทศแถบนี้นิยมมาก เป็นรถ SUV ครับ และที่พีคก็คือ หลังจากที่ผมได้โดยสาร ตลอด 5 วัน ในหลายๆ ภูมิประเทศ และลักษณะถนน บอกเลยว่าช่วงล่างโหดจริง Stiffness ดีมาก เข้าโค้งไม่มีโยนแน่นอนครับ



และอีกอย่างที่พบเห็นได้มากคือ จะมี Taxi (โปรดฟังอีกครั้ง ใช่ครับ นี่คือ Taxi และวิ่งได้นะ) ที่จอดรถรอผู้โดยสาร และหวังว่าจะหาผู้โดยสารได้บ้าง ช่วงที่ผมไปนั้น ถ้าใครได้ตามข่าว เนปาลมีปัญหาเกี่ยวกับชายแดนครับ ด้านที่ติดกับอินเดีย มีการประท้วงเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ มีการปิดชายแดน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงและแก็สหุงต้มส่วนใหญ่นั้นนำเข้ามาจากอินเดียครับ การปิดกั้นครั้งนี้ทำให้ น้ำมันและแก็สไม่สามารถถูกขนส่งเข้ามาในเนปาลได้ ทำให้น้ำมันและแก็สขาดแคลน ส่งผลให้ราคานั้นพุ่งสูงมาก ถ้าใครอยากเติมน้ำมัน ต้องเอารถไปแคมป์ครับ! ไม่ใช่ที่ร้านรองเท้าชื่อดังย่านสยามนะครับ ปั๊มน้ำมันครับ! คือต้องเอารถไปจอดต่อคิวที่ปั๊ม ใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึง ถึงได้เติม ดังนั้น ... คิวนั้นยาวเป็นกิโลครับ แลดูลำบากมาก

แล้วมันก็กระทบมากับค่าโดยสารรถ... ถ้าใครเคยไป หรือไม่เคยก็แล้วแต่ สนามบินเมืองกาฐมาณฑุ ในส่วนของบินระหว่างประเทศ กับ ในประเทศ อยู่คนละตึกกันครับ ติดกันนะ แต่ แต่ ไม่มีทาง " เชื่อมกัน... ถ้าจะไปคือต้องเดินออกถนนแล้วไป แต่มันก็ยากสำหรับคนที่มีของเยอะ มีกระเป๋าลาก ดังนั้นก็ต้องเรียกแท็กซี่ไป แท็กซี่คิดแพงมาก ระยะทางเหมือนหน้า สยามพารากอน ไปเซนทรัลเวิล มันคิด 300 บาทไทยจ้าา

ต่อครับ จากนั้นเราก็นั่งรถทานข้าวกลางวัน (ไม่ได้ถ่ายมา) กินที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านนึง 555 รสชาติโอเคเลยครับ ร้านนี้เป็นร้านที่ได้รับความนิยมประมาณหนึ่งในเมืองครับ ช่วงเศรษฐกิจดีๆ คนแน่นตลอด

จากนั้นเราก็นั่งรถต่อมายังที่เที่ยวแรกของเรา Kathmandu Durbar Square หรือ จตุรัสเมืองกาฐมาณฑุนั้นเอง ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของเมืองครับ ซึ่งเมืองอื่นๆ ในหุบเขา Kathmandu ซึ่งก็คือ Patan และ Bhaktapur ต่างก็มี Durbar Square เหมือนกัน โดยจะมีสถาปัตยกรรมคล้ายๆกันไป ไปชมกันเลยครับ



ทุกๆ Durbar Square สำหรับนักท่องเที่ยว จะเสียค่าเข้านะครับ แต่สำหรับผมนั้นทัวร์จัดการให้ ก็เป็นธรรมเนียมครับ เหมือนเป็นค่าบำรุงสถานที่




เดินเข้ามาก็จะเห็นความปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างครับ




ซึ่งก็อยู่ในขั้นตอนการซ่อมแซมบูรณะ




แอบเสียดายไม่รู้เมื่อไหร่จะบูรณะเสร็จ






ก็เดินต่อมาครับ บริเวณนี้เหมือนกับเป็นที่ขายของครับ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับ ที่ทำจากหิน โลหะ ต่างๆ สไตล์เนปาล ก็เลือกดูได้ตามใจชอบครับ ฝรั่งเดินดูเยอะอยู่เหมือนกัน




เดินต่อมาเรื่อยๆก็จะเป็นบริเวณตรงกลางของ Durbar Square ครับ สำหรับเมือง Kathmandu นั้นพังไปเยอะเหมือนกันครับ ปราสาทถล่มไปสองอัน ที่เราเห็นๆกันในข่าวถ้าติดตามดู




จุดเด่นบริเวณนี้อีกอย่างก็คือคนจะเอาของมาขายเยอะมาก เหมือนเป็นตลาด ขายทุกอย่าง ผัก ผลไม้ ดอกไม้ เยอะไปหมด คนก็จะพลุกพล่าน












และนี้คือรูปพีคครับ นี่คือฐานของปราสาทที่เคยสูงกว่านี้หลายชั้น ซึ่งพังถล่มลงมา เหลือเพียงแค่ฐานเท่านั้น




บริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีนกพิราบเยอะๆครับ ต้องหลบระเบิดกันให้ดี




สถาปัตยกรรมที่ยังอยู่ก็คงความสวยงามเหมือนเดิมครับ






อะไรที่ต้องซ่อมก็ซ่อมกันไป นั่งร้านเป็นไม้ไผ่ครับ ความสูงนี้ก็ประมาณ ตึก 6-7 ชั้น ไร้ซึ่งความปลอดภัยในชีวิต 55555




แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปครับ พี่ตูนกล่าวไว้... เด็กน้อยวิ่งเล่น






เด็กน้อยรอแม่ซื้อถั่ว




ป้าขายถั่ว


โอเคที่นี้ก็ถึงเวลาเดินกลับแล้วครับ พระอาทิตย์เริ่มลง อากาศเริ่มเย็นขึ้น สังเกตว่าเด็กๆใส่เสื้อหนาวกัน หลังจากนี้ผมก็จะกลับไปขึ้นรถเพื่อไปยังโรงแรมที่จุดที่เราเดินเข้ามา หลังจากนั้นก็เข้าโรงแรม พักผ่อนตามศุภชลาศัย เอ้ย 555 อัธยาศัย ก่อนที่จะไปทานอาหารเย็น ระหว่างเดินกลับ ก็ได้รูปเด็ดๆ อีกหลายรูปเลยครับ



น้องเฝ้าร้านให้แม่ แต่นั่งเล่นมือถือ เหมือนเด็กไทยเลยนะครับแหม่




เอาภาพสตรีทๆ สไตล์ที่ผมชอบลงหน่อยนะครับบ






อันนี้สตรีทไป นอนกันตรงนี้เลยหราา




เริ่มเย็นแล้วครับ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เทเลทับบี้เตรียมออกล่า... (ใช่นะ?)




ฐานที่เหลืออยู่ครับ




ในที่สุดเราก็เดินมาตรงทางที่เราเข้ามาครับ เพื่อรอรถมารับ ระหว่างนี้ผมก็สังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่าง คนที่นี้ชอบขี่มอเตอร์ไซค์มากครับ แต่ไม่ใช่ฮอนด้าเวฟ โซนิค หรือสกูปปี้ไอนะครับ ที่นี้เค้าสไตล์ Naked ครับ แถมขี่เหมือนรถเมล์สาย 8 เมืองไทยครับ



รอไม่นาน รถก็มารับเราไปส่งยังโรงแรมครับ ในระหว่างที่นั่งรถนั้นเป็นโอกาสที่ดีในการสำรวจเมืองครับ แต่ที่ผมสนใจก็คือร้านขายกล้อง คือไม่คิดจริงๆว่าจะมีเทคโนโลยีบนความโกโรโกโสขนาดนี้



และท้ายสุดครับ ร้านมอเตอร์ไซค์ มี CBR ขายด้วยนะ แล้วคนที่นี้ก็ขี่กันเยอะมากๆด้วย งงเลยย

และนี้คือทั้งหมดสำหรับวันแรก (ในตอนกลางวัน) ในการเดินทางมาถึงเนปาลครับ หลังจากนี้ผมก็เดินทางกลับโรงแรม พักผ่อน และเตรียมตัวออกไปทานข้าวเย็นเดินเล่นในตอนกลางคืนที่ย่าน Thamel ที่มีชื่อเสียง ซึ่งผมจะมาเขียนอัพเดทต่อไปครับ นี่แค่วันแรก ยังมีอะไรเด็ดๆ รูปสวยๆอีกมาก ติดตามกันด้วยน้า


ถ้าใครสนใจติดตามรูปภาพอื่นๆ สามารถตามดูได้ที่ช่องทางด้านล่างเลยนะครับ
Personal Facebook: https://www.facebook.com/phumsiam
Page Facebook: https://www.facebook.com/PostracGallery
Twitter: @phumsiam
Instagram: @p
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่